ตอนที่ 31 ลำเอียง
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป หร่วนซื่อหัวเราะเล็กน้อย ก่อนใช้นิ้วทิ่มศีรษะของซ่งอิง “เด็กบื้อ ผลไม้ป่าจะมีใครเขาซื้อกัน! บนภูเขานี่มีอยู่ทั่วไปหมด เด็กๆ บ้านไหนอยากกินก็ขึ้นเขาไปเด็ดกินเองเป็นอันสิ้นเรื่อง ทางด้านตัวอำเภอนั่นแม้ไม่มีผลไม้ป่านี้ แต่คนที่อยู่ในเมืองก็ไม่ใช่ว่าไร้ประสบการณ์ไม่เคยเปิดหูเปิดตา แล้วจะชายตาแลของนี่ได้อย่างไรหรือ”
ซ่งอิงกลับส่ายหน้า
“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ชิมผลไม้ที่ข้าเด็ดมาว่ารสชาติเป็นเช่นไรสินะเจ้าคะ? หวานเจี๊ยบเชียวละ! ตอนนี้ต้นฤดูใบไม้ผลิ หาผลไม้กินได้น้อยนัก ขอเพียงมีคนยอมลิ้มชิมรสผลไม้ของข้า จะต้องซื้อติดมือกลับไปบ้างอย่างแน่นอน ท่านวางใจได้!” ซ่งอิงมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง
จะทำผลไม้กวนและสุราล้วนจำต้องมีน้ำตาลในปริมาณที่เพียงพอ จะทำผลไม้แห้งก็ต้องอาศัยสภาพอากาศที่แห้งสนิท และนางในตอนนี้ก็ขาดแคลนเงินเกินไป สิ่งเหลานี้ล้วนไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
หร่วนซื่อมองนางอย่างลังเลใจ และไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก
“ท่านแม่ จริงอย่างที่น้องพูดนะขอรับ ผลไม้รสชาติดีทีเดียว น่าจะขายได้ พรุ่งนี้ข้าจะเช่าเกวียนวัวลากจูง นำติดไปสักสองตะกร้า เข้าเมืองไปลองเสี่ยงดวงดู” ซ่งสวินกล่าวเช่นกัน
แม้แต่บุตรชายยังพูดเยี่ยงนี้ หร่วนซื่อจึงชักเริ่มเชื่อขึ้นมาเสียแล้ว
สองสามีภรรยาลองลิ้มชิมรส
เมื่อได้ชิม ดวงตาถึงขั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“นี่…เหตุใดลวี่โต่วกั่วนี่ถึงหวานเพียงนี้!? ปีที่แล้วข้าเด็ดมาเคี่ยวกับน้ำตาลไว้จำนวนไม่น้อย ตอนนั้นรสชาติยังออกเปรี้ยวและฝาดเลยนี่?” จากนั้นรู้สึกว่าไม่น่าเป็นความจริงไปได้ จึงชิมมันอีกหลายลูกต่อเนื่อง ผลสุดท้ายปรากฏว่า แต่ละผลล้วนรสชาติอร่อยมาก!
แต่ไม่ทันไรก็เสียดายเกินกว่าจะกินมันแล้ว
ช่วงเวลานี้หาผลไม้กินได้ไม่มากนัก ในเมืองก็น่าจะมีขายเพียงเซียงหลี[1]เท่านั้นเช่นกัน ลวี่โต่วกั่วที่หวานเพียงนี้ จะต้องมีคนชื่นชอบเป็นแน่!
“เป็นเพราะน้องสายตาดี เลือกสามต้นที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น ทว่าต้นอื่นๆ ที่อยู่บนเขาไม่ค่อยดีเท่าใด ข้าลองลิ้มรสแล้ว เปรี้ยวและฝาดมากเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน” ซ่งสวินกล่าว
นัยน์ตาซ่งอิงพลันปรากฎความละอายแก่ใจเล็กน้อยวูบหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจบอกกล่าวคนในครอบครัวได้ว่า นางมีน้ำผ่านจิตจากช่องว่างระหว่างมิติ หลังรดน้ำให้ต้นไม้แล้วถึงได้แตกต่างจากต้นอื่นๆ
ภายภาคหน้าคงไม่อาจเป็นนางที่ค้นพบผลไม้ป่ารสชาติดีเพียงนี้อยู่ฝ่ายเดียว เพราะนี่จะดูไม่สมเหตุสมผลเอาได้
จำเป็นต้องคิดหาวิธีการสักหน่อยถึงได้เรื่อง
“เอาไปให้ท่านพ่อท่านหน่อยดีหรือไม่” หร่วนซื่อเอ่ยถามซ่งจินซาน
“อีกเดี๋ยวใช้ตะกร้าเล็กๆ ใส่เอาไปให้สักสามสี่จินก็ได้ ทั่วทั้งภูเขาเต็มไปด้วยผลลวี่โต่วกั่วนี่ ดังนั้นบ้านอื่นๆ ก็คงไม่เหลียวแลหรอก อยากกินก็ไปเด็ดกินเองได้” ซ่งจินซานกล่าว
ไม่ใช่เขาเสียดายที่จะแบ่งให้ แต่เพราะเกรงว่าคนอื่นจะดูถูกดูแคลน
ผลปรากฏว่า ตอนเย็นหร่วนซื่อตั้งใจห่อเกี๊ยว นำไปให้ชายชราหญิงชราพร้อมกับลวี่โต่วกั่วจำนวนสามสี่จิน หญิงชราให้หร่วนซื่อนำเกี๊ยวชามหนึ่งวางไว้ ส่วนลวี่โต่วกั่วให้หร่วนซื่อนำกลับไป
ต่อให้หร่วนซื่อเอ่ยปากกล่าวว่าผลไม้นี้ผ่านการคัดเลือกแล้ว แต่ละลูกหวานทั้งนั้น หญิงชราก็ไม่ชิมสักคำเดียว
อยู่ในหมู่บ้านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ผลของมันหวานหรือไม่มีหรือนางจะไม่รู้กระจ่างแจ้ง
นางอายุปูนนี้แล้ว กินเจ้าสิ่งนี้มีหวังได้เปรี้ยวเข็ดฟันตายเลยสิ!
หร่วนซื่อกลับมาพร้อมความนึกคิดต่างๆ นานาเต็มอก ภายในใจรู้สึกเย็นชายิ่งขึ้นเรื่อยๆ “มิใช่ว่าข้ากล่าวให้ร้ายท่านแม่หรอกนะ…แต่ความจริงเป็นเช่นนี้ นางมีใจลำเอียงหนักหน่วง อย่างน้อยๆ นี่ก็เป็นของที่เด็กๆ ทั้งสองเก็บเอามา ก็ควรจะไว้หน้าสักหน่อยถึงใช้ได้ หลายวันก่อนเด็กน้อยต๋าซื้อถังหูลู่มา ไม่ชอบเพราะเปรี้ยวจัดก็เลยให้ท่านแม่ไป ท่านแม่ก็ยังกินทั้งขมวดคิ้วอยู่เลยมิใช่หรือ”
ตอนนั้น ทำไมถึงไม่ปฏิเสธด้วยการอ้างว่าฟันตัวเองไม่ดีล่ะ
“นิสัยของท่านแม่เจ้าก็รู้ดีนี่ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดหรอก ผลไม้พวกเรานี้ไม่ได้ใช้เงินซื้อมา และจริงอยู่ที่ไม่ใช่ของหายากแต่อย่างใด ท่านแม่ไม่อยากได้จึงเป็นธรรมดาเช่นกัน” ซ่งจินซานกล่าว
หร่วนซื่อมองเขาปราดหนึ่ง พะงาบปาก แต่แล้วก็ไม่เอ่ยพูดอะไรต่อ
สามีกตัญญู พูดมากไปจะกลายเป็นนางเองที่ไม่ถูกต้อง
วันรุ่งขึ้น ซ่งอิงนั่งรถเกวียนวัวลากจูงเข้าไปในอำเภอเมือง
ซ่งจินซานสามีภรรยาทั้งสองกังวลว่าลวี่โต่วกั่วนี้จะขายไม่ออก จึงให้เขาทั้งสองนำไปเพียงครึ่งเดียว ซึ่งผลลวี่โต่วกั่วครึ่งหนึ่งที่ว่านี้น้ำหนักเกือบๆ หนึ่งร้อยจินเห็นจะได้
ตอนที่ 32 เป่ายิ้งฉุบ
แม้ซ่งอิงมีความทรงจำเจ้าของร่าง แต่เข้าอำเภอเมืองนี่ถือเป็นครั้งแรกจริงๆ นางมองซ้ายแลขวาไปตลอดทาง รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ก่อนออกเดินทาง หร่วนซื่อให้เงินนางห้าสิบเหรียญทองแดงไว้ใช้เป็นเงินทอน และเพราะกังวลว่าผลไม้ป่านี้จะขายไม่ออก ช่วงเที่ยงนางจะหิวท้องกิ่วเอาได้
อำเภอหลี่เจริญรุ่งเรือง ครั้นพ้นประตูเมืองเข้าไปก็มองเห็นร้านค้าริมทางขนาบสองข้างทาง ในอำเภอเมืองมีถนนใหญ่หลายสาย บ้างเป็นถนนคนร่ำรวยมีสถานภาพในสังคมสูงศักดิ์ ตามท้องถนนจะมีร้านค้าห้องแถว มีถนนหนทางที่กว้างขวาง และมีรถม้าสัญจรผ่านไปมา
มีถนนราษฎรทั่วไปด้วยเช่นกัน ซึ่งตามถนนหนทางแม้จะมีร้านค้าห้องแถว แต่ก็ยังมีร้านแผงลอยที่สลับคั่นอยู่ด้วย ครึกครื้นถึงที่สุดไม่แพ้กัน
ที่สองพี่น้องซ่งอิงมาเยือนก็คือถนนราษฎรทั่วไป
“เดินขายรายทางไปเรื่อยจะเหนื่อยเกินไป ไม่สู้เราเช่าพื้นที่สักบริเวณหนึ่งจะดีกว่า” ซ่งสวินกล่าวพลางมองซ่งอิง
“ตกลงเจ้าค่ะ” ซ่งอิงพยักหน้าในทันที
บนทางเท้าถนนสายนี้มีส่วนที่กำหนดให้เป็นแผงลอย ซึ่งแต่ละบริเวณจะราคาแต่งตางกันไป มีทั้งเช่ารายเดือน เช่ารายวัน แล้วยังมีเจ้าหน้าที่ทหารคอยลาดตะเวนตรวจตราอีกด้วย ดูแล้วปลอดภัยอย่างยิ่ง
ทั้งสองเลือกพื้นที่บริเวณกลางๆ เช่ารายวันราคาสิบห้าเหรียญทองแดง หนึ่งวันที่ว่านี้เป็นราคาตั้งแต่ฟ้าสางตลาดเปิดจนกระทั่งตกดึกตลาดกลางคืน ต่อให้เพิ่งมาถึงเวลาใกล้พลบค่ำแล้วก็ยังคงเป็นราคานี้เช่นกัน
เมื่อจ่ายเงินสิบห้าเหรียญทองแดงแล้ว ทั้งสองก็นำสิ่งของขนย้ายลงจากรถเกวียนวัวลากจูง
ทว่าครั้นสองด้านซ้ายขวาเห็นสิ่งของที่พวกเขาขาย บนใบหน้าล้วนปรากฎยิ้มเหยียดหยันเล็กน้อย
“นี่ไม่รู้เป็นลูกล้างผลาญเงินพ่อแม่บ้านไหนกัน ลวี่โต่วกั่วมีอยู่ทั่วไปหมดก็ยังกล้าเด็ดเอามาขาย! สิ้นเปลืองเงินค่าเช่านี้ไปไปเปล่าๆ เฮ้อ!”
“เด็กๆ มันไม่รู้ประสีประสา คิดว่าคนในเมืองนี้เขาไม่เคยเห็นของประเภทนี้มาก่อน”
“…”
“หนุ่มน้อย ผลไม้นี้ต่อให้นำไปเคี่ยวผสมน้ำตาลแล้ว ยังไม่แน่ว่าจะขายได้สักกี่เหรียญเลย…” ชายชราที่เปิดร้านรับคัดลอกหนังสือร้านข้างๆ เห็นหน้าค่าตาทั้งสองเยาว์วัย จึงเอ่ยปากตักเตือน
แน่นอนละ ไม่ใช่ว่าทำเป็นผลไม้กวนแล้วจะไม่มีคนเคยซื้อ แต่ก็ทำเงินได้ไม่เท่าไรจริงๆ อย่างไรเสียผลไม้ประเภทนี้ก็ให้รสเปรี้ยวปนฝาด อยากกลบรสชาติดังกล่าวนั้นจะต้องใส่น้ำตาลลงไปมากมาย ต้นทุนจึงสูงเกินไป
“ขอบคุณท่านลุงที่ย้ำเตือน ทว่าผลไม้ของพวกเรานี้ไม่เหมือนกับที่เด็ดจากบนเขาเหล่านั้นนะเจ้าคะ ท่านลองดูสิ แต่ละลูกล้วนเป็นสีม่วงแดงทั้งนั้นใช่หรือไม่ รสชาติหวานยิ่งทีเดียว” ซ่งอิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อาย
เห็นซ่งสวินหน้าแดงระเรื่อ หน้าเสียเล็กน้อย ทันใดนั้นนางจึงสูดหายใจเข้าลึกสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่ง “ขายผลไม้! ผลไม้อร่อยๆ หวานเจี๊ยบ ไม่อร่อยไม่เอาเงิน รับประกันว่าท่านกินเข้าไปแล้วหนึ่งลูกยังต้องอยากกินอีกหนึ่งลูก!”
“น้องพี่!” ซ่งสวินเห็นดังกล่าว กระวนกระวายเล็กน้อย
“ท่านพี่ ขายของก็ต้องส่งเสียงตะโกนเป็นธรรมดา บนศีรษะข้าใส่หมวกไว้อยู่ ไม่มีคนให้ความสนใจใบหน้าข้าหรอก” ซ่งอิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
รอยแผลเป็นบนในหน้านางชวนให้ผู้คนตกใจกลัวเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ หร่วนซื่อจึงทำหมวกขึ้นมาใบหนึ่งให้นางเป็นการเฉพาะ
น้ำเสียงนางเสนาะหู ราวกับนกขมิ้นก็ไม่ปาน ดึงดูผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินมุ่งมามองดูทางด้านนี้
แต่ครั้นมองเห็นว่าเป็นผลลวี่โต่วกั่ว ต่างก็หมดความสนใจในทันที
ทั้งสองรอกระทั่งเวลาผ่านไปสองเค่อ[2] ไม่มีคนซื้อแม้แต่คนเดียว
“ผลไม้ป่า?” ขณะครุ่นคิด บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา กวาดสายตามองแผงขายแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าว “นานมากแล้วที่ไม่ได้กินสิ่งนี้ ข้าขอชิมสักสองลูกแล้วกัน ถึงอย่างไรบนเขาก็หาได้ทั่วทุกหนแห่ง ไม่คิดเงินคงไม่เป็นไรกระมัง?”
ซ่งสวินต้องการยับยั้งทันที
นี่เป็นของที่เขาและน้องสาวแบกหามลงมาจากภูเขาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก็มีต้นทุนค่าแรงคนเช่นกันนี่?
“ได้สิ! พี่ชายซื้อก่อนสักหนึ่งจิน หลังจ่ายเงินหนึ่งจินแล้วก็เล่นเป่ายิ้งฉุบกับข้าได้ หากพี่ชายชนะ ก็จะคืนเงินให้ท่าน” ซ่งอิงดึงรั้งซ่งสวินเอาไว้ จากนั้นเอ่ยปากบอกกล่าวทันควัน
คนผู้นั้นหัวเราะทันทีหลังคำพูดนี้หลุดออกมา “ทายมือ? ทายอย่างไรหรือ”
“หิน กรรไกร ผ้า ชนะสองในสาม ง่ายดายใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซ่งอิงยกยิ้มมุมปาก คนผู้นี้มองไม่เห็นใบหน้านาง ทว่าน้ำเสียงนี้กลับทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้อย่างน่าประหลาด
[1] เซียงหลี (香梨) พืชตระกูลสาลี่ชนิดหนึ่ง
[2] เค่อ (刻) หน่วยนับเวลาจีน โดย 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที