หนานกงมั่วหันกลับมา มองเขาที่ดวงตาเป็นประกายอย่างขบขัน แม้จะแต่งงานแล้วแต่ก็ยังเป็นเด็ก คิ้วสวยเลิกขึ้น เอ่ยถาม “ไยพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่” เซียวเชียนจย่งเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “เสด็จพ่อบอกว่าแต่งงานแล้วก็กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปนี้หากเป็นเรื่องของกองทัพก็จะพาพวกเรามาด้วย” เดิมทีไม่มีความรู้สึกอันใดต่อการแต่งงาน แต่เมื่อมีข้อดีเยี่ยงนี้คุณชายเซียวสามพลันรู้สึกว่าการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง
หนานกงมั่วถอนหายใจ “พวกเจ้าเพิ่งแต่งงานก็ออกมา…”
เซียวเชียนจย่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “บุรุษมีความทะเยอทะยานไม่จำกัดสถานที่”
ช่างเป็นเด็กไม่มีหัวจิตหัวใจเลยจริงๆ หนานกงมั่วเอ่ย “หากไม่กลับไปนาน อย่าลืมเขียนจดหมายไปหาเสด็จป้าและเหยียนเอ๋อร์ด้วย” เซียวเชียนจย่งเกาศีรษะ พยักหน้ารับคำสั่งสอน
“พี่สะใภ้ ที่นอกด่านนั่นสนุกหรือไม่” เซียวเชียนจย่งเอ่ยถาม รู้ว่าพี่ชายของตนนั้นไม่ชอบยุ่งกับใคร เขาจึงมาถามเอากับหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยิ้มจนตาหยีมองเขา เซียวเชียนจย่งหดลำคอ “พี่สะใภ้ บอกมาเถิด…ข้ามิได้คิดอยากจะทำอันใด เพียงแต่อยากรู้ก็เท่านั้น…” หนานกงมั่วโบกมือ “ก็พอได้ แต่อย่างไรก็ไม่รุ่งเรืองเหมือนในด่านกำแพงหรอก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” เซียวเชียนจย่งเอ่ยอย่างทะนงตน มองดวงตาของทั้งสองกลอกไปมา เอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ข้าติดตามพวกท่านไปอยู่ที่เขตกองทัพของพี่ชายดีหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “พี่ชายของเจ้าเป็นเพียงผู้บังคับการกองพัน ตำแหน่งเล็กๆ คงรับจวิ้นอ๋องอย่างเจ้าไม่ได้”
ใบหน้าอ่อนวัยของเซียวเชียนจย่งสลดลง เอ่ยอย่างหงอยเหงา “พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องเอ่ยอันใดจวิ้นอ๋องแล้ว หงุดหงิดเป็นบ้า”
“ทำไมหรือ” เว่ยจวินมั่วจูงมือหนานกงมั่วเดินออกไปด้านนอก เซียวเชียนจย่งเห็นว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้ไล่ตนจึงรีบตามติดไปด้วย พลางบ่นพึมพำ “ตั้งแต่แต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋องอันใดนั่น เหมือนสิ่งใดก็แปลกประหลาดไปหมด ต้องโทษฮ่องเต้… อยู่ดีๆ ไม่เป็น ข้าไม่ได้ขอให้เขาแต่งตั้งเสียหน่อย”
หนานกงมั่วตบศีรษะของเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าเป็นบุตรชายเชื้อสายหลักของชินอ๋อง คิดจะหนีไปตลอดชีวิตจริงๆ หรือ”
เซียวเชียนจย่งถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าเองก็รู้ดี แต่ว่า…รู้สึกว่าตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋องแล้วมีเรื่องมากมาย ยังมีผู้คนแปลกๆ เรื่องราวแปลกๆ แม้แต่บรรยากาศในจวนก็ต่างออกไป พี่สะใภ้ ข้าไม่อยากกลับไป ให้ข้าติดตามท่านได้หรือไม่”
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วมองสบตากัน หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “พวกเรายังไม่ได้ไปเร็วๆ นี้หรอก เจ้าอยากไปเล่นก็ไปเล่นสักกี่วันก็ได้ โยวโจวเกิดเรื่องอันใดแล้วหรือ”
เซียวเชียนจย่งลูบศีรษะ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “มีเสด็จพ่อและเสด็จแม่อยู่จะเกิดเรื่องใดได้ เพียงแต่มีใครหลายคนที่เมื่อก่อนไม่มียามนี้กลับมาจากที่ใดมากมาย มักเอ่ยในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้…ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกไม่สบาย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยถามเสียงเรียบ “เชียนจย่งและเชียนเหว่ยเกิดเรื่องอันใดแล้วอย่างนั้นหรือ”
เซียวเชียนจย่งชะงัก จ้องมองหนานกงมั่วนิ่งก่อนจะได้สติกลับคืน แล้วจึงถอนหายใจออกมา เอ่ย “ช่วงนี้เหมือนพี่รองจะยุ่งมาก มักมีคนมาขอร้องเขาให้ช่วยทำนั่นทำนี่ หลายวันก่อนคนของพี่รองทะเลาะกับผู้ติดตามของพี่ใหญ่ เอ่ยวาจาไม่น่าฟังต่อหน้าผู้คนมากมาย แม้จะมิใช่เรื่องของพี่ใหญ่และพี่รอง แต่ว่า…ข้ามักรู้สึกว่าบรรยากาศในจวนน่าอึดอัด”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “เสด็จลุงจัดการอย่างไร”
เซียวเชียนจย่งเอ่ย “บ่าวรับใช้สองคนนั้นถูกเสด็จพ่อกำจัดทิ้ง พี่ใหญ่และพี่รองถูกเฆี่ยนไปคนละสิบครั้ง”
หากเป็นเพียงการทะเลาะกันของบ่าวรับใช้ ต่อให้เอ่ยอย่างไม่น่าฟังเพียงใดก็คงไม่ต้องถึงตาย เกรงว่า…เบื้องหลังของการทะเลาะกันครั้งนี้คงไม่ธรรมดา หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องเหล่านี้เสด็จพ่อของเจ้าจัดการได้”
เซียวเชียนจย่งไหวไหล่ เอ่ย “ข้าก็ไม่ได้กังวลนะ เพียงรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น แม้เมื่อก่อนข้ากับพี่รองจะไม่ถูกกับพี่ใหญ่ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนี้”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ย “นี่ก็คง…ราคาของการเติบโตสินะ” ก่อนหน้านี้เซียวเชียนจย่งและเซียวเชียนชื่อไม่ลงรอยกันก็เพียงเพราะนิสัยไม่เข้ากัน ระหว่างพี่น้องมักมีการกระทบกระทั่ง แต่ตอนนี้นั้นไม่แน่ จะว่าไป…นับว่าเซียวเชียนเยี่ยเล่นได้ดีในครั้งนี้
“พี่ชาย พี่สะใภ้ น้องสาม” เซียวเชียนเหว่ยเดินตามหลังมา ทักทายทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม หนานกงมั่วมองเซียวเชียนจย่ง ยังคงสง่างามในมาดคุณชาย ดูไม่ออกว่าเพิ่งถูกเฆี่ยนไปเมื่อหลายวันก่อน
“พี่รอง”
เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อฝากมาเชิญพี่ชายและพี่สะใภ้ไปหา บอกว่ามีเรื่องอยากหารือขอรับ”
“แต่พวกเราเพิ่งจะออกมามิใช่หรือ” เซียวเชียนจย่งไม่เข้าใจ เสด็จพ่อมีอันใดเอ่ยมาพร้อมกันทีเดียวเลยมิได้หรือ
เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยอย่างจนปัญญา “เสด็จพ่อคงจะมีเรื่องอยากคุยกับพี่ชายเป็นการส่วนตัว เมื่อครู่มีเหล่าแม่ทัพเฉินอยู่ด้วยมิใช่หรือ”
“ก็ได้” เซียวเชียนจย่งยักไหล่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อยากคุยเรื่องส่วนตัวอันใดกับเสด็จพ่อ และจินตนาการถึงภาพนั้นไม่ออก
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ย “ได้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ ลำบากเจ้าแล้ว เชียนเหว่ย”
“พี่สะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว”
ทั้งสองกลับมายังกระโจมใหญ่ของเยี่ยนอ๋อง ในกระโจมนั้นเหลือเยี่ยนอ๋องอยู่เพียงคนเดียว ได้ยินเสียงองครักษ์รายงาน จึงรีบเอ่ยอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามา
“เสด็จลุง”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า เอ่ย “นั่งลงคุยกันก่อน”
ทั้งสองเอ่ยขอบคุณ เดินไปนั่งลงด้านข้าง ความเงียบเข้าปกคลุมกระโจมใหญ่ เยี่ยนอ๋องไม่เอ่ยสิ่งใด เว่ยจวินมั่วเองก็ไม่รีบร้อน ราวกับกำลังแข่งกันว่าใครจะนิ่งได้มากกว่า ดังนั้นเมื่อมองไปยังทั้งสองคนหนานกงมั่วจึงรู้สึกว่าตนเองนั้นยิ่งนิ่งเงียบขึ้นไปอีก
เนิ่นนาน เยี่ยนอ๋องจึงเอ่ยปาก “เจ้าช่างกล้านัก ไม่พาใครไปด้วยยังกล้าบุกเข้าไปในค่ายของฮูตุน ไยเจ้าจึงไม่บุกไปที่ราชสำนักเป่ยหยวนแล้วตัดหัวฮ่องเต้เป่ยหยวนไปเลยเล่า”
“หาไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ
“อุบ” หนานกงมั่วอดไม่ได้ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากกลั้นเสียงหัวเราะ เยี่ยนอ๋องปรายตามองนาง “เจ้าก็เหมือนกัน ตอนที่เขาเหลวไหลเจ้าก็ไม่รู้จักห้ามเขาเลยหรือ”
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา โยนความรับผิดชอบไปให้เว่ยจวินมั่ว “เสด็จลุง จวินมั่วบอกว่าเขาดำเนินการตามคำสั่ง พาหม่อมฉันไปด้วยก็ดีเพียงใดแล้ว หม่อมฉันจะไปรบกวนภาระหน้าที่ของเขาได้เช่นไรเพคะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ภรรยาที่ดีควรทำนะเพคะ” เยี่ยนอ๋องมองท่าทางจริงจังของนาง แทบอยากกระอักเลือดออกมา “ครั้งนี้เป็นเพราะพวกเจ้าสองคนโชคดี หากพวกเจ้าสองคนติดอยู่ที่นั่น พวกเจ้าสองคนจะทำเช่นไร”
หนานกงมั่วเอ่ย “ขอบพระทัยเสด็จลุงที่เป็นห่วงเพคะ แต่ก่อนจะลงมือพวกเราไตร่ตรองมาดีแล้ว”
ฟังคำของหนานกงมั่ว เยี่ยนอ๋องจึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง จ้องเขม็งไปยังหลานชายของตน หลานสะใภ้ยังรู้จักเอ่ยวาจาน่าฟังอยู่บ้าง เจ้าเด็กนี่กลับชอบทำให้คนต้องโมโห
“ต่อไปพวกเจ้าช่วยอยู่อย่างสงบบ้าง หากยังทำเรื่องเหลวไหลอีกก็กลับโยวโจวไปเสีย” เยี่ยนอ๋องเอ่ยด้วยความโกรธ “หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะไปบอกกับเสด็จแม่ของเจ้าเยี่ยงไร”