เว่ยจวินมั่วเอ่ย “แล้วแต่ท่านแม่ทัพขอรับ”
หนานกงมั่วสัมผัสได้ว่า ยามที่แม่ทัพเซี่ยเอ่ยถึงแม่ทัพหัน สายตาของนายทหารชั้นสูง ณ ที่นี่ มองมายังเว่ยจวินมั่วอย่างไม่พอใจนัก คาดว่า…แม่ทัพหันผู้นี้คงไม่ได้กลับบ้านเกิดไปง่ายๆ อย่างที่แม่ทัพเซี่ยกล่าวใช่หรือไม่
เซี่ยลี่เอ่ยมอบหมายงานในกองทัพอีกเล็กน้อย ก่อนจะให้เว่ยจวินมั่วพาคนอื่นๆ ไปพักผ่อน
ค่ายบัญชาการเมืองโยวโจวเป็นค่ายทหารแห่งหนี่ง แต่ให้ดีมิสู้เรียกว่าเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งจะดีกว่า ในเมืองมีเพียงครอบครัวทหารของกองทัพอาศัยอยู่ หากไม่ใช่เพราะพื้นที่เล็กเกินไป ดูแล้วเหมือนตั้งป้อมประจันหน้ากันกับโยวโจวเสียอีก เมืองเล็กๆ นี้มีมานานแล้ว เยี่ยนอ๋องเองก็ไม่สนใจ เห็นชัดว่าเป็นความประสงค์ของอดีตฮ่องเต้
เว่ยจวินมั่วเป็นแม่ทัพขั้นสอง ตำแหน่งสูงทั้งยังอยู่ภายใต้เซี่ยลี่เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงมีจวนส่วนตัวอยู่ใจกลางเมือง แม้เรียกไม่ได้ว่าดีมาก แต่ก็เป็นเรือนที่มีสองส่วน คนเข้าอาศัยอยู่ได้ไม่มีปัญหา เพียงแต่เซี่ยลี่คงไม่คิดว่าเว่ยจวินมั่วจะพาผู้ติดตามมาหนึ่งร้อยคนจริงๆ ดังนั้นเมื่อบวกกับจำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดูจะแออัดเกินไปสักหน่อย
หนานกงมั่วนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทีเกียจคร้าน เอนศีรษะไปพิงไหล่ของเว่ยจวินมั่ว ด้านล่าง ลิ่นฉังเฟิง เจี่ยนชิวหยางและคนอื่นๆ เองก็นั่งอยู่ด้วย
ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจออกมา เอ่ย “หลายเดือนแล้วที่ไม่เห็นเรือนเป็นหลังเช่นนี้ แม้ที่นี่จะเป็นเรือนเล็กๆ แต่คุณชายอย่างข้าก็รู้สึกอบอุ่นนะ” วาจานี้ หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วยังมีแอบหนีออกไปข้างนอกบ้างเป็นบางครั้ง แต่คุณชายฉังเฟิงเข้าไปในกองทัพแล้วกลับต้องฝึกอยู่ในนั้นกว่าครึ่งปี ได้ยินว่าพวกเว่ยจวินมั่วทั้งสองไม่เพียงได้กลับไปมีอิสระในโยวโจว อีกทั้งยังออกไปเที่ยวที่นอกด่าน คุณชายฉังเฟิงอิจฉาจนดวงตาแดงก่ำแล้ว
หนานกงมั่วก้มหน้าหัวเราะเบาๆ “คุณชายฉังเฟิง มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ มิสู้รีบคิดดีกว่าว่าคนในเรือนนี้จะจัดการกันอย่างไร” เพียงคิดถึงสายตาที่เต็มไปทั่วทั้งจวน หนานกงมั่วก็รู้สึกกินข้าวไม่ลงแล้ว
ลิ่นฉังเฟิงกลับไม่สนใจ “จะจัดการเยี่ยงไรเล่า เรือนเก่าผุพังนี่แม้แต่คนของเราเองก็อยู่กันไม่พอ คนที่เหลือ แน่นอนว่าต้องไล่ออกไป”
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ ยกนิ้วให้เขาอย่างอารมณ์ดี “เป็นความคิดที่ดี เหลียนซิง ไปจัดการเถิด”
ชวีเหลียนซิงที่นั่งอยู่ท้ายสุดลุกขึ้น ย่อตัวทำความเคารพหนานกงมั่ว เอ่ย “บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
มองชวีเหลียนซิงเดินออกไปแล้ว ลิ่นฉังเฟิงนิ่งงัน “นี่ เจ้าจริงจังหรือ ข้าล้อเล่นนะ พวกเราเพิ่งมาก็ไล่คนออกไปจนหมด ไม่ไว้หน้าเซี่ยลี่เกินไปหรือไม่”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยท่าทางใสซื่อ “คุณชายฉังเฟิงเอ่ยเช่นนั้นมิใช่หรือ คนของเราเองยังไม่พออยู่ จวนเล็กเพียงนี้ อยู่ร้อยกว่าคนก็นับว่าเกินไปแล้ว” พวกลิ่นฉังเฟิง แม้ฐานะไม่ธรรมดา แต่เมื่อติดตามเว่ยจวินมั่วก็เป็นเพียงองครักษ์และทหารผู้ติดตามเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ช่วย ราชสำนักก็ไม่มีเงินเดือนให้ ไม่รวมตำแหน่งก็มีเพียงแต่ตัวเท่านั้น
คุณชายฉังเฟิงรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา ไม่ง่ายกว่าจะขึ้นเป็นผู้บังคับการกองพันได้ เห็นอยู่ว่าผ่านปีนี้ไปก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง ชั่วพริบตาพลันเหลือแต่ตัว หันไปมองเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ที่นั่งเหนือสุด คนผู้นี้ขึ้นลงใช้เวลาไม่มาก อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นขุนนางขั้นสองถูกเซียวเชียนเยี่ยถอดถอน ผ่านไปไม่นานเซียวเชียนเยี่ยก็เป็นคนแต่งตั้งเขาขึ้นมาเป็นขุนนางขั้นสองด้วยตนเองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเยี่ยนอ๋องทำได้อย่างไร เซียวเชียนเยี่ยคงไม่ได้เขียนราชโองการไปกระอักเลือดไปใช่หรือไม่ ตาสัญลักษณ์สีแดงที่ประทับ ดูแล้วก็เหมือนเลือดเซียวเชียนเยี่ยอยู่เช่นกัน
คิดมาถึงตรงนี้ คุณชายฉังเฟิงพลางหงอยเหงาขึ้นมา โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “แล้วแต่เจ้าเถิด อย่างไรเซี่ยลี่ก็มาหาเรื่องกับข้าไม่ได้ ข้าขอเตือนท่านทั้งสองว่าให้ระวังสักหน่อย ขั้นสูงกว่าหนึ่งขั้นก็บีบคนให้ตายได้”
หนานกงมั่วมองเขาพลางหัวเราะออกมา เอ่ย “คุณชายฉังเฟิง ข้าว่าเป็นท่านต่างหากที่ต้องระวังสักหน่อย แม้เซี่ยลี่จะมียศสูงกว่าเว่ยจวินมั่ว เขาจะมาหาเรื่องก็ต้องคำนึงถึงเสด็จลุงและเสด็จแม่ ส่วนจวิ้นจู่เช่นข้า…เซี่ยลี่ขั้นสอง จวิ้นจู่ข้าขั้นสูงสุด นอกจากนี้…เซี่ยลี่ขั้นสูงกว่าจวินมั่วเพียงครึ่งขั้นเท่านั้น แต่ว่าเจ้า…เป็นคนสนิทที่จวินมั่วเชื่อใจที่สุด…หึๆ” บนโลกใบนี้มีคำอยู่หนึ่งคำเรียกว่าระบายความโกรธอย่างไรเล่า
คุณชายฉังเฟิงเพียงรู้สึกเหมือนมีสัตว์ในตำนานวิ่งวุ่นอยู่ในใจ
เห็นว่าคุณชายฉังเฟิงถูกโจมตีจนแทบจะเป็นลม คุณชายเว่ยจึงเกิดความสงสารขึ้นมายื่นมือไปตบหลังมือหนานกงมั่วเบาๆ บอกใบ้ว่า อย่าทำให้เขาตกใจอีกเลย เขายังต้องทำงานนะ
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น ส่งสัญญาณว่าเข้าใจแล้ว
“เซี่ยลี่ยอมมอบอำนาจให้ง่ายเพียงนี้ ต่างจากที่คาดเอาไว้สักหน่อยนะขอรับ” เจี่ยนชิวหยางที่นั่งอยู่ข้างลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วมองไป เอ่ย “เอ๋ อย่างไรหรือ”
เจี่ยนชิวหยางยิ้ม เอ่ย “เอ่อ..เดิมทีข้าน้อยคิดว่า เซี่ยลี่คิดจะควบคุมคุณชายถึงจะถูก” อำนาจของกองกำลังประจำเมืองเป็นสิ่งต้องห้ามให้ผู้ปกครองเมืองเข้าใกล้ ครั้งนี้เยี่ยนอ๋องสามารถส่งคนเข้ามาข้างในนับว่าไม่ง่ายแล้ว คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของเซี่ยลี่คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เซี่ยลี่กลับยอมรับพวกเราง่ายๆ ราวกับว่าเว่ยจวินมั่วไม่ใช่คนที่เยี่ยนอ๋องส่งมา เป็นเพียงขุนพลธรรมดาที่ถูกเรียกตัวมารับตำแหน่ง เกรงว่าต่อให้เป็นการเรียกตัวมารับตำแหน่งทั่วไปก็คงไม่ราบรื่นเพียงนี้
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นั่นแน่นอนว่าสาเหตุเพราะ…พวกเขาก็ต้องการให้เรามา มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเซียวเชียนเยี่ยจะมอบยศขุนนางขั้นสองมาให้โดยไม่หวังผลอย่างนั้นหรือ”
เจี่ยนชิวหยางเลิกคิ้ว “ดังนั้น ท่านอ๋องอยากให้คุณชายเข้ามา และฮ่องเต้เองก็ต้องการให้คุณชายเข้ามาพอดี ดังนั้นจึงลื่นไหลราวกับล่องเรือตามน้ำอย่างนั้นหรือขอรับ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่อาจเรียกได้ว่าล่องเรือไปตามน้ำหรอก แต่ว่า…เซียวเชียนเยี่ยนคงชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียมาแล้วอย่างแน่นอน” หันกลับมามองเว่ยจวินมั่ว เห็นชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยยังคิดจะทำลายเว่ยจวินมั่วอยู่ เพียงแต่ตัวเว่ยจวินมั่วนั้นอยู่ในกองทัพส่วนพระองค์ ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยมีมือมีตาไปทั่วหล้าก็ไม่อาจแตะต้องพวกเขาได้แม้เพียงปลายเส้นขน แต่ตอนนี้มาอยู่ในมือเซี่ยลี่ โอกาสที่จะลงมือจึงมีมากขึ้น บางทีเยี่ยนอ๋องเองก็รู้ดีถึงความคิดของเซียวเชียนเยี่ยในเรื่องนี้จึงได้ตอบสนองความต้องการนี้ไป หากคนที่เยี่ยนอ๋องเสนอไปเป็นคนอื่น อย่าว่าแต่เซียวเชียนเยี่ยไม่อนุญาตเลย เกรงว่าแม้แต่มองก็คงไม่มอง
ฝั่งหนึ่งมีใจ ฝั่งหนึ่งมีความต้องการ ตอนนี้พวกเขาเข้ามารับตำแหน่งแล้ว ต่อไปก็ต้องรอดูฝีมือของทั้งสองฝ่ายแล้ว
ราวกับเข้าใจความคิดของหนานกงมั่ว เว่ยจวินมั่วกุมมือนางเอาไว้มุมปากยกยิ้มบางๆ พยักหน้าเบาๆ
ลิ่นฉังเฟิงที่นั่งดูอยู่ข้างๆ อดที่จะปวดฟันไม่ได้ ส่งเสียงเหอะเบาๆ จากนั้นหันหน้าหนีราวกับมองไม่เห็นการกระทำของทั้งคู่
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองคุณชายฉังเฟิงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเข้ม “ฉังเฟิง ชิวหยางพวกเจ้าติดตามข้า หลิ่วหัน ซิงเวยพวกเจ้าอยู่กับอู๋สยา”
เมื่อถูกเรียกชื่อทั้งสี่คนพลันชะงักไป ก่อนจะได้สติขึ้นมา ลุกขึ้นส่งเสียงตอบรับโดยพร้อมเพรียง ทว่าหนานกงมั่วตกใจ เอ่ย “คงไม่ต้องทำเช่นนี้กระมัง หลิ่วหันติดตามข้าก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทหารองครักษ์จะเกิดเรื่องอันใดได้” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วมองนาง ไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วกะพริบตาอย่างจนปัญญา “ก็ได้ แล้วแต่ท่าน”
“คุณชาย จวิ้นจู่” ชวีเหลียนซิงเดินเข้ามา เอ่ยอย่างนอบน้อม “คนย้ายออกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”