ตอนที่ 49 กลายเป็นภูตอย่างสมบูรณ์แบบ
ซ่งอิงคิดว่า ตนเองพอจะแบกรับการฝึกตนเป็นเซียนได้อยู่
เติงเซียนไถ[1]แสวงหาการมีอายุยืนยาว มือถืออาวุธเหาะเหินเดินดินไปทั่ว เป็นอิสระไร้ข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น…
ทว่าโสมน้อยมองนางอย่างดูถูกปราดหนึ่ง “ยามที่เจ้ามีชีวิตอยู่อย่าหวังว่าจะได้มองเห็นเซียนเลย ท่านปู่ข้ากล่าวว่า โดยทั่วไปเซียนมีสองประเภท ประเภทหนึ่งคือติดตัวมาโดยตรง แต่พวกเขาไม่ให้มนุษย์มองเห็นหรอก อีกประเภทหนึ่งบำเพ็ญเพียรตามสายทาง นั่นก็คือการยอมเผชิญความทรมานทรกรรมและประสบเคราะห์ต่างๆ นานาจนกว่าจะบรรลุ!”
“แน่นอนละว่า มนุษย์อย่างพวกเจ้าก็มีผู้ที่บรรลุเซียนเช่นกัน แต่นั่นต้องบำเพ็ญเพียรสั่งสมบุญหลายภพชาติ ตายแล้วเกิดใหม่หลายร้อยหน นี่จึงจะถูกบันไดสวรรค์รับขึ้นไป มนุษย์ธรรมดาทั่วไป ต่อให้ไปถามไถ่เซียนขี้เมา ก็คงกล่าวว่าลำพังการฝึกฝนเพียงภพชาติเดียวไม่เพียงพออย่างแน่นอน”
ดวงหน้าเล็กๆ ของโสมน้อยเชิดขึ้น “ทว่าข้าได้ยินท่านปู่ข้าเอ่ยว่า มีทางลัดในการกลายเป็นเซียนเช่นกัน แต่ต่อให้เลือกเดินทางลัด ก็ต้องหลังผ่านความตายแล้วจึงจะขึ้นเป็นเซียนได้ ยามที่มีชีวิตอยู่…เป็นไปไม่ได้หรอก!”
ซ่งอิงลูบจมูก
ยากเย็นเพียงนี้เชียว?
ทว่าก็โล่งใจเช่นกัน เกิดบนโลกนี้ปรากฏเซียนขึ้นมาหนึ่งตน เพียงยกมือเดียว ทั้งโลกก็เป็นอันถูกทำลาย แล้วนางจะสนุกกับการใช้ชีวิตได้อย่างไร
“บุญกุศลดูกันอย่างไรหรือ เกิดภพชาติก่อนๆ ข้าสั่งสมบุญกุศลเอาไว้มากมายล่ะ” ซ่งอิงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยถามขึ้นอีกครา
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป โสมน้อยขำขันจนดวงหน้าเกือบเปลี่ยนรูปลักษณ์ “บุญกุศลของเจ้าน้อยจะตาย! ไม่สว่าง ไม่เปล่งประกายเลยสักนิด! กลิ่นไม่เหม็น พิสูจน์ได้ว่าภพชาติก่อนก็ไม่ใช่คนชั่วช้าใหญ่โตอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนจิตใจดีงามใหญ่หลวง! อีกทั้งหากเจ้าเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยบุญกุศลดีงาม เช่นนั้นเจ้าก็คงแย่แล้วละ!”
“ทำไมหรือ” ซ่งอิงชอบฟังเรื่องราวเหล่านี้มาก
“เพราะคนที่เปี่ยมไปด้วยบุญกุศลจะมีกลิ่นหอมมาก!” ภูตโสมน้อยกล่าว
หอมมาก…เช่นนั้นก็อร่อยมากน่ะสิ ตัวอย่างเช่นถังเซิง[2]?
ซ่งอิงแอบจดจำเอาไว้
“เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่า ภูตผีปีศาจในเขาเยอะหรือไม่” ซ่งอิงไม่ลืมประเด็นปัญหานี้
หลักๆ เพราะกังวลใจ เกิดวันดีคืนดีมีภูตผีปีศาจลงมาจากเขา แปลงนาผืนนี้ไม่เท่ากับอันตรายหรอกหรือ แน่นอนว่า นางผู้ที่โอบอุ้มของล้ำค่าไว้กับตัวจะยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก
“เจ้าคิดว่าสิ่งที่มีสติปัญญาล้ำเลิศเหนือทั่วไปล้วนเป็นผักกาดขาวหรือไร” โสมน้อยเบือนหน้าเอือม “พวกพืชที่กลายเป็นภูตมีจำนวนน้อยมาก ต้องใช้เวลาและโอกาสควบคู่โชคชะตา หรือไม่ก็เป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่แรก อย่างเช่น โสม เห็ดหลินจือ บัวหิมะบนเทือกเขาเทียนซานอะไรเหล่านี้ จะกลายเป็นภูตได้ง่ายหน่อย เพราะพวกเขาค่อนข้างบ่มเพราะสติปัญญาได้ง่าย ส่วน…ผักป่า หญ้าป่าเหล่านี้ ล้วนเป็นพวกโง่เขลาเต่าตุ่น ในหมื่นต้นก็ไม่เกิดสติปัญญาขึ้นมาได้แม้แต่ต้นเดียว…”
“แล้วสัตว์ล่ะ” ซ่งอิงกล่าวอีกครั้ง
ภูตโสมมองนางด้วยแววตาชอบกล “สัตว์บ่มเพาะสติปัญญาได้ง่ายดายกว่ามาก…”
“อย่างเช่น…ยามที่ข้าเพิ่งเปลี่ยนร่างได้ เห็นวัวใหญ่ตัวหนึ่ง วัวใหญ่ตัวนั้นก็มีสติปัญญาชาญฉลาดเหนือทั่วไป แต่การจะเปลี่ยนร่างได้มีความยากเป็นพิเศษ มันยังไม่ทันได้เรียนรู้ก็ตายเสียแล้ว…ตามจริง หากหลังมันบ่มเพาะสติปัญญาขึ้นมาแล้ว กินของบำรุงให้มากๆ หน่อย หรือดูดซับแสงจันทร์ทรงกลดให้มาก เช่นนั้นก็จะไม่แก่ตายเป็นแน่…แง้! น่าสงสารเกินไปแล้ว!”
ซ่งอิงพอฟังเข้าใจโดยคร่าวๆ แล้วเช่นกัน
ในสายตาภูตโสมน้อย หลังเปลี่ยนรูปลักษณ์ จึงจะถือว่ากลายเป็นภูตสมบูรณ์แบบนั่นเอง
การเกิดสติปัญญาที่ชาญฉลาดเหนือทั่วไป…ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก นอกเสียจาก หลังมีสติปัญญาแล้ว ยังรู้จักหลักการฝึกฝนของภูตผีปีศาจ ซึ่งก็คือการดูดซับแสงจันทร์ทรงกลด…
จันทร์ทรงกลด?
ซ่งอิงเงยหน้ามองดูท้องฟ้า สีสันท้องนภามืดสลัว ดวงจันทร์ก็ใกล้จะลอยเด่นขึ้นมารำไรแล้ว มองดูก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนี่?
“เจ้า…รู้หรือไม่ว่าแสงทองที่ควบคุมเจ้าคืออันใด” ซ่งอิงนึกถึงเรื่องที่สำคัญสุดขึ้นมาได้
“นั่นเป็นของของเจ้า ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันล่ะ!” โสมน้อยไร้เดียงสาสุดๆ
ซ่งอิงไตร่ตรองดู คิดว่าก็จริงอยู่
หรือบางทีสิ่งนี้ ไม่แน่ว่าก็คือสิ่งที่เอาไว้ควบคุมยับยั้งภูตผีปีศาจก็เป็นได้
เพียงแต่…
เมื่อครู่นางสัมผัสได้อย่างชัดเจน ครั้นแสงทองพาดไปยังเรือนร่างภูตโสมก่อนหายวับไป จากนั้นนางรู้สึกเพียงหมดสิ้นเรี่ยวแรงก็ไม่ปาน…
ต่อกรภูตโสมตนเดียวก็เป็นสภาพเช่นนี้แล้ว ขืนมาเพิ่มเป็นสองตน เช่นนั้นก็ไม่เป็นอันทำอะไรไม่ได้แล้วหรอกหรือ
ตอนที่ 50 ที่พึ่งพิง
เมื่อผุดความนึกคิดนี้ขึ้นมา ซ่งอิงลอบคิดว่า น่าจะมีวิธีการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แสงทองถึงจะถูก
เพียงแต่ขณะครุ่นคิดอยู่ ไม่ไกลออกไปมีเสียงตะโกนเรียกนาง
ซ่งอิงเงยหน้ามอง เป็นหร่วนซื่อมาหานั่นเอง คงจะตามนางกลับบ้านไปกินข้าว
“ท่านแม่ข้าเห็นเจ้าแล้ว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดเจ้าควรว่าง่ายเข้าไว้หน่อย แสร้งทำเป็นเด็กที่ไม่มีคนต้องการ หากเจ้าเปลี่ยนกลับไปเป็นร่างเดิมแล้ววิ่งหนี จากนี้ผู้คนในหมู่บ้านทั้งหมดก็จะรู้ว่าบนเขามีโสมพันปีเช่นเจ้าตนนี้ ถึงเวลา ต่อให้ต้องจุดไฟเผาภูเขา ก็ต้องหาเจ้าออกมาให้จงได้!” ซ่งอิงกล่าวข่มขู่
โสมน้อยมองนางด้วยแววตาหดหู่ “เจ้าคนชั่วร้าย ข้าขยับไม่ได้!”
ซ่งอิงมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นลองปล่อยความนึกคิด ให้โสมน้อยนี้เคลื่อนไหวได้
นางรู้สึกสมองตนคล้ายสั่งการแสงทองได้ หลังมีความนึกคิดนี้ เรือนร่างของโสมน้อยก็เคลื่อนไหวได้จริงๆ
ซ่งอิงครุ่นคิด สงบจิตสงบใจอีกครั้งชั่วครู่ หนึ่งเค่อถัดมา สัมผัสได้ถึงแสงทองจุดหนึ่งที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในร่างโสมน้อย คล้ายเป็นการตีตราสัญลักษณ์ไว้
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางไม่กลัวโสมน้อยจะหนีไป ที่กลัวคือโสมน้อยตนนี้ไม่พูดความจริง แล้วชักจูงกองกำลังภูตมาหนึ่งฝูงใหญ่
ณ ตอนนี้สามารถตีตราสัญลักษณ์ไว้บนโสมน้อยได้ นางก็วางใจขึ้นมาก
“เอ๋? นี่เป็นลูกบ้านใครกัน อยู่หมู่บ้านเราหรือ ไยข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน” ทันทีที่หร่วนซื่อเข้ามาใกล้ เห็นภูตโสมน้อยก็ถูกอกถูกใจยิ่ง รีบส่งมือมาบีบดวงหน้ารูปไข่ของโสมน้อยทันที “โอ๊ย หน้าตาน่ารักน่าชังจริงๆ! ดวงหน้ารูปไข่กลมๆ ช่างน่าทะนุถนอมจริงเชียว! ไอ้หนูน้อย มืดค่ำเพียงนี้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่กลับบ้านล่ะ”
โสมน้อยมองหร่วนซื่อ เผยสีหน้างุนงงสงสัย
มนุษย์ผู้นี้มองดูอบอุ่นอ่อนโยนมากทีเดียว
“ท่านแม่ เขาเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ เมื่อครู่เพิ่งบอกกล่าวกับข้า เอ่ยว่าพ่อแม่เขาตายหมดแล้ว อาชายไม่ต้องการเขา ก็เลยนำเขามาทิ้งไว้บนเขา ข้าไปเจอเข้าพอดีเจ้าค่ะ” ซ่งอิงเอ่ยปากกล่าวคำลวง
หร่วนซื่อได้ยินดังกล่าว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงทันที “ชั่วช้าจริงๆ! ไยจึงมีผู้เป็นอาแท้ๆ ที่อำมหิตได้เพียงนี้ ไอหย่า ข้าปวดใจจริงๆ เจ้าเพิ่งอายุเท่านี้เอง จะไปรู้เรื่องรู้ราวอันใด…ดูดวงหน้าน้อยๆ ของเจ้าสิ น่าสงสารยิ่งนัก ไม่รู้ว่าได้รับความทุกข์อันใดมาบ้าง…”
ซ่งอิงหนังตากระตุก
ไม่รู้จริงๆ ว่ามารดานางมองใบหน้านี้ดูน่าสงสารไปได้อย่างไร
ทั้งที่รูปลักษณ์ทั้งขาวทั้งจ้ำม่ำเป็นพิเศษ…
“แง้! ท่านป้า! ข้าน่าเวทนายิ่งนัก! แล้วยังมีคนเลวคิดจะกินข้าด้วย!” โสมน้อยแสดงอย่างทุ่มสุดตัว วิ่งโถมเข้าไปหาหน้าตาเฉย
มุมปากซ่งอิงกระตุกเล็กน้อย
“เป็นสัตว์ป่าดุร้ายบนเขาสินะ! ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ป้าอยู่นี่ เดี๋ยวจัดการขับไล่สัตว์ป่าไปให้หมดเลย!” หร่วนซื่อแสดงท่าทางเห็นอกเห็นใจ “อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ ไยจึงสวมใส่เพียงตู้โตว[3]ล่ะ เฮ้อ ยาโถว มืดค่ำเพียงนี้แล้ว เขาก็ไม่มีที่ไป วันนี้ก็พากลับบ้านไปด้วยก่อนเถิด ข้ากับพ่อเจ้าจะปรึกษาหารือกัน แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาอย่างไร…”
“อืมๆๆ พากลับไปเลี้ยงดูที่บ้านเถิดเจ้าค่ะ เด็กเล็กอย่างนี้ก็เลี้ยงดูไม่ยากเท่าไร หากเชื่อฟังก็ให้น้ำกินหน่อย ไม่เชื่อฟังก็เอาไปเป็นอาหารกระต่าย หรือไม่ก็ขายไปเสียสิ้นเรื่อง” ซ่งอิงยิ้มกล่าว
“พูดจาเลอะเทอะอะไร! เด็กเล็กเพียงนี้ ตกใจกลัวจะทำอย่างไร!” หร่วนซื่อเขกหน้าผากของนางหนึ่งที “เอาละ รีบกลับบ้านไปกินข้าวเถอะ”
“หนูน้อย เจ้านามว่าอะไรล่ะ ป้าอุ้มเจ้าดีหรือไม่” หร่วนซื่อกล่าวเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล
“ข้า…ข้าไม่มีชื่อขอรับ…” โสมน้อยสูดน้ำมูก
“เฮ้อ น่าสงสารอะไรขนาดนี้…” หร่วนซื่อขยี้ตา “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง ลูกชายป้าเคยเรียนหนังสือ ไว้กลับไปให้เขาตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่”
“ดีขอรับ!” โสมน้อยกอดหร่วนซื่อไว้แน่นไม่ปล่อยมือ
เขาพอมองออกแล้วว่า คนชั่วร้ายนั่นกลัวสตรีผู้นี้มาก ดังนั้นเขาจะต้องเข้าหาสตรีสูงวัยผู้นี้เพื่อไว้เป็นที่พึ่งพิง!
[1] เติงเซียนไถ (登仙台) เป็นบุคคลที่แรกเริ่มเกิดมา เติงเซียนไถก็มองเห็นเทพแห่งดวงดาว (星君) ท่านต่างๆ
[2] ถังเซิง (ถังเซิง) หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า พระถังซัมจั๋ง
[3] ตู้โตว (肚兜) หมายถึงเสื้อชั้นในประเภทหนึ่ง มีเชือกผูกคอและผูกเอว ปกปิดท่อนบนส่วนหน้าอกลงมาท่อนล่าง