ตอนที่ 55 หาครอบครัวสามี
ซ่งจินซานพลันปวดใจ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา รีบกล่าวขึ้นทันควัน “ยาโถว พูดจาเหลวไหลอันใด ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ เด็กมีสิทธิ์พูดแทรกเสียที่ไหนกัน”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าไม่พูดแล้ว” ซ่งอิงหุบปากทันทีอย่างว่าง่าย
ซ่งเหล่าเกินเพิ่งเตรียมตำหนิ แต่กลับถูกซ่งจินซานแย่งเอ่ยเสียก่อน จึงไม่สะดวกกล่าวตำหนิอีกครั้ง
กลายเป็นเหยาซื่อของครอบครัวบุตรคนโตส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา “หนูอิง มิใช่ว่าเรียนกฎระเบียบที่ตระกูลคนใหญ่คนโตมาเกือบสองปีแล้วหรอกหรือ นี่เหตุใดคนตระกูลบรรดาศักดิ์เขายังสู้ครอบครัวชาวชนบทแข้งขาติดดินโคลนอย่างเราๆ ไม่ได้ล่ะ ยามที่ลูกสาวคนโตครอบครัวข้าออกเรือน ไม่เหมือนเจ้าเช่นนี้นี่?”
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หร่วนซื่อก็พลันสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก
คำโบราณกล่าวไว้ว่า ทุกคนมีข้อดีข้อเสียต่างกัน อย่าได้กล่าวถึงข้อเสียของอีกฝ่าย มิเช่นนั้นจะนำมาซึ่งปัญหา สะใภ้ใหญ่ทำเช่นนี้ เป็นความจงใจทำให้ครอบครัวพวกเขาไม่พึงพอใจอย่างชัดแจ้ง
ทว่าหร่วนซื่อยังไม่ทันเอ่ยปาก ดวงตาก็แดงระเรื่อนำมาก่อนเสียแล้ว
ที่นางดวงตาแดงระเรื่อขึ้นมานี้ ก็เนื่องด้วยความรู้สึกที่ด้อยกว่า และรู้ได้ทันทีว่าพูดอะไรที่มีเหตุผลพอที่จะหักล้างออกมาไม่ได้ จึงโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ
ซ่งอิงพลันค้นพบว่า มารดานางค่อนข้างพิเศษ
นิสัยใจคอมารดานางผู้นี้ ไม่ใช่นิสัยที่อ่อนแอไร้เดียงสาเพียงนั้นเสียทีเดียว อย่างเช่นก่อนหน้าที่มองเห็นหลี่ซาน ก็ผลีผลามเดินเข้าไปแล้ว ยังค่อนข้างชวนตกอกตกใจเสียด้วย แต่หลังจากเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ ก็สยบความเดือดดาลลงทันที อดกลั้นความโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ และพูดจาไม่ออกสักคำเดียว
อย่างเช่นตอนนี้ คำพูดนี้จากปากภรรยาลุงใหญ่ก็ไม่ได้ยากต่อการโต้เถียง แต่นางกลับนิ่งอึ้ง ทำได้เพียงถลึงตาใส่
แล้วยังโกรธเกรี้ยวจนอยากจะร้องไห้?
ซ่งอิงระลึกความทรงจำเจ้าของร่างอย่างละเอียด ค้นพบว่าหลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนี้ตลอด
หร่วนซื่ออยู่ต่อหน้าซ่งจินซานค่อยดีหน่อย ยังพอโต้เถียงบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ครั้นพ้นประตูออกมาก็ไม่ได้เรื่องเสียแล้ว พูดจากับใครล้วนตกเป็นเบี้ยล่าง เมื่อก่อนยามที่ไม่ได้แยกครอบครัว นิสัยหร่วนซื่อยิ่งชวนให้คนอ่อนใจยิ่งกว่านี้อีก หากหญิงชราตำหนิว่ากล่าวนาง นางก็จะตาแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ต่อให้โต้แย้ง คนอื่นก็ไม่เชื่อ แม้จะยอมประนีประนอม ก็กลายเป็นแสดงให้เห็นว่านางแสร้งทำตัวเป็นคนน่าสงสารไปเสียอีก
ดังนั้นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสี่คนในครอบครัวนี้ มารดานางจึงไม่มีสัมพันธ์ที่ดีกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ นิสัยของนางค่อนข้างโผงผาง เผชิญหน้ากับหร่วนซื่อที่เอาแต่ร้องไห้ผู้นี้ เช่นนั้นต่อให้มีเหตุผลจริงๆ ก็พูดให้กระจ่างชัดแจ้งขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
ในยามนี้ ครั้นเห็นหร่วนซื่อจะร้องไห้ เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ก็สบถฮึ
“น้องสะใภ้ ข้าก็แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นต้องปั้นหน้าร้องไห้เสียใจอย่างนี้กระมัง?” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ดูถูก
จะอย่างไรพื้นเพเดิมก็ออกมาจากตระกูลคนใหญ่คนโต แล้วจะไม่ให้คนเขาว่ากล่าวได้หรือ?
“ป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านก็ออกมาจากครอบครัวที่ผ่านการอบรมสั่งสอนนี่เจ้าคะ ผู้อาวุโสครอบครัวท่านไม่ได้สอนให้ท่านรู้จักพูดจาถนอมน้ำใจบ้างเลยหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงยิ้มตาหยีกล่าว
“เจ้าเด็กสาวคนนี้รู้จักปกป้องแม่เจ้าเสียด้วย ข้าก็แค่พูดประโยคเดียวเท่านั้นเอง ใครไม่รู้จะคิดว่าข้าต้องการกินแม่เจ้าเสียอีก” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีกครา “ข้าได้ยินว่าสองวันมานี้เจ้ากับหลานสวินพี่ชายเจ้าไปค้าขายในตัวอำเภอ ไยไม่เห็นเจ้าจะเอามาตอบแทนคุณคนในครอบครัวเสียก่อนเลยล่ะ”
“ก็แค่ผลไม้ป่าเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ให้ท่านปู่ท่านย่าลองชิมแล้ว หากป้าสะใภ้ใหญ่ต้องการกิน ให้น้องต๋าไปเก็บบนเขาก็สิ้นเรื่อง ไม่ใช่ของหายากอะไรนี่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวอย่างหน้าตาเฉย
แค่การต่อปากต่อคำเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
หร่วนซื่ออยากเอ่ยปากอยู่หลายครั้ง คำพูดนั้นกลับเอื้อนเอ่ยไม่ออกเสียที
ซ่งอิงมองออก นางทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ติดรำคาญอยู่เล็กน้อย
ระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ เดิมทีไม่ควรให้บุตรสาวนางผู้นี้ออกหน้า แต่ปากนางกลับไม่เอาไหน จึงจนปัญญาจริงๆ
“เหล่าเอ้อร์[1]อา ชีวิตเจ้าก็ยากลำบากเช่นกัน ได้เลี้ยงดูอิงยาโถวไว้ในครอบครัวเราก็ถือเป็นโชคชะตาลิขิต ต่อให้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ก็เลี้ยงมาเติบใหญ่ขนาดนี้แล้ว และจะเลี้ยงดูไปอีกสองสามปีก็ไม่ว่า แต่อย่างไรก็ตาม…ลูกผู้หญิงเติบใหญ่แล้วก็ต้องแต่งงาน ข้าได้ปรึกษากับแม่เจ้าแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้จึงหาครอบครัวสามีไว้ให้อิงยาโถวครอบครัวหนึ่ง จะได้ไม่ต้องเอาแต่อยู่ในบ้านนี้ตลอดไป พานให้ผู้คนพูดกันเรื่อยเปื่อยเอาได้”
ตอนที่ 56 ทำร้ายคนที่ดีต่อตนเอง
ครอบครัวสามี! ซ่งอิงแสดงอากัปกิริยาตกอกตกใจ
หร่วนซื่อก็ ‘ดีดตัว’ ลุกขึ้นยืนในทันทีเช่นกัน “ท่านพ่อ ท่านแม่…อาอิงเพิ่งกลับมาเดือนกว่าเท่านั้นเอง ข้า ข้ายังอยาก…ให้นางใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกหน่อย…”
“ลูกผู้หญิงเติบใหญ่แล้ว มัวรั้งไว้จะกลายเป็นเรื่องไม่ดี นับประสาอะไรกับอาอิง เดิมทีก็หาคู่ครองไม่ได้ง่ายๆ มิสู้อาศัยช่วงที่ยังเยาว์วัยเลี้ยงดูง่าย ยังมีคนต้องการอยู่บ้าง ขืนยังรั้งเอาไว้ จะมีใครที่ไหนเขาต้องการอีก?” หม่าซื่อเอาปากพูด
หร่วนซื่อหน้าซีดเผือด
“แต่ แต่อาอิงตอนนี้…ข้ายังอยากให้นางรักษาใบหน้าอยู่นะเจ้าคะ…” หร่วนซื่อร้อนรนใจ
ซ่งจินซานเห็นสถานการณ์ดังกล่าว รีบเอ่ยพูดทันควัน “ได้ยินว่าในตัวจังหวัดทางด้านนั้นมียาทาชั้นเยี่ยม ลบรอยแผลเป็นได้ พวกเราสามีภรรยาทั้งสองอยากเก็บเงินอีกหน่อย ภายภาคหน้าจะได้ซื้อยาทาให้อาอิงใช้…”
“ยานั่นเป็นเซียนที่ไหนทำขึ้นมาหรือ? รอยแผลบนใบหน้าของอิงยาโถวนี่ แทบจะเห็นไปถึงกระดูกแล้ว ยาอะไรจะรักษาหายได้หรือ เหล่าเอ้อร์อา เจ้าเลอะเลือนกระมัง ยาในตัวจังหวัดราคาตั้งกี่ตำลึงเงิน? หากเจ้ามีเงินมากมายเพียงนั้นจริง ไม่สู้เก็บออมไว้ให้ลูกสวินเจ้ายังจะดีกว่า เขาเป็นพี่ใหญ่ อายุก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรได้แล้วเช่นกัน หรือว่าเจ้าไม่อยากอุ้มหลาน?” ซ่งเหล่าเกินกล่าว
แววตาซ่งอิงพลันหมองหม่นชั่ววูบ
เหตุใดซ่งจินซานจะไม่อยากอุ้มหลานล่ะ
“ท่านปู่ เรื่องของข้าไม่ต้องรีบร้อนหรอกขอรับ” ซ่งสวินแสดงเจตนารมณ์ทันที “ส่วนเรื่องงานแต่งของน้องสาว…ท่านพ่อท่านแม่ก็มิใช่ไม่อยากให้นางออกเรือนเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังหาคนที่เหมาะสมไม่เจอ หากพ่อหนุ่มนั่นเอาการเอางาน ทั้งยังไม่รังเกียจรูปลักษณ์อาอิง ข้าคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ก็จะพิจารณาเช่นกันขอรับ”
ซ่งจินซานและหร่วนซื่อพร้อมใจกันพยักหน้า
“ที่เป็นเช่นนั้นจริงๆ จะถูกตาต้องใจอาอิงได้อย่างไรกัน” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ยั้งปากไม่ได้ เอ่ยพูดออกมา
คนอื่นๆ ต่างก็แอบเห็นด้วยกับคำพูดนี้
คำพูดนี้กลับทิ่มแทงใจของหร่วนซื่อและซ่งจินซานเข้าเต็มเปา
จริงอยู่ที่บุตรสาวไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เลี้ยงดูข้างกายมาตั้งสิบห้าปีนี่? รูปลักษณ์ก่อนหน้าที่ผ่านมาไม่แพ้ผู้อื่นใด บัดนี้…
“ไม่รู้ว่าท่านปู่ท่านย่าเตรียมหาคนที่เป็นอย่างไรไว้ให้ข้าหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงครุ่นคิด เมื่อสงบจิตสงบใจลงแล้วก็เอ่ยถาม
“ท่านย่าเจ้ามีหลานชายคนหนึ่งของครอบครัวญาติ ชะตาชีวิตไม่ค่อยดีนัก ยามที่เกิดมา ครึ่งใบหน้าปรากฎปานแดง ขาแข้งใช้การได้ไม่ค่อยดี ในครอบครัวมีพี่ชายน้องชายรวมๆ ห้าคน แต่มีเขาคนเดียวอายุสามสิบแล้วยังไม่แต่งงาน พวกเราผู้อาวุโสพูดๆ กันอยู่ว่า คนผู้นี้แม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ให้กำเนิดบุตรไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด คนผู้นี้มีทักษะงานฝีมือสานตะกร้าที่ดีอีกด้วย จะเลี้ยงดูเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก…”
“ข้าไม่เห็นด้วยขอรับ!” ซ่งสวินเอ่ยปากเป็นคนแรก
“ใช่ ไม่เห็นด้วย” ซ่งจินซานสามีภรรยาทั้งสองก็เผยสีหน้าวิตกกังวลเช่นกัน “อาอิงเพียงแค่หน้าเสียโฉม ข้าเต็มใจเลี้ยงดูนางทั้งชีวิต! ให้แต่งกับคนผู้นั้นที่พวกท่านกล่าวมิได้เป็นอันขาด!”
อายุสามสิบปีแล้วยังไม่ได้แต่งงาน ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามีข้อเสียมากมายเพียงใด!
“เหล่าเอ้อร์?!” ซ่งเหล่าเกินชักสีหน้าขมึงทึง กล่าวขึ้นอีกครา “เจ้าคิดว่าพวกข้ายินดีทำตัวเป็นคนใจร้ายหรือ! ตัวเจ้าเองหัดใช้สมองครุ่นคิดเสียหน่อย บุตรสาวผู้นี้สรุปแล้วจะเลี้ยงดูไปได้ทั้งชีวิตหรือไม่!”
ซ่งจินซานหน้าซีดเผือด
หร่วนซื่อร่างกายอ่อนยวบ น้ำตาไหลรินออกมา
ซ่งอิงงุนงงไปชั่วครู่ จากนั้น…เป็นอันเข้าใจได้
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ที่ผ่านมายังไม่เท่าไร ไม่มีคนพูดอะไร ทว่าภายภาคหน้าหากนางจะไม่แต่งงานเลย ซ่งสวินก็ไม่แต่งภรรยาเสียทีเช่นกัน ย่อมมีคนปากมากพูดจาเหลวไหล
ต่อให้พวกเขาเป็นพี่ชายน้องสาวที่บริสุทธ์ใจไม่มีใครเกิน แต่อย่างไรในขี้ปากคนอื่น เกรงว่าจะไม่ใช่เสมอไป
ยิ่งไปกว่านั้น ทางด้านบ้านรองนี้มีเพียงสองห้อง ต่อให้นางอาศัยร่วมห้องเดียวกับมารดา แต่เกิดผู้อื่นคิดไปเองต่างๆ นานาล่ะ
“อิงยาโถว นึกถึงตอนนั้นพ่อแม่แท้ๆ ของเจ้าไม่ต้องการเจ้า นำเจ้าส่งมายังครอบครัวข้า ข้าเห็นเจ้าผิวพรรณขาวอมชมพูผุดผ่อง น่าเอ็นดูจริงๆ จึงรับเจ้าเอามาโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด ตอนนั้น พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้าไม่ได้ให้สิ่งใดเป็นของตอบแทนข้า หร่วนซื่อเพิ่งให้กำเนิดบุตร ข้าก็เลยยกเจ้าให้นางไป หลายปีมานี้ นางดูแลเจ้าเสมือนมารดาแท้ๆ ทางด้านครอบครัวพวกเรานี้ ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้า อาสะใภ้สาม และอาสะใภ้สี่ อาจมีบางส่วนที่ทำไม่ถูกไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่เมื่อก่อนก็ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเห็นอกเห็นใจ มิได้กระทำเรื่องบาดหมางใหญ่โตใดๆ ซ่งสวินพี่ชายเจ้ายิ่งแล้วใหญ่…
“หรือว่า เจ้าต้องการทำร้ายคนที่ดีต่อตนเอง?”
[1] เหล่าเอ้อร์ (老二) คำเรียกบุตรชายลำดับที่สองของครอบครัว