“แต่ว่า…ท่านเป็นพี่ชายของข้านะ” หญิงสาวราวกับรับความเย็นชาของเขาไม่ได้ กรีดร้องเสียงดังออกมาโดยไม่อาจควบคุม
“เหอะ…” กงอวี้เฉินราวกับได้ยินเรื่องน่าขัน “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
หยาดน้ำตาไหลลงมาจากหางตาของหญิงสาว กงอวี้เฉินลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง ยื่นมือออกไปเชยปลายคางใบหน้าสวยขึ้นมา เอ่ย “ใบหน้างดงามเพียงนี้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี นอกจากใบหน้านี้แล้วเจ้ายังมีประโยชน์ใดอีก ไม่ต้องเทียบกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ เกรงว่าแม้แต่สมองก็ยังเทียบกับจูชูอวี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าจะไม่ไปก็ได้ แต่ว่า…เจ้ามีสิทธิหรือ”
หญิงสาวกัดริมฝีปาก น้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าสวยโดยไร้เสียงสะอื้น เปรอะเปื้อนนิ้วมือของเขา กงอวี้เฉินปล่อยมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่ชื่นอยู่บนมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ว่าง่ายๆ เถิด อย่าทำลายงานของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะโกรธเอาได้ เข้าใจหรือไม่”
ได้ยินน้ำเสียงที่เรียกได้ว่าอ่อนโยนของเขา หญิงสาวตัวสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ สีหน้าซีดขาวขึ้นมา รีบพยักหน้ารัวเร็ว กงอวี้เฉินจึงพอใจ ลูบเส้นผมสวยเบา ๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กดี” ราวกับพี่ชายที่รักและเอ็นดูน้องสาว ทว่าภายใต้ดวงตาสวยของหญิงสาวนั้นหลงเหลือเพียงความหวาดกลัวและโศกเศร้า
มองท่าทางเช่นนั้นของนาง กงอวี้เฉินหัวเราะเบาๆ “อย่ากลัว ข้าจะช่วยเจ้า ทำตามที่ข้าบอก ต่อไปจะเป็นผลดีต่อเจ้า”
“เจ้าค่ะ พี่ชาย” หญิงสาวหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบา
…
เว่ยจวินมั่วกลับมายังเขตกองกำลังของตนเอง แม้แต่เวลาพักก็ยังไม่มีต้องกลับมายุ่งอีกครั้ง เดี๋ยวก็ต้องไปรับตำแหน่งใหม่แล้ว ก่อนจะไปจากที่นี่มีเรื่องที่ต้องส่งต่ออีกไม่น้อย นอกจากนี้เขายังต้องเลือกนายทหารหนึ่งร้อยคนเพื่อติดตามเขาไปด้วย คนที่จะมาเป็นทหารติดตามของเขาแน่นอนว่าอนาคตต้องเป็นทหารคนสนิท
เพียงแต่หนานกงมั่วรู้สึกเสียดาย นางมาอยู่ที่นี่ยังไม่คุ้นเคยก็ต้องย้ายไปที่อื่น หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้ใจแคบ นำการฝึกและความคิดเห็นต่างๆ ที่นางเขียนเอาไว้ จัดการรวบรวมทั้งหมดแล้วให้คนนำไปส่งต่อให้เยี่ยนอ๋อง
พวกเขายังไม่ทันจัดการเรียบร้อย ลิ่นฉังเฟิงก็พาคนมาหา
“เวลาเพียงครึ่งปีเลื่อนขั้นราวกับอยู่บนปุยเมฆ คุณชายเว่ยช่างน่าอิจฉาไม่น้อย” นั่งอยู่ในห้องโถงรับแขกในเขตกองทัพ คุณชายฉังเฟิงยังคงดูเป็นคุณชายเจ้าสำราญ เพียงแต่การเข้าไปอยู่ในกองทัพเกือบครึ่งปีนั้นอย่างไรก็ยังทำให้เปลี่ยนแปลง อย่างน้อยผิวขาวผ่องของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีรำข้าวสาลี พลังที่แผ่ออกมานั้นเฉียบคมยิ่งขึ้น
นั่งอยู่ถัดจากเขานั้นเป็นเจี่ยนชิวหยาง รวมไปถึงคนที่เคยเป็นองครักษ์สายลับไม่กี่คนที่เข้าไปอยู่ในกองทัพพร้อมกัน ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ครึ่งปีมานี้ ต่ำที่สุดก็คงเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยแล้ว
ได้ยินคำของลิ่นฉังเฟิง ทุกคนจึงรีบก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
เว่ยจวินมั่วกวาดมองลิ่นฉังเฟิงด้วยสายตาราบเรียบ เอ่ย “พวกเจ้ามาทำอันใด”
ลิ่นฉังเฟิงไหวไหล่ เอ่ย “เพิ่งได้รับคำสั่งจากท่านอ๋อง นับแต่นี้ต่อไปพวกข้าก็กลายเป็นทหารคนสนิทของแม่ทัพเว่ยแล้วอย่างไรเล่า คำสั่งของท่านอ๋อง เจ้าไปอยู่ที่ไหน พวกข้าก็จะไปด้วย” เอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยนอ๋องก็ยังเป็นห่วงหลานชาย กระทั่งเรียกรวมยอดฝีมือวังจื่อเซียวที่สลายตัวไปแล้วกลับคืนมาโดยไม่นึกเสียดาย นี่หมายความว่าความตั้งใจที่จะยุบวังจื่อเซียวนั้นไม่ได้ผล ไม่รู้ว่าต้องสูญเสียนายทหารชั้นสูงในอนาคตไปมากเพียงใด อย่างไรเสียคนเหล่านี้ในอนาคตล้วนแล้วแต่เป็นขุนพลนำทัพด้วยตนเองได้ แต่หากมาติดตามเว่ยจวินมั่ว ข้างกายเว่ยจวินมั่วเดิมก็มิได้ต้องการขุนพลมากมาย ไม่ต้องมีทหารมากมาย คนเหล่านี้อย่างมากก็เป็นได้เพียงทหารองครักษ์
เห็นได้ว่าเยี่ยนอ๋องกังวลว่าเว่ยจวินมั่วไปอยู่กับเซี่ยลี่แล้วจะเป็นอันตราย มีองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์และฝีมือยอดเยี่ยมเหล่านี้ต่อให้เกิดเรื่องใดก็คงไม่ถึงชีวิต
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง กลับไป”
คุณชายเว่ยไม่ต้องการให้ล้มเลิกความตั้งใจเดิมเพียงเพราะเกิดเรื่องกะทันหันเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการจัดเช่นนี้ของเสด็จลุงนั้นไม่จำเป็นด้วยซ้ำ
ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว “เจ้าว่าควรฟังคำสั่งของเจ้าหรือคำสั่งของท่านอ๋อง คำสั่งทหารนั้นหนักแน่นดั่งขุนเขาไงพวก”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วไม่เอ่ยวาจา ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ยกน้ำชาขึ้นจิบมองไปยังหนานกงมั่ว “แม่นางมั่ว ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มหวาน “สบายดี คุณชายฉังเฟิงเองก็ดูเหมือนจะไม่เลว”
“ก็พอได้” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย
หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง เอ่ยถาม “พวกท่านมีกี่คน”
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “ไม่มาก มีเพียงห้าสิบคน อย่างไรเสียพวกเราก็คงไม่อาจทำให้สีหน้าของเซี่ยลี่ไม่น่ามองมากจนเกินไป”
“…” ยอดฝีมือคอยคุ้มกันกว่าห้าสิบคนมันต่างกันเยี่ยงไรเล่า คนไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาไปรับตำแหน่งใหม่หรือไปบุกถ้ำเสือถ้ำมังกรกันแน่
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “เอ่ยเช่นนี้ พวกเราก็ต้องเลือกที่เหลืออีกห้าสิบอย่างนั้นหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ “อู๋สยาตัดสินใจเถิด”
หนานกงมั่วไหวไหล่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่เรากลับมา ขุนพลเฉินและขุนพลเซวียฝากมาว่าให้พาพวกเซวียปินไปด้วย นอกจากนี้มีทหารที่ข้าฝึกเอาไปด้วยสักสิบคน ยังมีติงเสียวเถี่ยและจางจวีอานด้วย”
“จางจวีอานหรือ” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว จางจวีอานเป็นหมอประจำกองทัพ แม้พวกเขาต้องเอาหมอประจำกองทัพไปด้วยสักคนสองคน แต่จางจวีอานเป็นคนใหม่ วิชาการแพทย์ก็ไม่ได้โดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงมั่วเองก็เรียกได้ว่าเป็นหมอประจำกองทัพ มีติงเสียวเถี่ยและทหารที่ถูกฝึกอีกยี่สิบคนก็เพียงพอแล้ว
หนานกงมั่วเอ่ย “วิชาการแพทย์ของจางจวีอานไม่เลว อีกทั้งเขาอายุยังน้อย ข้าถามท่านหมอเหลียงและท่านหมอหลี่ทั้งสองคนแล้ว พวกเขาต่างไม่อยากไปจากที่นี่” การบังคับแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจเกิดอันตราย จางจวีอานยอมไปด้วยตนเอง ก็ต้องดีกว่าคนที่ถูกบังคับอยู่แล้ว
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ ไม่ถามอะไรอีก เพียงเอ่ย “รายชื่อที่เหลือ เลือกคนที่ฝีมือดีไปก็พอ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ลิ่นฉังเฟิงนั่งสังเกตทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “มีคนคอยช่วยเหลืออย่างแม่นางมั่ว นับเป็นวาสนาของคุณชายเว่ยแล้ว” หนานกงมั่วยิ้มร่า “คุณชายฉังเฟิงก็ควรหาคนคอยช่วยเหลือสักคนแล้ว” ลิ่นฉังเฟิงรีบแสดงท่าทางขอบคุณทว่ามิกล้าออกมา ไม่กล้าหยอกล้อทั้งสองคนอีก
เยี่ยนอ๋องคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ห้าหกวันต่อมาเว่ยจวินมั่วก็ได้รับคำสั่ง พาคนเก็บข้าวของและออกเดินทาง สำหรับค่ายทหารฝั่งนี้ไม่ได้รู้สึกตกใจกับผู้บังคับการกองพันและภรรยาผู้งดงามของผู้บังคับการกองพันที่หายไป คนส่วนใหญ่รู้ดีว่าคุณชายเว่ยมีที่มาไม่ธรรมดา เพียงคิดว่าคุณชายผู้นี้มาแฝงตัวอยู่กับพวกเขาแล้วกลับไปรับตำแหน่งก็เท่านั้น แน่นอนว่าเว่ยจวินมั่วเองก็เรียกได้ว่าเลื่อนขั้นราวกับเดินบนปุยเมฆ
เพียงแต่เมื่อจะไม่ได้เห็นหญิงงามเหล่าทหารเองก็รู้สึกเศร้าใจโดยไม่อาจเลี่ยงได้ อย่างไร…ต่อให้เว่ยฮูหยินขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้มีเจ้าของ แต่การได้มองก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนี่นา
ค่ายกองกำลังโยวโจวนั้นเป็นค่ายทหารแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองโยวโจวหนึ่งร้อยกว่าลี้ เขตชายแดนที่อยู่ใกล้กับค่ายที่สุดห่างออกไปเกือบสองร้อยกว่าลี้ ทว่ากลับห่างจากเมืองโยวโจวเพียงหนึ่งร้อยกว่าลี้ ทำให้ผู้คนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าสรุปแล้วกองทัพแห่งนี้นั้นป้องกันพวกเป่ยหยวนหรือป้องกันพวกตนเองกันแน่