ในห้อง หมอหลายคนกำลังล้อมอยู่รอบเตียงเพื่อจัดการกับบาดแผล บนเตียงมีคุณชายสี่ตระกูลจ้าวที่อายุเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ นอนอยู่บนเตียงโดยขาข้างหนึ่งนั้นมีรอยเลือดเกรอะกรัง ราวกับขาทั้งขานั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด บาดแผลบนขาฉีกออกเกือบเห็นกระดูก คุณชายจ้าวสี่เจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ถูกหมอสองคนกดไว้ทว่ากลับต่อต้านดิ้นรนไม่ยอมหยุด ทำให้หมอที่กำลังทำแผลให้เขาทำได้ยากยิ่งขึ้น
“คารวะ…คารวะท่านแม่ทัพ”
“พูดมากอันใดกัน” แม่ทัพจ้าวพุ่งมาหยุดอยู่ข้างเตียง เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ยังไม่รีบจัดการอีก เจ้าสี่เป็นอย่างไรกันแน่”
หมอชราคนหนึ่งลังเลอยู่ชั่วครู่ ตัดสินใจเอ่ยตามตรง เอ่ยเสียงจริงจัง “รายงานท่านแม่ทัพ บาดแผลของคุณชายสี่…เห็นท่าจะไม่ดีนะขอรับ”
หัวใจของแม่ทัพจ้าวหนักอึ้ง เอ่ยเสียงดัง เห็นท่าจะไม่ดีอันใดกัน เพียงถูกม้าเหยียบมิใช่หรือ ไยข้าที่ถูกลูกธนูยิงจนทะลุยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้เล่า” หมอชราถอนหายใจ หากถูกลูกธนูยิงก็คงจะดี ขอเพียงไม่บาดเจ็บถึงเส้นเลือดก็คงง่ายกว่ามาก เพียงแต่… “เจ้าม้านั้นเหยียบเข้าที่กระดูกขาของคุณชายสี่โดยบังเอิญ แม้กระดูกจะมิได้แตกทั้งหมด ทว่ายังบาดเจ็บหนัก อยากรักษาให้กลับมาเป็นปกติเกรงว่า… นอกจากนี้ บาดแผลเช่นนี้ไม่ง่ายที่จะกลับมาเป็นปกติ เพราะหากไม่ระวังติดเชื้อแล้ว…”
แม่ทัพจ้าวกัดฟัน เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ว่าพวกท่านต้องการยาอันใด ข้าจะหามาให้ได้ ต้องรักษาเจ้าสี่ให้ได้” แม่ทัพจ้าวเองก็ควบม้าอยู่ในสนามรบมาก่อน จะไม่รู้ได้เยี่ยงไรว่าผลของการติดเชื้อนั้นหนักเพียงใด หลังจากสงครามมีทหารจำนวนไม่น้อยต้องตายจากไปเพราะบาดแผลติดเชื้อ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าเจ็บมาก…” คุณชายสี่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าคายผ้าที่ยัดอยู่ในปากออกตั้งแต่เมื่อใด ร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างน่าสงสาร
“เจ้าสี่…เจ้าสี่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว จะไม่เป็นอันใด…” แม่ทัพจ้าวรีบเอ่ยปลอบโยน
“ท่านแม่ทัพ…” หมอขมวดคิ้ว มองแม่ทัพจ้าวที่มีท่าทีร้อนรน แสดงความคิดเห็น “บาดแผลของคุณชายสี่ พวกเราเกรงว่า…หากท่านแม่ทัพรู้จักหมอยอดฝีมือ ควรรีบหาวิธีเชิญมาให้ไวที่สุด ยิ่งรักษาโดยเร็วยิ่งเป็นการดี อาการของคุณชายสี่จะมีโอกาสหายสูงยิ่งขึ้น”
แม่ทัพจ้าวเอ่ย “ท่านหมอทั้งหลายเองก็เป็นหมออันดับต้นๆ ในเมือง…”
หมอส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ข้าไร้ความสามารถ…ข้าหมายถึง หมอเทวดายอดฝีมือ หมอธรรมดา ยาธรรมดา เกรงว่าคงไม่เป็นผลต่อบาดแผลของคุณชายสี่”
“หมอเทวดา…” แม่ทัพจ้าวขมวดคิ้ว เขาจะไปหาหมอเทวดาที่ว่ามาจากที่ใด สตรีด้านนอกประตูราวกับได้ยินสิ่งที่ท่านหมอเอ่ยเช่นกัน รีบพุ่งเข้ามา “นายท่าน…นายท่านทำอย่างไรกันดี ลูกสี่ บาดแผลของลูกสี่จะ…”
“เจ้าอย่าพึ่งร้อนใจไป” แม่ทัพจ้าวขมวดคิ้วปลอบโยนอนุภรรยารัก เงียบไปชั่วครู่ เอ่ยว่า “ข้าจะรีบส่งคนไปที่โยวโจว เชิญหมออันดับต้นๆ ในโยวโจวมาให้หมด”
“ดีเลยเจ้าค่ะ” สตรีผู้นั้นรีบพยักหน้า เอ่ย “ลูกสี่จะเป็นอันใดไม่ได้ เขาเป็นชีวิตของข้า…”
มองแม่ทัพจ้าวเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว หมอชราลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจ ต่อให้มีหมอมีชื่อเสียงจริงๆ บาดแผลของคุณชายสี่ผู้นี้…เกรงว่าก็ยังน่าเป็นห่วง
แม่ทัพจ้าวเพิ่งออกจากประตูมาก็เจอกับองครักษ์ที่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เกือบจะชนเข้าให้แล้ว แม่ทัพจ้าวที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วยกเท้าถีบออกไป “ท่าน…ท่านแม่ทพ…” ทหารองครักษ์รีบลุกขึ้น ใบหน้าซีดขาว เอ่ย “ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญรายงานท่านแม่ทัพขอรับ คุณชายสามถูกซิงเฉิงจวิ้นจู่พาตัวไปที่จวนเว่ย ตอนนี้ยังไม่…”
แม่ทัพจ้าวโบกปัดมืออย่างหงุดหงิด เอ่ย “ค่อยว่ากัน”
“แต่ว่า ท่านแม่ทัพ…”
“ไสหัวไป” แม่ทัพจ้าวตะคอกเสียงดัง รีบเดินออกไป
เช้าวันต่อมาหนานกงมั่วทานข้าวเช้าแล้ว จึงนึกถึงคุณชายจ้าวที่ถูกขังไว้ในจวนขึ้นมา พาชวีเหลียนซิงและหลิ่วเดินไปหาอย่างเชื่องช้า มองเห็นคุณชายจ้าวที่ถูกมัดไว้อยู่ใต้ต้นไม้ในสวนโดยมีแสงแดดยามเช้าสาดส่อง เสื้อผ้าบนร่างกายมีร่องรอยคราบเลือด นับตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนตอนนี้ ผ่านไปแล้วเจ็ดชั่วยาม ทหารองครักษ์ปฏิบัติตามคำสั่งของหนานกงมั่วอย่างเคร่งครัด เฆี่ยนคุณชายจ้าวไปเจ็ดสิบครั้ง เพียงแต่พวกเขาลงมือก็รู้จักพอประมาณ อย่างน้อยรับปากว่าจะให้คุณชายจ้าวยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งไม่มีคำสั่งของจวิ้นจู่พวกเขาก็ไม่เฆี่ยนในตำแหน่งอันตราย ดังนั้นบาดแผลบนร่างกายของคุณชายจ้าวล้วนแล้วแต่เป็นบาดแผลภายนอกเท่านั้น แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็เพียงพอให้เจ็บปวด
มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา ดวงตาของคุณชายจ้าวฉายแววโกรธเกรี้ยว ทว่าในนั้นยังแฝงความหวาดกลัวด้วยเล็กน้อย
หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ย “คุณชายจ้าว เมื่อคืนสบายดีหรือไม่”
เมื่อคืนสบายดีหรือไม่อย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าไม่ ไม่ต้องเอ่ยถึงที่ต้องถูกเฆี่ยนทุกๆ ชั่วยามมากกว่าสิบครั้ง ต่อให้ถูกมัดไว้ในสวนทั้งคืนก็ไม่ดีแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วง แต่อากาศตอนกลางคืนของทางเหนือนั้นหนาวเหน็บ อีกทั้งยังยืนอยู่ทั้งคืน ต่อให้เป็นการบีบบังคับคุณชายจ้าวเองก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าอย่ามาโทษข้าเล่า เจ้าเชื่อใจบิดาของเจ้ามาก น่าเสียดาย…ตอนนี้ผ่านไปเจ็ดชั่วยามแล้ว คนในจวนเจ้าไม่ว่าจะเบื้องบนหรือเบื้องล่างก็ไม่มีใครมาถามข่าวคราวเจ้าแม้เพียงคนเดียวนี่นา”
คุณชายจ้าวกัดฟันเงียบไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “ดังนั้นเจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้ เมื่อวานจวิ้นจู่เช่นข้าถูกเจ้าให้ร้ายจนชื่อเสียงแทบไม่เหลือ ความโกรธนี้หากไม่ระบายออกมา ต่อไปข้าหนานกงมั่วจะไปเที่ยวเดินอยู่ข้างนอกนั่นได้เช่นไร หากจะกล่าวโทษ เจ้าก็ต้องโทษที่เชื่อใจบิดาของเจ้าจนเกินไป หากเจ้าบอกว่าสิบชั่วยาม ตอนนี้เจ้าก็คงไม่เป็นอันใดมิใช่หรือ”
“ข้าไม่เชื่อ” คุณชายจ้าวเอ่ย “ข้าไม่เชื่อ ต้องเป็นเจ้าแน่…เจ้าให้คนไปขวางไม่ให้ท่านพ่อข้าเข้ามา ใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วมองเขาอย่างเห็นใจ ไม่ได้ตอบโต้ ทว่าเป็นชวีเหลียนซิงที่ยิ้มหวาน เอ่ย “คุณชายจ้าว ท่านช่างชอบใส่ร้ายจวิ้นจู่ของเรา สวนนี้ห่างจากประตูใหญ่เพียงกำแพงเดียวเท่านั้น มีหรือที่มีคนมาท่านจะไม่รู้ได้หรือ ได้ยินมาว่าคุณชายจ้าวสี่บาดเจ็บสาหัส เมื่อวานแม่ทัพจ้าวก็ส่งม้าเร็วไปเชิญหมอที่โยวโจว เกรงว่าคงไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องฝั่งนี้เจ้าค่ะ ท่านลองรอไปอีกสักพัก ตอนนี้ท่านหมอมาถึงแล้ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสักสองชั่วยามแม่ทัพจ้าวอาจจะมาก็ได้”
มองดูสองหญิงงามที่มีรอยยิ้มสวยสดตรงหน้า คุณชายจ้าวกลับไม่มีความรู้สึกอยากชื่นชม ไม่ใช่เพียงเพราะหนานกงมั่วที่ลงมือร้ายกาจและการเย้ยหยันของชวีเหลียนซิง ทว่าเป็นเพราะเขารู้สึกสับสนและหวาดกลัวอยู่ในใจ ท่านพ่อส่งคนไปเชิญหมอมาช่วยน้องสี่ แม้จะเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อก็ไม่ได้ไปเชิญหมอด้วยตนเอง จวนจ้าวห่างจากจวนเว่ยเพียงถนนหนึ่งเส้น เพียงเดินมา…มันยากนักหรือ นึกถึงเมื่อวานที่ตนเองลอบสะใจอยู่ในใจ ตอนนี้กลับหลงเหลือเพียงความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีทาง แม้ท่านพ่อจะรักน้องสี่มากสักหน่อย ก็ไม่มีทางทิ้งเขา ไม่มีทาง…สตรีสองคนนี้เพียงต้องการสร้างความร้าวฉานก็เท่านั้น
มองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขาแล้วหนานกงมั่วเองก็ไม่เอ่ยอันใดมาก เพียงเอ่ยเสียงเนิบนาบ “คิดให้ดี ไยเจ้าจึงมาหาเรื่องข้า แล้วก็ ขอพรให้บิดาเจ้ารีบมาเถิด มิเช่นนั้น เจ้าคงต้องซวยแล้วจริงๆ”
คุณชายเว่ยไม่เอ่ยวาจา ทหารองครักษ์คนหนึ่งถือแส้เดินเข้ามา ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ๋ ถึงเวลาอีกแล้วหรือ”