หลูฉี่หลินจ้องมองหนานกงมั่วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับเว่ยจวินมั่ว “เรื่องนี้ คาดว่าคงจะต้องปรึกษาหารือกับคุณชายกงเสียหน่อย” หลูเซียงเซียงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “น้องหญิงกง เราไปคุยที่อื่นกันเถอะ ปล่อยให้ผู้ชายเขาคุยกันเองดีกว่า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง เมื่อวานเรียกแม่นางกง วันนี้เปลี่ยนมาเรียกน้องหญิงกงแล้วหรือ หนานกงมั่วหันไปกอดแขนของเว่ยจวินมั่วไว้แน่น “ไม่ ข้าจะอยู่ฟังว่าพวกท่านปรึกษาหารือเรื่องใดกับพี่ใหญ่ของข้า” หนานกงมั่วบิดตัวไปมา มาออดอ้อนดื้อดึงตอนอายุปูนนี้ น่าขนลุกทีเดียว
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงพลางเอื้อมมือมาลูบหลังนางแผ่วเบา ราวกับกำลังปลอบโยนน้องหญิงที่ดื้อแพ่งและไม่ยอมเชื่อฟังอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าของหลูฉี่หลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ย “ความสัมพันธ์ของคุณชายกงกับแม่นางกงช่างแน่นแฟ้น”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หนานกงมั่วตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “พวกข้าอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
“ฮ่าๆ ตอนที่เซียงเซียงยังเด็กก็มักจะเอ่ยเช่นนี้กับอวิ๋นเฟิงอยู่เสมอ” สายตาที่เขาใช้จ้องมองหนานกงมั่วนั้นราวกับว่านางเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่โตก็ไม่ปาน หนานกงมั่วไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นางยังคงกอดแขนของเว่ยจวินมั่วไว้แน่นด้วยความแน่วแน่และยืนกรานว่าจะไม่ยอมไปไหน เดิมทีหลูฉี่หลินเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าหนานกงมั่วจะอยู่ฟังหรือไม่ เพียงแต่ว่ามีเด็กสาวอยู่ฟังด้วยนั้นทำให้เขาเอ่ยออกมาได้ไม่ค่อยเต็มปากนัก แต่หนานกงมั่วกลับยังคงยืนกรานไม่ยอมไปไหน หลูฉี่หลินจึงทำได้เพียงพยักหน้าอนุญาตให้นางอยู่ฟังด้วย เมื่อหนานกงมั่วไม่ยอมไป แน่นอนว่าหลูเซียงเซียงกับหลูอวิ๋นเฟิงก็ไม่ยอมไปอยู่แล้ว ทั้งห้าคนยืนอยู่บนเนินทุ่งหญ้า ต่างก็เอ่ยอันใดไม่ออกไปชั่วขณะ
เว่ยจวินมั่วจ้องมองหลูฉี่หลินด้วยสีหน้าจริงจัง ยังคงเป็นหนานกงมั่วที่ช่วยเอ่ยแทนเขาว่า “นายท่านหลูมีธุระใดจะเอ่ยหรือเจ้าคะ”
หลูฉี่หลินกระแอมเสียงเบา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีที่กระอักกระอ่วนใจว่า “ไม่ทราบว่า…คุณชายกงมีคู่หมั้นหรือไม่”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หนานกงมั่วทอดถอนใจเบาๆ สีหน้าของเว่ยจวินมั่วยังคงนิ่งเฉย เขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเอ่ยตอบ “มี”
เมื่อได้ยินแล้ว หลูฉี่หลินก็ชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เมื่อคืนตอนที่หลูอวิ๋นเฟิงถามเรื่องคู่หมั้นของหนานกงมั่วเขาก็ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว สองพี่น้องคู่นี้มีคู่หมั้นกันแล้วแท้ๆ แต่ยังเดินทางตะลอนไปทั่วเช่นนี้ทำไมกัน ยิ่งไปกว่านั้น…
“คุณชายกงรู้สึกว่าพวกข้าไม่คู่ควรหรืออย่างไรกัน” หลูฉี่หลินถามขึ้น
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วแน่นไม่เอ่ยอันใด หนานกงมั่วจึงเอ่ยถาม “นายท่านหลูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
สีหน้าของหลูฉี่หลินไม่ค่อยดีนัก เอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “ตลอดทางมานี้ทั้งสองท่านไม่เคยบอกกล่าวว่ามีคู่หมั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…หากแม่นางกงมีคู่หมั้นแล้วจะออกเดินทางกับพี่ชายได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าตระกูลกงจะไม่ถือสา แต่ทางฝั่งบ้านสามีจะไม่ถือสาด้วยหรือ”
ดังนั้น เจ้าก็เลยได้บทสรุปที่โกหกจากคำตอบที่โกหกของข้าอย่างนั้นหรือ แบบนี้ไม่เรียกว่าโกหกหรอกกระมัง อีกอย่างก็แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วด้วย แน่นอนว่าย่อมต้องเคยผ่านการหมั้นหมายอยู่แล้ว
หนานกงมั่วถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “นายท่านหลู มีอะไรก็เอ่ยออกมาตรงๆ เถิด”
หลูฉี่หลินจ้องมองใบหน้าที่เย็นชาของเว่ยจวินมั่ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรเสียเขาเองก็เป็นบุรุษ ไม่ใช่คนที่มีความทะเยอทะยานใดมากมาย เขามีเจตนาที่จะหาคู่ครองให้กับบุตรี แต่เรื่องของงานแต่งนั้นถือเป็นเรื่องของสองครอบครัว เพราะแตงที่แข็งกระด้างย่อมไม่หวานอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ!” หลูเซียงเซียงเรียกบิดาด้วยความร้อนใจ แทบทนรอต่อไม่ไหว
หลูฉี่หลินจึงถอนใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตัดสินใจเอ่ยถามว่า “คุณชายกงว่าบุตรีคนเล็กของข้าเป็นอย่างไร”
เว่ยจวินมั่วหันไปมองหลูเซียงเซียงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลูอวิ๋นเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง หลูเซียงเซียงรีบก้มหน้าลงต่ำด้วยความเขินอายจนแก้มแดงก่ำไปหมด เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบและคงที่ “ธรรมดา”
อุ๊บ!
หนานกงมั่วกลั้นขำไว้แทบไม่ไหวจนต้องรีบซุกหน้าเข้ากับแขนของเว่ยจวินมั่วแอบหัวเราะเสียงเบาจนตัวโยก อย่าว่าแต่หลูฉี่หลินมีเจตนาที่จะทาบทามเขาเลย ถึงแม้จะเป็นคำถามธรรมดาทั่วไป คำตอบของเขาก็ยังคงสามารถทำให้ผู้อื่นโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟได้อยู่ดี เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หลูเซียงเซียงใบหน้าขาวซีดน้ำตาคลอเบ้า หลูอวิ๋นเฟิงเองก็ทนไม่ได้ที่เห็นน้องสาวของเขาอับอายขายหน้า เดินเข้าไปหาเว่ยจวินมั่วพร้อมกับยิ้มเย็น “เช่นนั้น ไม่ทราบว่าในสายตาของคุณชายกง สตรีแบบไหนถึงจะเรียกว่าดีหรือ”
เว่ยจวินมั่วเอื้อมมือไปจูงมือของหนานกงมั่ว จากนั้นก็เชยคางของนางให้หันหน้าไปหาทั้งสาม หนานกงมั่วกลั้นยิ้มไว้แทบไม่ไหว นางจ้องมองทั้งสามด้วยสีหน้าท่าทีที่ไร้เดียงสา เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “เช่นนาง และเช่น…ฮูหยินของข้า”
หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่ที่นี่ด้วย หนานกงมั่วคงจะก้มหน้ากัดมือที่กำลังเชยคางของนางอยู่อย่างแน่นอน
หลูฉี่หลิน บุตรชาย และบุตรสาวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยวาจาไม่ออกแม้แต่คำเดียว ถึงแม้ทั้งสามจะไม่รู้ว่าหน้าตาฮูหยินของคุณชายกงเป็นอย่างไร แต่ว่าหากเทียบจากแม่นางกงที่ยืนตรงหน้าผู้นี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าบุตรีของเขาเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองจึงค่อยได้สติกลับคืนมา “คุณชายกงแต่งงานแล้วหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าตอบ
หลูฉี่หลินได้ยินแล้วก็รีบประสานมือพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เก้อเขินว่า “เรื่องนี้ถือว่าข้าล่วงเกินแล้ว ขอทั้งสองช่วยเก็บเป็นความลับด้วย…” ยังไม่ทันถามว่าคนอื่นแต่งงานแล้วหรือไม่ก็รีบทาบทามเสียแล้ว ช่างน่าขายหน้าทีเดียว
หนานกงมั่วจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
หลูเซียงเซียงจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหล่าคมคายไร้ซึ่งผู้ใดจะเทียบเทียมได้ของคุณชายกง นางทั้งรู้สึกอับอายและทำตัวไม่ถูกไปหมด สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา นางกระทืบเท้าพร้อมกับหมุนตัวออกไปทั้งน้ำตาทันที ตระกูลหลูต่างก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจกันถ้วนหน้า สองพ่อลูกจึงโค้งศีรษะให้ทั้งสองแล้วรีบตามหลูเซียงเซียงออกไปทันที
มองดูแผ่นหลังของสามพ่อลูกที่กำลังเดินจากไป หนานกงมั่วอดไม่ได้ที่จะหันมายิ้มตาหยีให้กับใบหน้าหล่อเหล่าคมคายของเว่ยจวินมั่ว “คนรูปงามมักเป็นที่โปรดปราน เหตุใดจิตใจของบุรุษถึงได้แข็งเสียยิ่งกว่าเหล็กกล้า”
“ไม่ดีหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง หนานกงมั่วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ทำได้ดีมาก!”
เช้าวันรุ่งขึ้น กลุ่มขบวนคาราวานก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจากที่แวะชนเผ่านี้แล้ว สินค้าของพ่อค้ากลับไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ดูท่าแล้วเมื่อวานนี้คงจะรับซื้อของไปไม่น้อย เพราะเรื่องกระอักกระอ่วนที่เข้าใจผิดเมื่อวานนี้ บรรยากาศจึงดูค่อนข้างน่าอึดอัด โดยเฉพาะแม่นางหลูที่ไม่เข้ามาพูดคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเช่นที่ผ่านมา เวลาที่มองหน้าไม่ว่าจะเป็นหนานกงมั่วหรือเว่ยจวินมั่วก็มักแสดงออกด้วยสีหน้าเกลียดชังและไม่สนใจไยดีเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวที่อกหักมักจะมีนิสัยและสีหน้าท่าทีหงุดหงิดฉุนเฉียวอยู่แล้ว เรื่องที่ควรจะรู้ก็ได้รู้แล้ว ทั้งสองจึงไม่ดันทุรังจะไปตีสนิทต่อ เพียงแต่ว่าทั้งสองมักจะชอบวิ่งแซงขบวนไปด้วยความสนุกสนาน ทว่าเพียงไม่ถึงสองชั่วยามก็จะกลับมารวมกลุ่มกับคาราวานเช่นเดิม ราวกับคุณชายและคุณหนูตระกูลผู้ดีที่ไม่เคยออกท่องโลกกว้างมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปหลายวันจนถึงบ่ายวันหนึ่ง จู่ๆ ขบวนคาราวานของตระกูลหลูก็ถูกล้อมไว้
อย่าคิดว่ากลุ่มโจรที่เข้ามาขวางทางนั้นมีเฉพาะที่จงหยวน ขอเพียงแค่มีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ก็ย่อมต้องมีปัญหาอื่นๆ อยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นพื้นที่นอกด่านชายแดนเหนือที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาก็ยิ่งเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีของพวกกลุ่มโจร ภายในด่านทางราชสำนักยังมีการปราบปรามโจรอยู่บ่อยครั้ง ส่วนที่นอกด่าน ภายในราชสำนักเป่ยหยวนเองก็ไม่สามารถดูแลจัดการได้ นับประสาอันใดกับกลุ่มโจรที่พลุกพล่านนอกด่านชายแดนเล่า ขอเพียงพวกเขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับทหารม้าของราชสำนัก โดยปกติแล้วก็จะไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับพวกเขา และบรรดากลุ่มโจรเหล่านี้ก็คงจะไม่โง่พาคนของตนเองเข้าไปท้าทายทหารม้าเหล็กที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีอยู่แล้ว และโชคดีที่คนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่นอกด่านชายแดนนั้นแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ มิเช่นนั้นชาวบ้านธรรมดาก็คงจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเป็นแน่แท้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฝูงม้าที่วิ่งพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง หนานกงมั่วก็ขมวดคิ้วแน่นพลางเอื้อมมือไปจับแส้ที่พันอยู่รอบเอวของนาง แต่จู่ๆ ก็มีฝ่ามือวางทาบลงบนมือของนางเพื่อห้ามนางไว้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย เว่ยจวินมั่วจึงส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
เพียงชั่วอึดใจ ก็มีคนสี่ห้าคนควบม้ามุ่งตรงมาทางพวกเขา ไม่นานพวกเขาก็ถูกล้อมไว้จนหมด ดูแล้วไม่ใช่ทหารม้าของอาณาจักรเป่ยหยวน หนานกงมั่วจึงแอบถอนใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแส้ที่พันรอบเอวของนางอย่างช้าๆ แล้วเปลี่ยนไปกุมมือของเว่ยจวินมั่วไว้แทน