หนานกงมั่วยิ้มหวานมองแม่ทัพเจียงเดินหายลับไป จากนั้นหันกลับมาปรายตามองคุณชายจ้าวด้วยรอยยิ้ม เพียงสายตาที่กวาดมองมาเล็กน้อยนั้นไม่รู้ทำไมคุณชายจ้าวถึงรู้สึกสั่นไหวอยู่ในใจ
ถูกบิดาของตนทอดทิ้งโดยไม่คิดลังเล บอกว่าไม่ผิดหวังก็คงโกหก เพียงแต่คุณชายจ้าวเองรู้ดีถึงน้ำหนักในใจบิดาระหว่างตนเองกับน้องชาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดว่าหนานกงมั่วจะไม่กล้าทำอันใดกับเขา กลับรู้สึกสะใจอยู่ในใจที่น้องชายต่างมารดาต้องโชคร้าย
หนานกงมั่วส่งสัญญาณมือให้กับหยาอี่ที่แทบถูกลืมไปแล้ว เอ่ย “นำศพกลับไปให้อู่จั้วชันสูตรเถิด”
หยาอี่รีบเอ่ยตอบรับ มาอยู่คั่นกลางระหว่างแม่ทัพท่านหนึ่งและจวิ้นจู่ อาจมิใช่ช่วงเวลาที่ดีของพวกเขานัก ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เดิมทีหยาเหมินก็เหมือนไม่มีตัวตน ไม่ว่าฝั่งไหนพวกเขาก็ไม่อาจล่วงเกินไป มองคุณชายจ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้าง หยาอี่ลังเลอยู่ชั่วครู่อดไม่ได้เอ่ยถาม “จวิ้นจู่ ไม่รู้ว่า…คุณชายจ้าว…” ตามหลักแล้ว คุณชายจ้าวต้องถูกพวกเขาพากลับไปกักตัวเอาไว้ก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่ผู้นี้ลืมไปแล้วหรืออย่างไร จึงไม่เอ่ยถึงเลยสักนิด
ด้านข้างหนานกงมั่ว ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายจ้าวเสียมารยาทต่อจวิ้นจู่ แน่นอนว่าต้องได้รับบทลงโทษก่อนถึงจะส่งไปที่หยาเหมินได้”
เดิมชวีเหลียนซิงก็งดงามน่าหลงใหล ยามนี้ยังเอ่ยกับหยาอี่ด้วยรอยยิ้มหวาน หยาอี่ทั้งสองมองด้วยหัวใจที่สั่นไหว เมื่อได้สติกลับคืนมาจึงรีบเอ่ย “จวิ้นจู่ เอ่อ…”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “มีอันใดข้าจวิ้นจู่จะรับผิดชอบเอง วางใจเถิด ข้าจวิ้นจู่รับรองว่าเขาจะมีชีวิตไปรับการไต่สวนที่หยาเหมิน”
“เช่นนั้น…พวกข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนขอรับ” หยาอี่ลอบถอนหายใจ รีบกล่าวลา
คนของจวนแม่ทัพแน่นอนว่าไม่ยอมให้หนานกงมั่วพาเขาไป ใครจะรู้ว่าเอากลับไปแล้วซิงเฉิงจวิ้นจู่จะทารุณโหดร้ายหรือไม่ น่าเสียดายเมื่อองครักษ์ต้องเผชิญหน้ากับพลังอันน่าเกรงขามของซิงเฉิงจวิ้นจู่ พวกเขาไม่กล้าเอ่ยหรือทำอันใดทั้งนั้น หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ ยิ้มหวานพลางเอ่ยว่า “กลับไปบอกกับแม่ทัพจ้าว คุณชายของท่านเสียมารยาทกับจวิ้นจู่เช่นข้า ข้าสั่งสอนเพียงเล็กน้อยแล้วจะส่งกลับคืนไปให้ แน่นอน…หากเขาไม่พอใจ มาคุยกับจวิ้นจู่เช่นข้าที่จวนเว่ยย่อมได้”
“เอาตัวไป” โบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์ด้านข้างนำตัวเขาไป
องครักษ์ไม่เอ่ยสิ่งใด เดินเข้าไปควบคุมตัวคุณชายจ้าวมุ่งหน้าตรงไปยังจวนเว่ย แน่นอนว่าคุณชายจ้าวไม่ยอม น่าเสียดายด้วยกำลังของเขา แม้องครักษ์จะจับเขาด้วยมือเดียวเขาก็ไม่อาจดิ้นหลุดได้
กลับมาถึงจวนเว่ย คุณชายจ้าวไม่เหลือความหยิ่งยโสที่เคยมีแล้ว มองหนานกงมั่วที่เดินเข้ามาจากด้านนอก เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางระแวดระวัง “เจ้าคิดจะทำอันใด”
หนานกงมั่วหัวเราะขึ้นมา “เอาตัวไปก่อน สั่งสอนเขาควรพูดอย่างไรค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่” หลิ่วหันรับคำสั่ง ด้วยรูปร่างบอบบางของสตรีใช้เพียงมือข้างเดียวหิ้วคุณชายจ้าวเดินออกไปด้านนอก ผ่านไปไม่นานด้านนอกก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคุณชายจ้าวดังขึ้น
ชวีเหลียนซิงยกถ้วยน้ำชาให้หนานกงมั่วด้วยตนเอง มองใบหน้าสบายๆ ของนาง อดยิ้มออกมาไม่ได้ “จวิ้นจู่ไม่กังวลสักนิดเลยหรือเจ้าคะ”
“กังวลอันใดกัน” หนานกงมั่วรับถ้วยชามา เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ชวีเหลียนซิงเอ่ย “อย่างไรก็เป็นคุณชายของแม่ทัพจ้าว แม่ทัพจ้าวผู้นั้นดูเหมือนจะนิสัยไม่ดีนะเจ้าคะ” คนอารมณ์ร้อน บางทีทำอันใดอาจไม่ได้คิดให้รอบคอบ นั่นหมายความว่าเขาอาจไม่ได้คิดคำนึงว่าตนเองไม่ควรล่วงเกินซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือเบื้องหลังซิงเฉิงจวิ้นจู่จะมีใคร เมื่อมีความโกรธขึ้นมาก็พุ่งเข้าหาทันที
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้าตั้งตารอเขาแล้วล่ะ หลายวันมานี้ช่างน่าเบื่อ”
ไม่นาน คุณชายจ้าวก็ถูกหิ้วกลับเข้ามาโยนทิ้งลงบนพื้น เพียงแต่ใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่ได้โดดเด่นยามนี้ถูกต่อยตีจนใบหน้าแดงบวมเป่ง คุณชายจ้าวจ้องหนานกงมั่วเขม็ง ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยคำด่าที่ติดอยู่ในปากออกมา หนานกงมั่วรู้สึกสนุกสนานขึ้นมา “ดูเหมือนจะรู้ความแล้วหรือ”
“เจ้าจะเอาอย่างไร”
หนานกงมั่วเท้าแขนลงกับที่รองแขน เอ่ยเสียงเรียบ “ว่ามาสิ ใครให้เจ้ามาใส่ร้ายจวิ้นจู่เช่นข้า”
สีหน้าของคุณชายจ้าวพลันเปลี่ยนแปร เอ่ย “ไม่มีใคร ข้าไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า”
“เจ้าจะบอกว่า ครั้งนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มตาหยี คุณชายจ้าวเดิมทีอยากตอบเช่นนั้น แต่เมื่อมองใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มของหนานกงมั่วแล้วอย่างไรก็เอ่ยไม่ออก เขาเข้าใจดี หนานกงมั่วไม่มีทางเชื่อคำพูดของเขา ดังนั้นจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ
หนานกงมั่วเชิดปลายคาง เอ่ย “เจ้าคิดว่า…เห็นแก่หน้าบิดาของเจ้า ข้าจะไม่กล้าทำอันใดเจ้า อาศัยที่เจ้าให้ร้ายจวิ้นจู่เช่นข้า ไม่เคารพข้า ต่อให้ข้าโบยเจ้าให้ตาย บิดาของเจ้าก็ไม่อาจมีเหตุผลอันใดมาโต้แย้งข้าได้”
“เจ้ากล้าหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มงดงาม “ข้ากล้า เพียงแต่ ข้าคิดว่ามันไม่สนุก พวกเรามาเล่นกันสักหน่อย”
คุณชายจ้าวมองสตรีงดงามตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ได้ยินเพียงหนานกงมั่วเอ่ย “ตอนนี้บิดาของเจ้ารู้แล้วว่าเจ้าถูกข้าจับไป เจ้าทายว่าเขาจะมาช่วยเจ้าเมื่อใด”
คุณชายจ้าวเอ่ยขึ้นอย่างทะนงตัว “รอท่านพ่อของข้ากลับจากไปดูอาการบาดเจ็บของน้องสี่แล้วก็จะมาหาข้า”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าเดิมพัน…บิดาของเจ้าจะไม่มาช่วยเจ้า ไม่เพียงไม่มา เขายังส่งเจ้าให้ข้าจัดการได้ตามใจด้วย”
“เป็นไปไม่ได้” คุณชายจ้าวยิ้มเย็นตอบกลับ ไม่เชื่อคำพูดของหนานกงมั่วเลยสักนิด แม้ว่าบิดาจะไม่เห็นตนสำคัญเท่าน้องสี่ แต่ก็ยังรักและเอ็นดู จะส่งเขาให้ซิงเฉิงจวิ้นจู่จัดการได้ตามใจชอบเพียงเพราะเรื่องเล็กๆ นี้ได้เยี่ยงไร หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “ไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นเรามาเดิมพันกันสักหน่อย เป็นอย่างไร”
“เจ้าอยากเดิมพันอันใด” คุณชายจ้าวเอ่ย
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ข้าเดิมพันว่าบิดาของเจ้าจะไม่ช่วยเจ้า เจ้าสามารถเดิมพันว่าบิดาของเจ้าจะมาช่วยเจ้าภายในกี่ชั่วยาม แน่นอน ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจะให้เวลาบิดาเจ้ามากสักหน่อย”
คุณชายจ้าวแค่นยิ้มเย็น ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงกัดฟันเอ่ย “หนึ่งชั่วยาม ภายในสองชั่วยามท่านพ่อข้าจะมาอย่างแน่นอน หากเจ้าแพ้แล้วจะทำเช่นไร” ตอนนี้ผ่านมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เวลาเกือบสองชั่วยามไม่ว่าน้องสี่จะเป็นอย่างไรก็เพียงพอให้บิดาของเขาหาเวลามาช่วยเขาได้
หนานกงมั่วเอ่ย “หากข้าแพ้ เรื่องในวันนี้ข้าจะยอมไม่ฟ้องเจ้า ข้าจะปิดสำนักแพทย์ของข้า แต่หากเจ้าแพ้…”
“เป็นไปไม่ได้” คุณชายจ้าวเอ่ยหนักแน่น
หนานกงมั่วไม่สนใจ เอ่ยเสียงเรียบ “หากเจ้าแพ้ หากบิดาเจ้ามาช้าทุกๆ หนึ่งเค่อ ข้าจะเฆี่ยนเจ้าสิบครั้ง จนกว่าบิดาของเจ้าจะมาห้าม หากเขาไม่ยอมมา…เจ้าก็ช่วยเหลือตัวเองเถิด”
คุณชายจ้าวมองหนานกงมั่วอย่างตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าสตรีงดงามตรงหน้าจะโหดร้ายเพียงนี้ เพียงแต่เขากลับไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ จึงพยักหน้าอย่างลำพองใจ เอ่ย “ได้ คำไหนคำนั้น”
หนานกงมั่วเพียงยิ้ม ทว่าไม่เอ่ยวาจา
เวลานี้แม่ทัพจ้าวกลับยุ่งจนอลหม่าน หมอทั่วทั้งเมืองเล็กๆ แทบจะถูกเขาเชิญมายังจวนจ้าวจนหมด ในเรือนคุณชายสี่ แม่ทัพจ้าวกำลังยืนร้อนใจอยู่หน้าประตูรอผลการตรวจจากหมอ สตรีผู้มีใบหน้างดงามวัยกลางคนด้านข้างเขาร้องไห้จนแทบกลายเป็นมนุษย์น้ำตาอยู่รอมร่อ
ในห้องพลันมีเสียงร้องดังลั่น สุดท้ายแม่ทัพจ้าวจึงทนไม่ไหวถีบประตูเปิดออกทันที