หนานกงมั่วเอ่ยอย่างเอ้อระเหย “วันนี้…คงจะเดินเล่นไปรอบๆ ว่างก็ว่าง”
ดูคล้ายจะว่าง แต่ข้าเอาศีรษะของข้าเป็นประกันได้เลย เจ้าไม่ได้ว่างจริงๆ หรอก รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อตนเอง หวังป้าเองก็ไม่ถามอันใดมาก สามารถเปลี่ยนจากโจรเล็กๆ กลายมาเป็นหัวหน้ากองโจรได้ หวังป้าเองก็ไม่ได้ไร้พิษสงอย่างที่แสดงออกมาให้ได้เห็น อย่างน้อยเมื่อใดที่ควรหุบปากเขายังพอรู้อยู่บ้าง
หนานกงมั่วว่างดังที่นางเอ่ย วันทั้งวันพาหวังป้าเดินวนไปทั่วหมู่บ้าน ซื้อของเล่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จากนั้นพาหวังป้าไปยังหมู่บ้านที่ว่ากันว่าใหญ่กว่าที่นี่เล็กน้อย ดูเหมือนไม่สนใจเว่ยจวินมั่วที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ราวกับคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ
อีกเมืองเล็กๆ นั้นอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดสิบลี้ได้ ใหญ่กว่าหมู่บ้านก่อนหน้านี้หนึ่งเท่าตัว หนานกงมั่วพบว่าทั้งสองที่นี้เป็นกองหนุนให้กับกองทัพของจอมทัพฮูตุน อีกทั้งราษฎรที่อาศัยอยู่ที่นี่นอกจากคนแก่เด็กและสตรีแล้วส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มทั้งนั้น ผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับบรรดาคนเลี้ยงสัตว์มากกว่าชาวจงหยวนที่อยู่ห่างไกล หากคนเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังคำสั่งของราชสำนักเป่ยหยวน หากจำเป็น ในระแวกนี้ฮูตุนสามารถรวบรวมกองกำลังกว่าสองแสนได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่ยังไม่รวมกับกองกำลังของราชสำนักเป่ยหยวนที่ซุกซ่อนเอาไว้ รวมไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้มีกี่แห่งกันแน่
“น่าสนใจ” นั่งอยู่ภายในห้องเรียบง่ายที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง มองลอดหน้าต่างสำรวจเมืองเล็กๆ แห่งนี้ หนานกงมั่วยิ้มตื่นเต้นออกมา
หวังป้านั่งอยู่อีกด้าน เมื่อได้ยินวาจาของหนานกงมั่ว อดถามขึ้นมาอย่างแปลกใจไม่ได้ “แม่นางกง มีอันใดน่าสนใจหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยมาก่อกวนทางนี้ใช่หรือไม่”
หวังป้าเอ่ยเสียงหยัน “แน่นอนอยู่แล้ว ราษฎรไม่ต่อสู้กับขุนนาง ข้าถูกหนิงอ๋องขับไล่ออกมาอยู่นอกด่านแล้ว จะมาก่อกวนฮูตุนโดยไม่ลืมหูลืมตาอีกหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “ต่อให้ไม่มีฮูตุน คนเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าสูญสิ้นได้”
หวังป้าไม่เชื่อ “แม่นางกง ชาวเป่ยหยวนนั้นดุร้ายไม่ผิด แต่ชาวบ้านทั่วไปนั้นเทียบกับพวกเราที่ต้องฆ่าฟันอยู่ตลอดไม่ได้”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “เจ้าดูให้ดี พวกเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือไม่”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” หวังป้าเอ่ยขัด
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้ามองท่าทีการเดินของพวกเขาให้ดีๆ เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปหรือไม่”
ได้ยินเช่นนั้น หวังป้าจึงขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจึงมองสังเกตชาวเป่ยหยวนที่เดินไปมาบนถนนอีกครั้ง ชายชาวเป่ยหยวนนั้นขี่ม้าล่าสัตว์ ไม่มองให้ดีๆ ก็ดูไม่ออกว่ามีสิ่งใดแตกต่าง เมื่อมองแรกๆ เหมือนจะไม่มีอันใด แต่เมื่อหนานกงมั่วเอ่ยเตือนแล้ว ไม่นานหวังป้าจึงเห็นถึงความแตกต่าง มีชายหนุ่มส่วนหนึ่งที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป คนเหล่านี้แม้มิใช่ทหารกองทัพเป่ยหยวนอย่างเป็นทางการ แต่อย่างน้อยก็คงถูกฝึกฝนมาบ้าง หลายปีมานี้หวังป้าเองก็เห็นกองกำลังในกองทัพมาไม่น้อย เพียงแต่เมื่ออยู่นอกด่านพวกเขาหลีกหนีจากสถานที่เหล่านี้ ขณะเดียวกันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาวเป่ยหยวนจะทำเช่นนี้ จึงไม่เคยสังเกตมาก่อน
หากไม่ใช่เพราะหนานกงมั่ว ไม่แน่ว่าเมื่อใดพวกเขาอาจมาล่วงเกินคนเหล่านี้แล้ว ถึงตอนนั้น…คิดมาถึงตรงนี้ หวังป้าก็อดไม่ได้ที่จะลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ
“เจ้าว่า…พวกเขาทำไปเพื่ออันใด”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่แน่ว่าจะทำอันใด หากช่วงนี้เป่ยหยวนยังไม่คิดจะบุกเข้าจงหยวน ทหารจำนวนนับแสนก็ยังไม่จำเป็น เช่นนั้นจึงแบ่งคนบางส่วนออกมาเป็นชาวบ้านธรรมดา ถึงยามศึกสงครามก็เรียกตัวกลับไปได้ อีกทั้งยังสามารถซ่อนจำนวนทหารทั้งหมดในกองทัพได้ เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว จงหยวนยังพอว่า… ต่อให้ไม่ทันระวังโจมตีเป่ยหยวน ต้าเซี่ยมีพื้นที่กว้างขวาง มีจำนวนคนเยอะ สามารถรวบรวมกองกำลังได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นต๋าต๋าหรือหว่าชื่อคิดจะกบฏต่อราชสำนักเป่ยหยวน เกรงว่าคงโชคร้ายแล้ว”
ที่นี่ห่างไกลจากเขตชายแดนต้าเซี่ย ราชสำนักเป่ยหยวนจัดการเช่นนี้แน่นอนว่าเพื่อหลอกเยี่ยนอ๋องและหนิงอ๋อง ทว่ามิใช่เพื่อจัดการกับต้าเซี่ย เกรงว่าคงจะมีไว้เพื่อป้องกันต๋าต๋าและหว่าชื่อที่ไม่ได้มีใจภักดีมากนัก
หวังป้ามองสำรวจหนานกงมั่วด้วยความสงสัย “แม่นางกง…เจ้าเป็นใครกันแน่” หวังป้าผลักความคิดเดิมของตนเองทิ้งไป ก่อนหน้านี้เขานึกว่าสองคนนี้เป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพ อย่างไรเสียราชสำนักนั้นไม่มีคนที่มีฝีมือร้ายกาจเพียงนี้ ราชสำนักและยุทธภพนั้นมีแม่น้ำที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่แม่นางกงผู้นี้กลับรู้ไปเสียทุกเรื่อง คงไม่ใช่จอมยุทธ์ทั่วไปเป็นแน่
หนานกงมั่วเม้มริมฝีปาก ยิ้มพลางเอ่ย “เรื่องนี้สำหรับหัวหน้าหวังแล้ว คงมิใช่เรื่องสำคัญหรอกใช่หรือไม่”
หวังป้าเคาะศีรษะของตน เอ่ย “เจ้ากล่าวถูกแล้ว” เขาอยู่นอกด่านอย่างอิสระ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในจงหยวน ขอเพียงรีบส่งสองคนนี้กลับไป กงมั่วหลานและกงจวินชิงจะแซ่กงหรือแซ่เว่ย เกี่ยวอันใดกับเขากันเล่า
“ทุกท่าน…เชิญด้านในขอรับ” ด้านนอกมีเสียงใสของเจ้าของโรงเตี๊ยมดังขึ้น หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าของโรงเตี๊ยมผู้นี้เอ่ยสำเนียงจงหยวนดีกว่าเจ้าเสียอีก ข้ามักจะคิดว่าเขาเหมือนคนจงหยวน”
หวังป้าส่งเสียงหยัน “เขาก็มีเลือดของชาวจงหยวนจริงๆ เจ้าก็น่าจะรู้ เป่ยหยวนเข้าไปอยู่ในจงหยวนตั้งสิบกว่าปี ต้องมีชาวเป่ยหยวนที่แต่งงานกับชาวจงหยวนอยู่แล้ว ผู้นี้…ว่ากันว่าบิดาเป็นชนชั้นสูงของเป่ยหยวน เพียงแต่มารดาของเขาเป็นชาวจงหยวน ดังนั้นมารดาของเขา ตัวเขาเองจึงไม่มีตำแหน่งใดๆ ในเป่ยหยวน แม้ว่าครั้งนั้นจะกลับมายังเป่ยหยวน แต่ไม่อาจกลับไปยังเผ่าของตนเองได้ ทำได้เพียงมาเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมที่นี่” คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็นประชาชนชาวเป่ยหยวน ชนชั้นสูงเหล่านั้นหากไม่อยู่ที่ราชสำนักเป่ยหยวนก็มีชนเผ่าของตนเอง คนนอกไม่รู้หรอกว่าพวกเขาอยู่ที่ใด”
หนานกงมั่วพยักหน้าตอบ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไยพวกเขาจึงไม่อยู่ที่จงหยวนเล่า”
หวังป้ายิ้มเย็น “หากอยู่ที่จงหยวนพวกเขายิ่งจะลำบากกว่าที่นี่ คนจงหยวนไม่มีทางใจดีกับเขาเพียงเพราะเขามีเลือดของชาวจงหยวนหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นพวกเขาเองก็ร่วมรังแกชาวจงหยวนอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นใจพวกเขาหรอก”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แสดงออกมาว่าเข้าใจแล้ว เรื่องแบบนี้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็มีไม่น้อย บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด และมิใช่ว่าคนคนเดียวจะทำการเปลี่ยนแปลงได้
“เจ้าของร้าน เอาสามห้องชั้นบน ที่เหลือจัดการตามที่เห็นสมควร” เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก มุมปากของหนานกงมั่วยกยิ้ม เอ่ย “บังเอิญเสียจริง”
หวังป้าเองก็ฟังออก เคาะจมูกเบาๆ เอ่ย “ตอนนี้จะทำเช่นไร” เสียงที่ดังมาจากด้านนอกนั้นคือเสียงของคุณชายผู้นั้นของตระกูลหลู หลูอวิ๋นเฟิง ก่อนหน้านี้หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วถูกโจรจับตัวไป ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่…
หนานกงมั่วครุ่นคิด กลอกตาไปมาจากนั้นหันไปเอ่ยกับหวังป้าเพียงไม่กี่ประโยคเบาๆ สีหน้าของหวังป้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่ายศีรษะระรัวราวกับกลอง “ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณชายกงกลับมาได้ฆ่าข้าตายแน่”