“ศิษย์พี่ล่ะ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง รวดเร็วเพียงนี้เลยหรือ เสียงบรรเลงดนตรีของศิษย์พี่ยิ่งเล่นยิ่งแย่ลง
คุณชายเว่ยฉีกยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเสียนเกออารมณ์ไม่ค่อยดี อย่าไปรบกวนเขาเลย”
“อารมณ์ไม่ดีหรือ” หนานกงมั่วถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เว่ยจวินมั่วไปเอ่ยอันใดกับเขากัน ศิษย์พี่ถึงได้อารมณ์ไม่ดี
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ “คุณชายเสียนเกออายุขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่มีภรรยา ก็เลยรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา ตอนนี้เขากำลังนั่งกอดพิณ พรรณนาความเศร้าสร้อยอยู่”
“…” หนานกงมั่วจึงตัดสินใจว่าก่อนที่นางจะเดินทางออกจากโยวโจว นางไม่ไปเจอหน้าศิษย์พี่จะเป็นการดีกว่า คุณชายเสียนเกอเป็นคนที่มีนิสัยและบุคลิกภาพดีมาก ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ แต่หากกราดเกรี้ยวขึ้นมาก็จะทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็เป็นได้
“เจ้าเด็กเว่ย ตามข้ามา” ท่านอาจารย์อาที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ขอรับ ท่านอาจารย์อา” เว่ยจวินมั่วขานรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ท่านอาจารย์อา…” หนานกงมั่วกำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่าง แต่อาจารย์อากลับเหลือบมองนางด้วยสีหน้าตำหนิติติง “รู้จักกันนานเพียงนี้ อาจารย์อายังไม่เคยคุยกับเจ้าเด็กคนนี้อย่างเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว ข้าจะคุยหน่อยไม่ได้หรือ กลัวว่าข้าจะกินเขาเข้าไปหรืออย่างไรกัน” หนานกงมั่วจึงยิ้มพร้อมกับรีบเอ่ยว่า “เปล่าเจ้าค่ะ ศิษย์ก็แค่อยากจะไปชงน้ำชามาให้อาจารย์อาก็เท่านั้น”
ท่านอาจารย์อาสบถเสียงในลำคอเบาๆ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อพลางเดินเข้าไปด้านใน
เว่ยจวินมั่วหันไปมองหนานกงมั่วอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงมั่วเห็นแล้วก็ถอนลมหายใจ เอ่ยขึ้น “รีบเข้าไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวลไป อาจารย์อาถือว่าเป็นคนที่คุยด้วยค่อนข้างง่าย” หากเทียบกับอาจารย์กับศิษย์พี่ละก็ สองคนนั้นคุยยากกว่ามาก
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันตัวเดินตามเข้าไปด้านใน
หนานกงมั่วเองก็ไม่รู้ว่าอาจารย์อาจะคุยเรื่องใดกับเว่ยจวินมั่ว ถึงได้ไม่ให้นางเข้าไปฟังด้วย หนานกงมั่วจึงทำได้เพียงนั่งคอยอยู่ด้านนอกเท่านั้น
หนานกงมั่วกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในเรือน จู่ๆ ก็มีอ้อมแขนโอบกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด นางจึงเงยหน้าขึ้นมาดู “คุยเสร็จแล้วหรือ อาจารย์อาคุยอันใดบ้าง”
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “ไม่โกรธแล้วหรือ”
“…” จะไม่เอ่ยเรื่องนี้ไม่ได้หรืออย่างไรกัน เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็รู้สึกฉุนขึ้นมาทันที
เมื่อวานนี้นางเลอะเลือนไปชั่วครู่ ผลปรากฏว่านางไม่เพียงแต่พลาดอาหารมื้อเที่ยงไปเท่านั้น แต่ยังช้าแม้กระทั่งมื้อค่ำอีกด้วย จนถูกองค์หญิงฉังผิงหยอกล้อไปยกใหญ่ โชคดีที่มื้อค่ำทานกับองค์หญิงฉังผิงคนเดียวเท่านั้น หากคนทั้งจวนเยี่ยนอ๋องอยู่กันครบทุกคนละก็ หนานกงมั่วคงจะมุดหัวลงบ่อไปตั้งนานแล้ว แม้จะรวมอายุขัยทั้งสองภพสองชาติของนางแล้วก็ยังไม่มีเรื่องไหนน่าอับอายเช่นนี้มาก่อน
เว่ยจวินมั่ววางคางลงบนศีรษะของนางพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อวานนี้เป็นความผิดของข้า ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
เหตุใดน้ำเสียงถึงได้ฟังดูน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้?
หนานกงมั่วกลอกตามองบนด้วยความเอือมระอา
เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เสด็จแม่ได้ตำหนิข้าไปแล้ว เมื่อครู่นี้…ท่านอาจารย์อาก็ได้อบรมสั่งสอนข้าแล้วด้วย”
“ท่านอาจารย์อาหรือ” หนานกงมั่วได้ยินแล้วก็หมุนตัวกลับไปมองเขาด้วยความงุนงง การที่เสด็จแม่สั่งสอนเขาถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ที่แปลกใจคือเหตุใดอาจารย์อาถึงได้รู้เรื่องนี้ด้วย
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อาบอกว่าหากข้าทำเจ้าโกรธหรือปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีละก็จะสั่งสอนข้าให้หนัก”
เมื่อเห็นความเศร้าสลดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาและเฉยเมยนั่นแล้ว จู่ๆ หนานกงมั่วก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ก็แค่เรื่องในหอนอน แต่เขากลับต้องถูกผู้ใหญ่อบรมสั่งสอนถึงสองคน ออกจะเกินไปหน่อย…
“ข้าไม่โกรธแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น
คุณชายเว่ยรั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม “ไม่โกรธก็ดีแล้ว อู๋สยาอารมณ์ไม่ดี ข้าเองก็พลอยรู้สึกอารมณ์ไม่ดีไปด้วย”
ด้านหลัง อาจารย์อาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องก็ครุ่นคิดด้วยความฉงนใจ ข้า…ไม่ได้เอ่ยเช่นนั้นเสียหน่อย
แต่เมื่อมองดูคู่หนุ่มสาวที่อยู่เบื้องหน้า เขาก็ส่ายหน้าพลางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง จิตใจผู้คนแปรผันเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเช่นคนสมัยก่อนอีกแล้ว
เรื่องในจวนเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องย่อมต้องเป็นคนจัดการเป็นธรรมดา ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว สองวันถัดมาหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก็เตรียมตัวเดินทางกลับไปยังค่ายทหาร หลังจากที่จูชูอวี้ยุ่งเรื่องสินเดิมของนางเสร็จแล้วจึงพึ่งสังเกตเห็นว่าหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วหายไป ตอนนี้คงจะไปประจำการที่กองทัพเยี่ยนอ๋องแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ถามว่าหนานกงมั่วไปที่ไหน แต่จูชูอวี้เป็นคนฉลาด แม้ไม่มีใครบอกก็พอจะเดาได้ว่าหนานกงมั่วคงจะติดตามเว่ยจวินมั่วเดินทางไปที่ค่ายทหารอย่างแน่นอน จูชูอวี้จึงไม่ได้คิดอันใดมาก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนางจะต้องยืนหยัดอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องอย่างมั่นคงให้ได้ แล้วจึงค่อยไปคิดเรื่องอื่น เวลานี้ไม่ว่าหนานกงมั่วจะทำสิ่งใดหรือไปที่ไหนก็ไม่มีความหมายอันใดกับนางทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหากหนานกงมั่วอยู่ที่โยวโจวจะไม่เป็นผลดีกับนางเสียมากกว่า
ไม่ว่าจูชูอวี้จะคิดอย่างไร แต่ทางฝั่งหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วได้เดินทางไปที่ค่ายทหารราวครึ่งเดือนแล้วเห็นจะได้ การต้อนรับของที่นั่นคือ…ถูกทหารทั้งค่ายรุมตี
หนานกงมั่วยืนดูเว่ยจวินมั่วจัดการกับเหล่าทหารทั้งฝูงอยู่ข้างสนามฝึกด้วยความใจเย็น มุมปากของนางยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากค่ายทหารไปราวครึ่งเดือน ฝีมือของทหารเหล่านี้ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ทหารที่รุมล้อมผู้บังคับการ นี่เป็นความคิดที่พวกเขาคิดขึ้นมาใหม่หรืออย่างไรกัน ทหารนับพันสู้กันแบบเวียนเทียน ขอเพียงแค่เว่ยจวินมั่วยังมีชีวิตอยู่ คงจะมีสักคนที่สามารถล้มเข้าได้
“ฮูหยิน ท่านอยากจะมาเล่นด้วยกันหรือไม่” เซวียปินที่พึ่งถูกเหวี่ยงจนกระเด็นไปนอนกองกับพื้นหันมาถามหนานกงมั่วพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง เขานอนพักราวหนึ่งนาทีแล้วค่อยลุกขึ้นมาลุยใหม่
หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “ให้ไปช่วยเขาหรือว่าไปช่วยพวกเจ้าหรือ”
“แน่นอนว่าต้องช่วยพวกข้าอยู่แล้ว” เซวียปินปาดเหงื่อ ผู้บังคับการกองพันเว่ยก็เก่งกาจจะแย่อยู่แล้ว หากเพิ่มเว่ยฮูหยินที่ฝีมือก็ไม่เบาเข้ามาอีกคนล่ะก็ เกรงว่าไปยืมคนจากค่ายข้างๆ มาอีกสักพันคนก็ยังสู้ไม่ไหวอยู่ดี สองสามีภรรยาคู่นี้ หนึ่งบวกหนึ่งไม่ได้เท่ากับสองเสียหน่อย
หนานกงมั่วส่ายหน้าปฏิเสธพลางเอ่ยถาม “นี่คือกลอุบายที่พวกเจ้าคิดขึ้นมาใหม่หรือ”
เซวียปินฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “ฮ่าๆ ไม่เลวเลยใช่หรือไม่ หลังจากที่ข้าได้คิดคำนวณและไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ผู้บังคับการกองพันเว่ยใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณหนึ่งชั่วโมงในการจัดการทหารหนึ่งร้อยนาย หากเป็นทหารที่พอมีฝีมือหน่อยก็จะใช้เวลาจัดการราวหนึ่งเค่อ[1]กว่า หากทุกคนเวียนกันเข้าไปสู้กับเขาล่ะก็ ทุกคนก็จะมีเวลาพักผ่อนราวคนละสองเค่อกว่า ขอเพียงแค่สามารถประคับประคองให้ได้คนละสี่ถึงห้ารอบ…อย่างไรเสียผู้บังคับการกองพันเว่ยก็เป็นคนเหมือนกัน” เอ่ยง่ายๆ ก็คือ สองหมัดยากจะต้านสี่มือ แต่สี่มือย่อมไม่สามารถสู้เว่ยจวินมั่วได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเป็น…สี่สิบมือ สี่ร้อยมือ สี่พันมือล่ะ
หนานกงมั่วจ้องมองเขาด้วยความเห็นใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยพึมพำในใจ หากไม่คิดทำ ก็คงจะไม่ตาย
ถึงแม้จะสู้กับเว่ยจวินมั่วด้วยวิธีการของคุณชายใหญ่เซวีย แล้วจะมีผลดีอันใด อย่างมากก็แค่ได้รับรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่คุ้มค่าเจ็บตัวจากการไปต่อสู้กับเว่ยจวินมั่วเสียด้วยซ้ำ
เซวียปินเห็นแล้วก็เหมือนจะเดาความหมายของนางออก จึงยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้…อย่างน้อยๆ ข้าก็เคยสู้ชนะผู้บังคับการกองพันเว่ยได้ เหตุผลเท่านี้ยังไม่พออีกหรือ”
“เช่นนั้นก็พยายามกันต่อไปก็แล้วกัน” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
เวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีคนถูกถีบกระเด็นออกมา หนานกงมั่วมองดูเฉินซิวที่ลงไปนอนกองกับพื้นจนลุกไม่ขึ้น จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เหตุใดเจ้าถึงได้ไปร่วมก่อเรื่องกับพวกเขาด้วย” เฉินซิวเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง ปกติแล้วไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องรนหาที่ตายเช่นนี้มาก่อน รวมถึงไม่เข้าใจเซวียปินที่กระตือรือร้นหาเหาใส่หัวเลยแม้แต่น้อย
เฉินซิวที่นอนกองกับพื้นหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้…มีคนบอกกับข้าว่า ตอนที่ยังหนุ่มยังแน่น ก็ควรรีบทำในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเกิดแก่ตัวไปแล้ว แม้แต่โอกาสที่จะคิดก็ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ”
[1] เค่อ หน่วยนับเวลาสมัยจีนโบราณ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณ