จางจวีอานยักไหล่พลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้าก็แค่หาค่าข้าวนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นขอรับ” แพทย์ทหารได้เงินเดือนมากกว่าทหารเสียด้วยซ้ำ เขาได้ยินมาว่าแพทย์ทหารได้เงินเดือนค่าตอบแทนแรกเข้าราวห้าตำลึงต่อเดือน ได้มากกว่าร้านขายยาสมุนไพรของเขาที่จะปิดอยู่รอมร่อเป็นไหนๆ หากฝึกอยู่ที่นี่สักหลายๆ ปี ได้เป็นหมอตำแหน่งเล็กๆ ในค่ายทหารแห่งนี้ขึ้นมา ไม่แน่บางทีอาจจะได้เงินเดือนค่าตอบแทนเป็นสิบยี่สิบตำลึงก็เป็นได้
หนานกงมั่วโบกมือเรียกติงเสียวเถี่ยที่อยู่ข้างๆ นำทางเขาไปพบท่านหมอเหลียง
เมื่อได้เจอคนรู้จัก ติงเสียวเถี่ยจึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ เขารีบลุกขึ้นแล้วนำทางจางจวีอานเดินออกไปด้านนอกด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กำลังเดินตามติงเสียวเถี่ยออกไปด้านนอกก็เจอเข้ากับเว่ยจวินมั่วที่เดินเข้ามาพอดี จางจวีอานรีบก้มหน้าด้วยอาการกล้าๆ กลัวๆ ทันที คนผู้นี้…ดูสง่างามราวกับต้นหยกลู่ลมก็ไม่ปาน แต่รัศมีที่ทรงพลังนี้…น่ากลัวเกินไปแล้ว
“นี่ น้องชาย คนผู้นั้นคือใครหรือ…” จางจวีอานสั่นสะท้านเบาๆ รีบสาวเท้าเดินเข้าไปถามติงเสียวเถี่ยด้วยความสงสัย ติงเสียวเถี่ยหันไปดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยตอบว่า “สามีของฮูหยิน ผู้บังคับการกองพันเว่ย”
“เจ้าหมายความว่า…คนผู้นั้นคือสามีของฮูหยินผู้นี้หรือ” จางจวีอานตกใจเป็นอย่างมาก ติงเสียวเถี่ยเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “นอกจากผู้บังคับการกองพันเว่ยแล้ว ยังจะมีใครคู่ควรกับฮูหยินอีก ข้าล่ะอยากจะรู้จริงเชียว ท่านหรือ…ข้าขอเตือนท่านไว้เลย อย่าแม้แต่จะคิด มิเช่นนั้น…” จะตายอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ชะตากรรมได้เลย ผู้บังคับการกองพันเว่ยคือยอดฝีมือที่สามารถต่อสู้กับทหารนับพันเชียวนะ
“มิกล้า มิกล้า” จางจวีอานรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันควัน “ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร…เพียงแต่ว่าเห็นแล้วรู้สึกตกใจกลัวก็เท่านั้น เจ้าเอ่ยถูกต้อง ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันที่สุดแล้ว”
“เช่นนั้นก็แล้วไป”
…
“อู๋สยา”
“เสร็จงานแล้วหรือ” เห็นว่าเว่ยจวินมั่วกลับมาแล้ว หนานกงมั่วจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นมารับเขาทันที เว่ยจวินมั่วพยักหน้าตอบเบาๆ จากนั้นจ้องมองไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของหนานกงมั่ว หนานกงมั่วมองตามแล้วจึงรีบจัดข้าวของที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะให้เป็นระเบียบทันที “ข้าเองก็เสร็จงานแล้ว ช่วงนี้ค่อนข้างว่าง ท่านไม่ต้องมารับข้าทุกวันก็ได้” ระยะทางจากสำนักแพทย์ไปค่ายกองพันไม่ไกลเท่าใดนัก ทว่าเว่ยจวินมั่วกลับมารับนางกลับทุกวัน หากถูกคนอื่นเห็นเข้าจะถูกนินทาว่าร้ายไปต่างๆ นานาได้ แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เข้าใจผู้บังคับการกองพันเว่ยดี มีภรรยางดงามดุจหยกเช่นนี้ ยิ่งเป็นสถานที่เช่นค่ายทหารที่แม้แต่หนูก็ยังเป็นหนูตัวผู้เสียด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ให้ดูแลอย่างรัดกุมได้อย่างไรกัน แม้ว่าฝีมือวรยุทธ์ของเว่ยฮูหยินจะไม่ใช่เล่นๆ แต่ใต้หล้านี้ก็ไม่เคยขาดซึ่งคนหน้ามืดตามัวที่ลุ่มหลงจนหูหนวกตาบอดไม่สนแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
เว่ยจวินมั่วไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่เดินเข้าไปจูงมือของหนานกงมั่วแล้วพาเดินออกไปด้านนอก “ช่วงนี้มีคนคอยมารังควานเจ้าหรือไม่”
หนานกงมั่วชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ท่านหมายถึงท่านหมอซือหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ “หากเขายังพูดจาไม่รู้เรื่อง ก็ย้ายเขาไปที่อื่นเสียก็สิ้นเรื่อง” เป็นเพียงผู้บังคับการกองพันธรรมดาทั่วไปอาจจะมีความอดทนกว่านี้ แต่เขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปเสียที่ไหนกัน เขาไม่สนใจแม้แต่นิดเดียวว่าจะเป็นการใช้อำนาจหรือสิทธิพิเศษหรือไม่ หากจะกล่าวแบบอู๋สยา ปล่อยทิ้งไว้ไม่ใช้ทุกอย่างก็จะกลายเป็นโมฆะ
หนานกงมั่วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องหรอก เขาจะมาหาเรื่องอันใดข้าได้” นอกเสียจากจะเอ่ยวาจาเหน็บแนมเป็นบางครั้งบางคราวก็เท่านั้น ความทุกข์ถือเป็นเรื่องของทั้งสองฝ่าย นางไม่เชื่อว่าหลังจากที่ท่านหมอซือได้นินทาว่าร้ายหรือเอ่ยวาจาเหน็บแนมตนแล้วจะไม่รู้สึกทุกข์ใจเลยแม้แต่นิดเดียว ขอเพียงแค่นางไม่สนใจ เขาจะทำสิ่งใดก็มองเห็นเป็นแค่การแสดงบทละครเรื่องหนึ่งเท่านั้นก็เป็นพอ อย่างน้อยๆ ฝีมือการแพทย์ของเขาก็ถือว่าใช้ได้พอควร มิเช่นนั้นเกรงว่าท่านหมอเวินคงจะไล่เขาออกตั้งนานแล้ว
เอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มา ทั้งสองเจอเข้ากับท่านหมอซือที่หน้าประตูพอดี เมื่อเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วสองสามีภรรยา ท่านหมอซือก็ส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ พร้อมกับเดินสวนทางไปโดยไม่ชายตามองแม้แต่นิดเดียว เว่ยจวินมั่วเห็นแล้วก็หรี่ตาลงทันที หนานกงมั่วจึงรีบกอดแขนซ้ายของเขาไว้แน่น เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรารีบไปกันเถิด อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย ข้าหิวแล้ว”
เห็นรอยยิ้มของหนานกงมั่วแล้ว เขาจึงทิ้งเรื่องนี้ไปราวกับว่าไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น คุณชายเว่ยพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าอันอ่อนโยน ส่วนท่านหมอซือที่เพิ่งสวนทางกันนั้นไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเขาเพิ่งจะพ้นจากภัยพิบัติใหญ่ไป
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วไม่ได้กลับไปที่เขตกองกำลังในทันที ตอนนี้ยังไม่ค่ำ ทั้งสองจึงออกไปขี่ม้าเล่นที่นอกด่านแทน ช่วงนี้ที่ค่ายทหารค่อนข้างสงบ ทั้งสองจึงมักจะออกไปขี่ม้าที่นอกด่านอยู่เป็นประจำ ถึงแม้ว่าในด่านจะมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการขี่ม้า แต่จะไปสู้ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลข้างนอกนั่นได้อย่างไรกัน ต้นเดือนแปด ทุ่งหญ้ายังคงเขียวชอุ่มชุ่มชื่น แต่หากผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาแทน ความสามารถระดับหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วไม่จำเป็นต้องกังวลใจว่าจะไปเจอกับกองทัพทหารของพวกเป่ยหยวนเข้า เพราะหากสู้ไม่ไหวก็แค่ร่นถอยกลับมายังกองทัพ มิใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
ทุ่งหญ้าภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ทั้งสองควบม้าวิ่งห้อตามจังหวะไปยังทิศตะวันตก เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของหนานกงมั่ว
บนด่านประตูชายแดนที่อยู่เบื้องหลัง ทหารสองคนที่กำลังยืนยามพากันทอดสายตามองฉากเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉา “คงจะเป็นผู้บังคับการกองพันเว่ยกับเว่ยฮูหยินกระมัง”
“นอกจากสองคนนั้นแล้วจะเป็นใครไปได้อีกเล่า ผู้บังคับการกองพันเว่ยและเว่ยฮูหยินรักกันแน่นแฟ้นเสียจริง คำเอ่ยประโยคนั้นเอ่ยว่าอย่างไรนะ… อืม สวรรค์ดลบันดาลให้มาเป็นคู่ชีวิต” ทหารอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักคำกล่าวรักๆ ใคร่ๆ จำพวกนี้ด้วย เป็นอันใดไป อิจฉาหรืออย่างไรกัน”
“ใครจะไม่อิจฉากันเล่า แต่เราไม่มีปัญญาเหมือนเช่นผู้บังคับการกองพันเว่ยเสียหน่อย ข้าเองก็ไม่กล้าหวังว่าจะสามารถสู่ขอภรรยาเช่นเว่ยฮูหยินได้ ขอเพียงแค่มีชีวิตรอดกลับไปด้วยร่างกายที่สมบูรณ์ จะสู่ขอได้ภรรยาแบบไหนข้าก็พึงพอใจแล้ว”
“แน่นอนอยู่แล้ว…เว่ยฮูหยินประหนึ่งเทพธิดาก็ไม่ปาน ก็คงจะมีเพียงผู้บังคับการกองพันเว่ยเท่านั้นที่เหมาะสมและคู่ควร”
“…”
ทั้งสองที่กำลังควบม้าบนทุ่งหญ้าอย่างมีความสุขนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าฉากเปี่ยมสุขของทั้งสองนั้นได้ทำร้ายจิตใจของทหารในค่ายเพียงใด
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าอย่างเชื่องช้า หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกำลังนั่งมองก้อนเมฆสีแดงอยู่บนทุ่งหญ้าริมทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่ง เบื้องหลังของทั้งสองคือม้าสองตัวที่กำลังเล็มหญ้าทีละนิดด้วยความสบายใจ
หนานกงมั่วเอียงศีรษะพิงลงบนไหล่ของเว่ยจวินมั่ว ยิ้มพลางเอ่ย “ช่างทำให้จิตใจสงบ”
เว่ยจวินมั่วเอื้อมแขนไปโอบกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เอ่ย “เจ้าชอบหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ พลางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา “วันนี้ท่านตั้งใจพาข้ามาที่นี่หรือ” หนานกงมั่วมาที่ริมทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้เป็นครั้งแรก พื้นที่ที่ใกล้กับแหล่งต้นน้ำมักจะมีชาวเป่ยหยวนเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และที่แห่งนี้ก็ห่างจากด่านชายแดนค่อนข้างไกลอีกด้วย เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ “วันนี้เราจะค้างกันที่นี่”
“เอ๋ เราค้างแรมที่นี่ได้หรือ” หนานกงมั่วแปลกใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะออกมาข้างนอกค่อนข้างบ่อย ทว่าหนานกงมั่วไม่เคยค้างแรมกลางทุ่งหญ้าเช่นนี้มาก่อน ย่อมรู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นธรรมดา เมื่อเห็นเขาพยักหน้าตอบ หนานกงมั่วก็จ้องมองเขาพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “บอกข้ามาตามตรง ไยท่านถึงได้พาข้าออกนอกด่านชายแดน”
ถึงแม้ว่าเว่ยจวินมั่วจะมิใช่คนที่อยู่ในกรอบของกฎระเบียบสักเท่าใด ทว่าอย่างน้อยๆ ก็ปฏิบัติตามข้อบังคับเบื้องต้นอยู่แล้ว การพาคนในค่ายออกมายามวิกาลโดยไม่กลับไปถือเป็นการละเมิดกฎข้อบังคับของค่ายทหารอย่างร้ายแรง เว่ยจวินมั่วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพสั่งให้ข้ามาสำรวจลาดตระเวณดูพื้นที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้”
หนานกงมั่วอึ้งไปชั่วขณะ “จะสู้รบกันอีกแล้วหรือ”
“ภายในด่านชายแดนกำลังจะทำการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงนี้แล้ว”
หนานกงมั่วเข้าใจได้ในทันที ศัตรูเคยมาปล้นชิงเสบียงอาหารของการเก็บเกี่ยวในฤดูหนาวครั้งที่แล้ว แต่เสบียงมีแค่ส่วนเดียว หากครั้งนี้ยังปล่อยให้พวกมันปล้นชิงเสบียงไปได้อีกเกรงว่าคนของเราก็คงจะต้องอดอยากแล้ว ดังนั้น… “เจตนาของเสด็จลุงคือป้องกันไว้จะดีกว่า สองปีนี้พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกันจะเป็นการดีที่สุด”