“ใครเป็นคนบอกเจ้า”
เฉินซิวก็ชี้ไปยังเซวียปินที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วยความเหนื่อยล้า
หนานกงมั่วจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “เจ้าไม่รู้สึกว่าเขากำลังหลอกใช้เจ้าอยู่หรือ”
เฉินซิวพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ข้ากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเอ่ยมานั้นก็มีเหตุผลไม่น้อย”
เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขายินดีที่จะให้เซวียปินหลอกใช้ ช่างเถิด ในกองทัพถือเป็นสถานที่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนได้ หากเฉินอวี้ได้เห็นว่าบุตรชายของเขากล้าหาญชาญชัยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะอยากร้องไห้หรือไม่
การคาดคะเนของเซวียปินไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด เว่ยจวินมั่วเป็นคนที่เก่งกาจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเว่ยจวินมั่วไม่สามารถลงมือฆ่าพวกเขาจริงๆ ได้ ดังนั้นเมื่อต่อสู้แบบเวียนเทียนหลายๆ รอบ ในที่สุดก็มีคนสามารถแอบเข้าไปกอดขาของเว่ยจวินมั่วจนทำให้เขาล้มลงได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นการล้มอยู่ดี ทว่ายังไม่ทันที่เซวียปินจะได้ดีใจก็ต้องรู้สึกอึ้งจนตาค้าง เพราะ…เวลานี้คนที่อยู่ในสนามรบไม่มีใครลุกขึ้นได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงไม่สามารถเรียกว่าชัยชนะได้ แต่…เป็นการตายพร้อมกับศัตรูต่างหาก
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้” คุณชายเซวียร้องห่มร้องไห้โดยไร้ซึ่งน้ำตา แต่ทว่าคุณชายเว่ยกลับยังลุกขึ้นมาได้ ทั้งที่พวกเขาไม่มีใครสามารถลุกขึ้นมาได้เลยแม้แต่คนเดียว ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม
คุณชายเว่ยก้มหน้าพลางเหลือบมองเขาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “ยังจะสู้อีกหรือไม่”
“…” แรงจะส่ายหน้ายังไม่มีเสียด้วยซ้ำ
ผู้บังคับการกองพันเว่ยเลิกคิ้วพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็คงต้องถูกลงโทษ…”
“ผู้บังคับการกองพันเว่ย พวกข้า…ไม่ได้แพ้เสียหน่อย…” เซวียปินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีกล้าๆ กลัวๆ หากยังจะลงโทษอีกละก็ คืนนี้เขาคงถูกพี่น้องทั้งเขตกองกำลังรุมกระทืบตายแน่ๆ
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ลงโทษเจ้าคนเดียว”
“เหตุใดถึงลงโทษข้าคนเดียวด้วยเล่า”
“วิธีการโง่เขลาเกินไป เสียเวลาข้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นโดยไม่ถนอมน้ำใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“…” เกลียดคนฉลาดที่วรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้เป็นที่สุด! บอกว่าเสียเวลาแต่ยังจะมาเล่นกับพวกข้า
เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม “ข้าแค่จะให้เจ้ารู้ว่าสิ่งใดคือการไม่รู้จักประเมินตน เดือนนี้เจ้าเป็นคนซักผ้าของเรือนที่เจ้าพักทั้งเดือนก็แล้วกัน” เอ่ยจบก็เข้าไปจูงมือหนานกงมั่วแล้วเดินออกไปจากสนามฝึกทันที ไม่สนใจร่างที่นอนกองอยู่กับพื้นแม้แต่นิดเดียว
ผู้บังคับการกองพันเว่ยของพวกข้าเด็ดขาดเสียยิ่งกว่าอะไรดี!
มีหัวหน้าที่บ้าบิ่นเช่นนี้ ควรต้องทำอย่างไร
ดวงจันทร์เสี้ยวค่อยๆ ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก สนามฝึกที่ด่านชายแดนก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น
“ฮือๆ…ข้าจะต้องหาวิธีล้มเขาให้ได้!”
“สหาย หยุดบ้าได้แล้ว” จูเหมิงที่นอนกองกับพื้นเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมซักผ้าห่มให้ข้าด้วยล่ะ”
“ไสหัวไปซะ! เว่ยจวินมั่วบอกว่าซักแค่เสื้อผ้าเท่านั้น!”
ในเขตกองพัน เว่ยจวินมั่วปลดเสื้อตัวบนออกพลางหย่อนตัวนั่งลงริมเตียง ที่แขนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เสียเปรียบไม่น้อย ถึงอย่างไรก็เป็นการต่อสู้แบบเวียนเทียนกับคนมากมายขนาดนั้น อีกทั้งยังไม่สามารถใช้กำลังจนพวกเขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ แต่ละรอบโดนหมัดโดนถีบบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างทุกคนต่างก็ล้วนเป็นทหารของกองทัพทั้งสิ้น พละกำลังของแต่ละคนจึงไม่ได้น้อยเลย
หนานกงมั่วค่อยๆ ทายาให้เขาอย่างเบามือ จากนั้นก็นวดคลึงบาดแผลฟกช้ำด้วยความชำนาญ เพื่อให้รอยฟกช้ำหายเร็วขึ้น รวมถึงเพื่อให้ตัวยาซึมซับได้ดีขึ้นกว่าเดิม
“เจ็บหรือไม่ ท่านเองก็ไปเล่นกับเจ้าพวกนั้นจริงๆ เสียนี่” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น
สีหน้าของเว่ยจวินมั่วเรียบเฉย ราวกับว่าบาดแผลฟกช้ำดำเขียวเหล่านั้นไม่ได้อยู่บนร่างกายของเขาอย่างไรอย่างนั้น “อู๋สยาอยากจะตีข้ามิใช่หรือ”
หนานกงมั่วแบะปาก “ข้าคร้านจะตีท่าน ท่านชอบรังแกคนที่ไม่มีวิทยายุทธ์ ตอนท้ายท่านใช่กำลังภายในใช่หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้ใส่ใจนัก “เจ้าพวกนั้นใช้วิธีสู้แบบเวียนเทียน ถือว่าไม่มีคุณธรรมเหมือนกัน”
เว่ยจวินมั่วไม่เคยรู้สึกว่าการใช้วิทยายุทธ์กับคนที่ไม่มีพื้นฐานวิชานั้นเป็นการรังแกคน อีกอย่างคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถือว่าไม่มีวรยุทธ์เสียหน่อย แล้วยังจะต้องมีคุณธรรมกับพวกเขาอีกหรือ ในสมรภูมิรบมีแค่รอดกับตายเท่านั้น ไม่มีความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อนึกถึงเหล่าทหารที่นอนกองเรียงรายอยู่บนพื้น หนานกงมั่วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา “หลังจากครั้งนี้แล้ว คงจะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องท่านอย่างแน่นอน” ตอนที่คุณชายเว่ยเดินจากมานั้นนับว่าเป็นท่าทางอันเด็ดเดี่ยว หนักแน่น และสง่าผ่าเผย เกรงว่าคนเหล่านั้นก็คงจะพากันคิดว่าพวกเขาสัมผัสไม่โดนแม้แต่ขนสักเส้นของคุณชายเว่ยเสียด้วยซ้ำกระมัง
“เจ้าพวกนั้นน่ารำคาญเกินไป” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ เขาไม่ชอบไปเสียเวลาต่อสู้กับผู้ที่มีวรยุทธ์ไม่ถึงขั้นสามด้วยซ้ำ สั่งสอนให้รู้เรื่องทีเดียว วันข้างหน้าจะได้เชื่อฟังไม่สร้างปัญหาอีก
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนไปทายาอีกด้าน “คงจะใช้เวลาอีกสองถึงสามวันกว่าจะหายดี”
“ไม่เป็นไร” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้น เป็นเพียงแค่แผลฟกช้ำภายนอกเท่านั้น สำหรับเขาแล้วถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ทายาแผลเหล่านี้ก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ขณะกำลังเอื้อมมือไปคว้าเอวนาง จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงดังขึ้น “โอ๊ย…” ความเจ็บปวดปะทุขึ้นจากบาดแผล “อู๋สยา…”
หนานกงมั่วจ้องมองเขาพร้อมกับยิ้มตาหยี “ผู้บังคับการกองพันเว่ย ข้าไม่ได้มือเบาเหมือนเจ้าพวกนั้นหรอกนะ” นิ้วมือเรียวระหงกำลังกดไปยังรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ เพียงออกแรงเบาๆ รับรองว่าใครบางคนคงจะรู้สึกปวดระบมอย่างแน่นอน
คุณชายเว่ยเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไหวตัวทัน “ข้าแค่อยากจะบอกว่า อู๋สยา ข้ากระหายน้ำ เจ้าช่วยรินน้ำให้ข้าดื่มสักถ้วยได้หรือไม่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้วก็เลยไม่มีน้ำต้มสุก ข้าจะไปเรียกเสียวเถี่ยมาต้มน้ำ ท่านจัดการที่เหลือเองได้หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ สุดท้ายเขาก็นั่งทายาเอง หนานกงมั่วจึงค่อยหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
คุณชายเว่ยมองดูภรรยาเดินจากไปโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว อีกแล้ว อู๋สยาโกรธอีกแล้ว ไม่เป็นไร หนทางวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล…
เว่ยจวินมั่วผู้บังคับการกองพันเว่ย ลาหยุดตามอำเภอใจไปครึ่งค่อนเดือน ทว่าหัวหน้าขุนพลทหารกลับไม่มีใครว่าอันใดเขาแม้แต่คำเดียว เหล่าทหารทั้งยศเล็กยศใหญ่ก็ยิ่งมั่นใจว่าฐานะของสองสามีภรรยานี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หนานกงมั่วมิใช่คนแล้งน้ำใจ นางเองได้ขนของฝากจากโยวโจวมาด้วยไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหมอที่ค่อนข้างสนิทกับค่ายทหาร รวมไปถึงเหล่าบรรดาหัวหน้าขุนพลและสหายที่ร่วมงานกับเว่ยจวินมั่วต่างก็ได้รับของฝากกันถ้วนหน้า หลังจากที่เซวียปิน เฉินซิวและคนอื่นๆ ได้รับของฝากจากทางบ้านที่หนานกงมั่วช่วยเอามาจากโยวโจวแล้วก็พากันซาบซึ้งตื้นตันใจจนร้องไห้กันยกใหญ่ ตั้งแต่พวกเขาเดินทางเข้าสู่กองทัพก็ไม่เคยได้รับแม้กระทั่งจดหมายจากที่บ้านเลยแม้แต่ฉบับเดียว หากครั้งนี้มิใช่เพราะหนานกงมั่วช่วยพวกเขาเอาจดหมายจากทางบ้านมาให้ละก็ พวกเขาคงคิดว่าตนเองถูกบิดาและมารดาทอดทิ้งแล้วจริงๆ
พวกเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ราวครึ่งเดือนแล้ว ที่ด่านชายแดนไม่มีศึกสงครามใดๆ พวกเป่ยหยวนฝั่งตรงข้ามก็ยังถือว่าสงบดี ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ที่สุด พวกเป่ยหยวนกำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการปล่อยสัตว์เลี้ยงจึงไม่ว่างมาสู้รบกับพวกเขาชั่วคราว
กลับมาเป็นวันที่สองแล้ว หนานกงมั่วก็ไปที่สำนักแพทย์เหมือนเช่นเคย เวลานี้เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ยามไม่มีศึกสงคราม เหล่าทหารที่มีสุขภาพร่างกายค่อนข้างดีก็ย่อมไม่เจ็บป่วย จึงเป็นช่วงที่หมอค่อนข้างมีเวลาว่าง เมื่อก้าวเข้าไปในสำนักแพทย์ เจอเข้ากับท่านหมอซือพอดี ทั้งสองชะงักฝีเท้าลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างสีหน้าเรียบเฉย หนานกงมั่วบ่นพึมพำในใจ ซวยเสียจริง นางยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ท่านหมอซือ”
ท่านหมอซือเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความแปลกใจ “เอ๋ เว่ยฮูหยินกลับมาแล้วหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ข้ากลับมาแล้วอย่างไรเล่า ท่านหมอซือ”