ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเกาอี้ปั๋วนิ่งค้างไปหลายส่วน ฝืนยิ้มออกมา เอ่ย “จวิ้นจู่สั่งสอนได้ถูกแล้ว ข้าจะต้องดูแลภรรยาของข้าให้เป็นอย่างดี ขอจวิ้นจู่อย่าได้ถือสา”
“มิกล้า” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่” โจวเซียงจับคนประคองตนเองเอาไว้ที่อยู่ด้านข้าง เดินเข้ามาเชื่องช้า หนานกงมั่วเหลือบสายตาขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ย “ท่านโจว สบายดีหรือไม่”
โจวเซียงส่งเสียงหยัน เอ่ย “มิสู้ซิงเฉิงจวิ้นจู่” กวาดตามองสำรวจหนานกงมั่วขึ้นลงอยู่ชั่วครู่ โจวเซียงจึงเอ่ยปาก “จวิ้นจู่และคุณชายเว่ยช่างมาอยู่ที่สุขสบาย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเคยห่วงความสุขสบายของบิดาหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้ม “วาจานี้ท่านโจวกำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ บิดาของข้ามีโทษอันใหญ่หลวง หากยามนี้ยังสุขสบายได้ หนานกงมั่วก็คงสงสัยในความสามารถของฝ่าบาทแล้ว” โจวเซียงถูกนางเอ่ยดักทางกลับมา ใบหน้าไม่น่ามองขึ้น จับจ้องอยู่ที่หนานกงมั่ว เอ่ยว่า “ หนานกงไหวอย่างไรก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของจวิ้นจู่ หรือว่าจวิ้นจู่ไม่แม้แต่จะเป็นห่วงสักนิดเลยหรือ” ใบหน้าที่แสดงออกมา เกือบจะเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า สมแล้วที่เป็นบุตรีอกตัญญูของทรราชย์
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น “หนานกงไหวเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดข้า เมิ่งซื่อก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดข้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่หนานกงไหวทำกับเมิ่งซื่อ คิดว่าท่านโจวเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน”
“หนานกงไหวไร้ซึ่งความซื่อสัตย์ เจ้าที่เป็นบุตรีก็ยังไม่กตัญญู”
“ท่านโจวอ่านหนังสือมากกว่าข้า มีบางประโยคคิดว่าคงเคยได้ยินมาบ้าง” หนานกงมั่วมองไปยังโจวเซียง เอ่ยเสียงเรียบ โจวเซียงเลิกคิ้วขาวดอกเลาขึ้น เผยสีหน้า ‘ข้าฟังเจ้าอยู่’ ออกมา หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “ตอบแทนความเลวด้วยความยุติธรรม ตอบแทนคุณธรรมอย่างไร ตอบแทนความเลวด้วยความซื่อตรง ตอบแทนความยุติธรรมด้วยความยุติธรรม”
“เหลวไหล” โจวเซียงโมโหขึ้นมา เอ่ยเสียงเข้ม “คำของนักปราชญ์เจ้าจะเอามาเอ่ยบิดเบือนเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ไม่ว่าหนานกงไหวทำผิดอันใดเจ้าไม่กตัญญูนั่นคือความผิดใหญ่หลวง”
หนานกงมั่วหัวเราะหยัน มองไปยังชายชรามีเคราอย่างสนอกสนใจ เอ่ยถามเสียงเบา “หากท่านโจวเป็นข้า ท่านจะทำเยี่ยงไร ข้าคิดว่าท่านเป็นปัญญาชนผู้เป็นเยี่ยงอย่าง ท่านคงไม่…เอ่ยออกมาให้มันน่าฟังไปอย่างนั้นใช่หรือไม่”
“ข้า” คำเดียว ประโยคด้านหลังกลับเอ่ยไม่ออก หากบอกว่าผดุงคุณธรรมยิ่งใหญ่จึงลงโทษได้แม้เป็นญาติสนิท เช่นนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับหนานกงมั่วยามนี้ กระทั่งหนานกงมั่วก็ยังไม่ได้ลงโทษญาติสนิทด้วยซ้ำ หากบอกว่าปกป้องให้ความช่วยเหลือ แล้วจะบอกว่าตนเองไม่กตัญญูหรือ หากถกวิชาความรู้ สิบหนานกงมั่วก็ถกไม่สู้โจวเซียง แต่หากต้องถกหลักการที่ไม่มีมูล โจวเซียงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงมั่ว
หนานกงมั่วก้มหน้าเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ย “ดูเหมือนท่านโจวก็คงไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยแล้ว เช่นนั้นข้ายังมีอีกประโยคอยากบอกกับท่านโจว” โจวเซียงยังไม่ทันมีสติจากประโยคเมื่อครู่ เพียงจ้องมองหนานกงมั่วด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบา “มีหนึ่งประโยคกล่าวไว้ว่า…คนยืนพูดไม่ปวดเอว[1] ท่านโจวเองก็คงคิดว่ามีเหตุผลใช่หรือไม่”
“เจ้า…เจ้า…” โจวเซียงหายใจรุนแรง นิ้วที่ชี้ไปยังหนานกงมั่วสั่นระริก คนรอบข้างเห็นว่าไม่เป็นการดีแล้วจึงรีบเข้าไปประคองโจวเซียง ฝ่าบาทส่งไต้เท้าโจวมายังโยวโจวมิใช่เพื่อให้เขามาโกรธจนตายที่โยวโจว
หนานกงมั่วกลับไม่กลัวว่าโจวเซียงจะโกรธจนตาย แม้โจวเซียงจะมีอายุมากทว่าร่างกายนั้นไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การกดขี่ของอดีตฮ่องเต้ถูกเนรเทศไปสิบกว่าปียังสามารถใช้ชีวิตยืนยาวกว่าอดีตฮ่องเต้ได้ คงไม่โกรธจนตายเพียงเพราะไม่กี่ประโยคของนางหรอกใช่หรือไม่ ท่าทางของโจวเซียง อย่างมากก็มีความโกรธเพียงห้าส่วน อีกห้าส่วนนั้นเพียงแสดงให้นางดูก็เท่านั้น
มองโจวเซียงถูกประคองเข้าไป เกาอี้ปั๋วที่เมื่อครู่คิดว่ารอดพ้นแล้วกลับรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
หนานกงมั่วมองเกาอี้ปั๋วฮูหยินที่มีท่าทางไม่พอใจ สุดท้ายส่งสายตาเย็นชาไปยังเกาอี้ปั๋ว เอ่ย “หากเกาอี้ปั๋วไม่พอใจต่อจวนเยี่ยนอ๋องในเรื่องใด รีบบอกกับเสด็จแม่หรือจวิ้นจู่อย่างข้าเป็นพอ ปล่อยให้ฮูหยินเอะอะโวยวายอยู่ในเรือนเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้บ่าวไพร่ในเรือนตกใจ ยังทำให้จวิ้นจู่อย่างข้าและเสด็จแม่ลำบากใจอีกด้วย อย่างไรเสด็จแม่ยังต้องมาเหนื่อยกับการเตรียมพิธีแต่งงานให้ซั่นจยาจวิ้นจู่อีก ท่านว่าใช่หรือไม่”
มองไปยังบ่าวไพร่จวนเยี่ยนอ๋องที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เกาอี้ปั๋วฮูหยินก็อดหน้าแดงด้วยความอายไม่ได้
เกาอี้ปั๋วประสานมือ เอ่ย “จวิ้นจู่สั่งสอนถูกต้องแล้ว”
หนานกงมั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ย “เช่นนั้นก็ดี และไม่โทษน้องรองที่มาขอร้องจวิ้นจู่อย่างข้า ตอนนี้ ไม่รู้ว่าทั้งสองท่านไม่พอใจในจุดใดหรือไม่”
“ไม่มีแล้วขอรับ” เกาอี้ปั๋วฝืนยิ้ม “จวนเยี่ยนอ๋องจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ไหนเลยจะกล้าไม่พอใจเล่า ภรรยาของข้าไม่เคยออกนอกเรือนไม่รู้ขอบเขต จวิ้นจู่โปรดอภัยด้วย” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัวก่อน เกาอี้ปั๋วและฮูหยินพักผ่อนเถิด มีคำสั่งอันใดก็บอกกับบ่าวไพร่ไปจัดการก็พอแล้ว”
“จวิ้นจู่กลับดีๆ ขอรับ”
มองหนานกงมั่วที่เดินนำผู้คนมากมายออกไป ใบหน้าของเกาอี้ปั๋วก็ทะมึนลง เกาอี้ปั๋วฮูหยินใบหน้าบิดเบี้ยว กัดฟันเอ่ย “นายท่าน ซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้ช่างไร้มารยาทเสียจริง”
“พอแล้ว” เกาอี้ปั๋วตะคอกอยู่ในลำคอ “เจ้าจะรู้อันใด ใครใช้ให้เจ้ามาเอะอะโวยวายอยู่ที่นี่ นางไร้มารยาท ปลายนิ้วเดียวของนางก็สามารถตัดคอเจ้าได้ สตรีโง่เขลา”
เกาอี้ปั๋วฮูหยินเสียใจเป็นที่สุด ยกมือขึ้นซับน้ำตา เอ่ย “ไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าอวี้เอ๋อร์ของเราจะลำบากหรอกหรือ ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้ เป็นถึงจวนอ๋อง แม้แต่เรือนรับรองก็ไม่จัดเตรียม นี่เห็นชัดว่าไม่เห็นลูกสาวเราอยู่ในสายตา”
เกาอี้ปั๋วส่งเสียงหยัน เอ่ย “โทษใครเล่า ใครใช้ให้นางแต่งมาโยวโจว บุรุษรูปงามในจินหลิงมากมายนางไม่เลือก ตอนนี้เล่า…คุณชายรองในเยี่ยนอ๋อง…” นอกจากชื่อเสียงว่าเป็นเชื้อสายหลักของเยี่ยนอ๋องแล้ว เซียวเชียนเหว่ยยังมีสิ่งใดอีกเล่า เขาเป็นเชื้อสายหลักไม่ผิด น่าเสียดายที่ไม่ใช่บุตรชายคนโต ด้านบนยังมีบุตรชายคนโตกดเอาไว้ ตำแหน่งจวนเยี่ยนอ๋องในอนาคตก็ไม่มีอันใดให้เขาคาดหวัง มิเช่นนั้น ตอนนั้นทำไมฮ่องเต้ต้องลงทุนลงแรงเพื่อกดเหล่าชินอ๋อง สนับสนุนองค์รัชทายาทเล่า หรือว่าองค์รัชทายาทแข็งแกร่งกว่าชินอ๋องมากเพียงใดหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น แต่งมายังโยวโจว ไม่ได้ช่วยอันใดตระกูลจูได้เลย สำหรับบุตรีที่ฉลาดหลักแหลมผู้นี้เกาอี้ปั๋วพึงพอใจเป็นที่สุด ตระกูลจูเติบโตขึ้นมาได้เพราะถูกจูชูอวี้อุ้มชูขึ้นมา แต่เรื่องที่บุตรียืนยันจะแต่งมายังโยวโจวกลับทำให้เกาอี้ปั๋วโกรธอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัย และจูชูอวี้ตอบรับด้วยตนเอง ต่อให้เขาเป็นบิดาก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้อีก
เกาอี้ปั๋วฮูหยินเองก็พูดไม่ออก เดิมนางเองก็ไม่ใช่สตรีเก่งกาจแต่อย่างใด เดิมทีเพียงเชื่อฟังสามีและบุตรี ยามนี้กลับไม่รู้ว่าต้องทำเยี่ยงไรถึงจะดี “เอ่อ…เมื่อครู่ความหมายของซิงเฉิงจวิ้นจู่ พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่พอใจต่อการแต่งงานครั้งนี้ของอวี้เอ๋อร์ ต่อไปอวี้เอ๋อร์จะทำเช่นไรเจ้าคะ”
สำหรับเรื่องนี้เกาอี้ปั๋วกลับไม่กังวล เอ่ยเสียงเรียบ “นางเลือกแต่งมาที่นี่ แน่นอนว่าต้องรู้ดีว่าจวนเยี่ยนอ๋องไม่ยอมรับนาง ในเมื่อนางมาแล้ว คงมีแผนการอยู่ในใจ ไม่ต้องไปกังวลแทนนาง แต่ว่าเจ้าอย่าได้ก่อเรื่องอีก หากถูกหนานกงมั่วจับได้อีก คนที่เสียหน้าก็คืออวี้เอ๋อร์”
แม้เกาอี้ปั๋วฮูหยินจะรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่ในใจแต่กลับไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด ทำได้เพียงพยักหน้า เอ่ยตอบ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้า…ข้าจะระวัง” เพียงแต่แอบบ่นในใจ นางโวยวายอยู่ด้านนอกตั้งนาน นายท่านไม่ได้ยินเลยอย่างนั้นหรือ เขาเองก็ไม่ได้ห้ามมิใช่หรือ
[1] คนยืนพูดไม่ปวดเอว เป็นสำนวน หมายถึง หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันคงไม่เข้าใจ เปรียบเทียบกับคนที่เอาแต่ยืนพูดจะปวดหลังเหมือนคนทำงานจริงได้อย่างไร