หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “จวิ้นจู่อันใดกัน เรียกพี่สะใภ้”
ซุนเหยียนเอ๋อร์ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยเรียกพี่สะใภ้เสียงเบา หย่งเฉิงจวิ้นจู่และอวี้หมิงจวิ้นจู่มาเบียดกันอยู่ด้านหน้าสุด มองสำรวจซุนเหยียนเอ๋อร์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แน่นอนพวกนางดูออกว่าหนานกงมั่วสนิทกับซุนเหยียนเอ๋อร์มากกว่าจูชูอวี้ “พี่สะใภ้ นี่คือพี่สะใภ้สามหรือเจ้าคะ”
อวี้หมิงจวิ้นจู่มองสำรวจซุนเหยียนเอ๋อร์ด้วยความสนอกสนใจ เมื่อเทียบกับจูชูอวี้แล้วซุนเหยียนเอ๋อร์ไม่ได้งดงามจนโดดเด่น ทว่ากลับดูเป็นสตรีสง่างามสมกับเป็นคุณหนูสูงศักดิ์
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยกับซุนเหยียนเอ๋อร์ “นี่คือหย่งเฉิงจวิ้นจู่และอวี้หมิงจวิ้นจู่”
“คารวะจวิ้นจู่ทั้งสอง” ซุนเหยียนเอ๋อร์กำลังจะลุกขึ้น ทั้งสองรีบหลบทันที อวี้หมิงจวิ้นจู่รีบโบกมือพร้อมกับเอ่ย “อย่านะเจ้าคะ พี่สะใภ้สามท่านรีบนั่งลงเถิด ท่านเป็นเจ้าสาว เรียกข้าว่าอวี้หมิงก็พอ พี่ใหญ่… เอ่อ ท่านเองก็เรียกนางว่าพี่ใหญ่เช่นกันเป็นอย่างไร” หย่งเฉิงจวิ้นจู่อายุมากกว่าเซียวเชียนจย่งหนึ่งปี ตามลำดับแล้วซุนเหยียนเอ๋อร์ต้องเรียกพี่สาวเหมือนเซียวเชียนจย่ง
ซุนเหยียนเอ๋อร์พยักหน้า เอ่ยเรียกอย่างเขินอาย “พี่ใหญ่ อวี้หมิง”
อวี้หมิงจวิ้นจู่ปรบมือร้องเรียกพี่สะใภ้สามด้วยความตื่นเต้นดีใจ จวนเยี่ยนอ๋องทั้งหมดมีจวิ้นจู่สองคน อีกไม่นานหย่งเฉิงจวิ้นจู่ก็ต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว อวี้หมิงจวิ้นจู่เป็นเชื้อสายรองอีกทั้งอายุยังน้อย แน่นอนรู้สึกเหงา ยามนี้มีพี่สะใภ้เล็กที่ดูใจดีมาเพิ่มอีกหนึ่งคน แน่นอนอวี้หมิงจวิ้นจู่จึงดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับจูชูอวี้ที่เพียงมองก็ทำให้คนรู้สึกถึงระยะห่างผู้นั้น อวี้หมิงจวิ้นจู่ชอบซุนเหยียนเอ๋อร์พี่สะใภ้ผู้ดูเป็นมิตรและจิตใจดีผู้นี้มากกว่า หย่งเฉิงจวิ้นจู่เองก็รู้สึกดีต่อซุนเหยียนเอ๋อร์ แม้นางจะเกิดจากชายารองทว่าถูกพระชายาเยี่ยนอ๋องเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก แน่นอนว่าคิดมากกว่าน้องสาว บุตรชายเชื้อสายหลักทั้งสามจวนเยี่ยนอ๋องเกิดจากมารดาคนเดียวกัน พระชายาเยี่ยนอ๋องหวังว่าสามพี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียว เช่นนั้นภรรยาของบุตรชายสองคนหลังจึงไม่อาจแข็งแกร่งและร้ายกาจจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับจูชูอวี้ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับนัก ซุนเหยียนเอ๋อร์ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูถูกตาเสียมากกว่า
บรรดาคุณหนูที่อยู่ด้วยเองก็มีภาพจำต่อซุนเหยียนเอ๋อร์ไม่เลวนัก แม้ซุนเหยียนเอ๋อร์จะไม่ได้ดูบอบบางเหมือนสตรีในจินหลิง และไม่มีความเย่อหยิ่งของสตรีเมืองจินหลิง ดูแล้วค่อนข้างคบหาได้ง่าย ชั่วพริบตาทั่วทั้งห้องพลันครึกครื้นขึ้นมาไม่น้อย มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย ความตื่นเต้นในใจของซุนเหยียนเอ๋อร์ก็ดีขึ้นหลายเท่า สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วจึงเต็มไปด้วยความซึ้งใจ หนานกงมั่วยิ้มไม่เอ่ยวาจา ความสัมพันธ์ของนางและซุนเหยียนเอ๋อร์แม้ไม่ได้ลึกซึ้งทว่านับว่าไม่เลว หญิงสาวอายุสิบห้าต้องมาโดดเดี่ยวอยู่ลำพังในโยวโจวย่อมมิใช่เรื่องง่าย นางเพียงเอ่ยไม่กี่ประโยคเพื่อให้ซุนเหยียนเอ๋อร์สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขในวันข้างหน้า ไยจะไม่ยินดีที่จะทำเล่า
ในอีกห้องหนึ่ง จูชูอวี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงในห้องใหม่อย่างเงียบสงบ ใบหน้างดงามภายใต้ผ้าคลุมไม่มีความเขินอายและตื่นเต้นของเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานเลยแม้เพียงนิด สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยเสียงกระซิบ “จวิ้นจู่ ซิงเฉิงจวิ้นจู่และผู้ติดตามอื่นๆ ยังคงอยู่เรือนด้านข้างเจ้าค่ะ”
จูชูอวี้พยักหน้า เอ่ยเสียงเข้ม “ข้ารู้แล้ว”
สาวใช้ไม่พอใจ เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่อยู่ที่นี่เพียงชั่วครู่ก็ออกไป ทว่ากลับอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนคุณหนูซุน นี่เห็นชัดว่าไม่เห็นจวิ้นจู่อยู่ในสายตาเลยนะเจ้าคะ”
“หุบปาก” จูชูอวี้เอ่ยเสียงแข็ง กวาดตามองสาวใช้เรียบๆ เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเจ้าพึ่งรู้หรือ” สาวใช้เงียบไม่เอ่ยวาจา เมื่อครั้งอยู่จินหลิง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่เคยเห็นคุณหนูของตนอยู่ในสายตาจริงๆ และหลายครั้งยังทำให้คุณหนูต้องขายหน้า ติดตามอยู่ข้างกายคุณหนู นางเองก็พอรู้ถึงฝีมือของซิงเฉิงจวิ้นจู่อยู่บ้าง
จูชูอวี้ถอนหายใจเสียงเบา เอ่ย “คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกง เกิดมาก็มีความสามารถรอบด้าน นางจะมองใครอยู่ในสายตาเล่า เกรงว่าคนผู้นั้นที่อยู่จินหลิงก็คงไม่อยู่ในสายตาของนางเช่นกัน แล้วข้าจะนับประสาอันใด” นึกถึงเซียวเชียนเยี่ยที่ตกอยู่ในกำมือของหนานกงมั่วนับครั้งไม่ถ้วน จูชูอวี้จึงคิดว่าอย่างตนเองนั้นไม่นับประสาอันใดเลยจริงๆ
“แต่ว่า หากซิงเฉิงจวิ้นจู่อยู่ข้างคุณหนูซุน…”
จูชูอวี้ส่ายศีรษะ เอ่ย “ไม่ต้องกังวล ซุนเหยียนเอ๋อร์เป็นคนฉลาด รู้ว่าทางไหนจึงจะเป็นการปกป้องชีวิตตนเอง ขอเพียงนางไม่ร่วมกับเฉินซื่อก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา เฉินซื่อเพียงคนเดียวนั้น…” นึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาสองวันก่อน ดวงตาของจูชูอวี้ฉายแววเย้ยหยัน เฉินซื่ออยู่ในฐานะพระชายาซื่อจื่อ เดิมทีก็เป็นเพียงคนโง่เขลาคนหนึ่ง พระชายาเยี่ยนอ๋องคอยปกป้องนางครั้งสองครั้งเพราะเห็นแก่หน้าผู้สืบทอดเยี่ยนอ๋อง นางไม่เชื่อหรอกว่าจะปกป้องไปหลายสิบครั้ง
“ยังเป็นจวิ้นจู่ที่รอบคอบ บ่าวโง่เขลา ขออภัยจวิ้นจู่เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ จูชูอวี้มองนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าทำเพื่อข้า ไม่เป็นไร ต่อไปพวกเราอยู่ในจวน เกรงว่าคงมิได้สะดวกเหมือนดั่งจินหลิงแล้ว ข้ายังต้องพึ่งพาพวกเจ้า”
สาวใช้เอ่ยหนักแน่น “บ่าวขอสาบานแม้ต้องตายจะจงรักภักดีต่อจวิ้นจู่ตลอดไปเจ้าค่ะ”
“รายงานจวิ้นจู่ ถึงเวลาเข้าพิธีแล้วเจ้าค่ะ” ด้านนอก มีเสียงคนเอ่ยรายงานอย่างนอบน้อม
“เข้ามา” จูชูอวี้ปิดผ้าคลุมลงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเข้ม ประตูถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก ซีเหนียง[1]พาสาวใช้และหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามา ห้องที่เคยเงียบสงัดบัดนี้คึกคักขึ้นมาทันใด
ในห้องโถงใหญ่จวนเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นไป มองคู่บ่าวสาวสองคู่เดินเคียงคู่กันเข้ามา
“ถึงยามมงคล คำนับบิดามารดา” เจ้าหน้าที่กรมพิธีการผู้ดำเนินงานพิธีเอ่ยขึ้นเสียงดัง คู่บ่าวสาวสองคู่ถูกบ่าวรับใช้คอยประคอง คำนับต่อเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่า มองบุตรชายทั้งสอง สายตาของพระชายาเยี่ยนอ๋องมีความยินดีขึ้นมา แม้ว่าพิธีแต่งงานครั้งนี้จะไม่พอใจเพียงใด แต่งานแต่งงานอย่างไรก็เป็นเรื่องน่ายินดี บุตรชายทั้งสามของนาง ในที่สุดก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“พิธีเสร็จสิ้น” เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวคำนับแล้วหันตัวมุ่งหน้าเดินไปด้านนอก “ส่งตัวเข้าหอ”
“ช้าก่อน” เสียงชราดังขึ้น ทุกคนชะงักมองไปยังโจวเซียงที่ลุกขึ้นมากะทันหัน พิธีแต่งงานเป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท ตาเฒ่าผู้นี้คงไม่ได้จะมาเพื่อก่อกวนหรอกใช่หรือไม่
เห็นโจวเซียงยกมือประสานหันไปยังเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋อง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องพระชายาโปรดอภัย พิธีแต่งงานของคุณชายทั้งสอง ของขวัญจากฝ่าบาทยังส่งมาด้วย”
เยี่ยนอ๋องเลิกคิ้ว จ้องมองไปยังโจวเซียง เอ่ย “เอ๋ ไม่รู้ฝ่าบาทประทานของขวัญใดมาให้ลูกข้าหรือ”
ใบหน้าแก่ชราของโจวเซียงเผยรอยยิ้มออกมา หยิบม้วนผ้าสีทองออกมาจากแขนเสื้อ เอ่ย “รับราชโองการ”
ทั่วทั้งห้องโถง เสียงดนตรีหยุดลง ทุกคนลุกขึ้นมา จากนั้นคุกเข่าลงไป โจวเซียงเปิดราชโองการในมือออก เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา เซียวเชียนเหว่ยบุตรเชื้อสายหลักคนรอง เซียวเชียนจย่งบุตรเชื้อสายหลักคนที่สามในเยี่ยนอ๋อง มีเมตตากตัญญูและกล้าหาญ ซื่อสัตย์ต่อบ้านเมือง แต่งตั้งเซียวเชียนเหว่ยขึ้นเป็นซุ่นอี้จวิ้นอ๋อง เซียวเชียนจย่งแต่งตั้งเป็นอันชิ่งจวิ้นอ๋อง จบราชโองการ”
ราชโองการออกมา ทั่วทั้งห้องพลันนิ่งค้าง แทบไม่มีสติกลับคืนมา
โจวเซียงถือราชโองการ เอ่ยเสียงเข้ม “ซุ่นอี้จวิ้นอ๋อง อันชิ่งจวิ้นอ๋อง ยังไม่รับราชโองการอีก”
เซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งเองไม่ทันมีสติ ได้ยินเสียงเตือนจากโจวเซียงจึงได้สติ มองเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ่อง เอ่ยด้วยความนอบน้อม “ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท”
[1] ซีเหนียง หมายถึงสตรีที่ทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว