Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1889 อันดับหนึ่งเมืองหลิงเฟิง

ตอนที่ 1889 อันดับหนึ่งเมืองหลิงเฟิง
วู้ม…
ต้นแบบเขตแดนมรรคที่ประหนึ่งแดนแรกกำเนิดกำลังควบรวมอยู่เบื้องหน้าหลินสวิน บ้างกลายเป็นหุบเหวใหญ่ที่ลึกไร้ก้น บ้างกลายเป็นเตาหลอมจิตที่คงกระพันไม่เสื่อมสูญ…
กฎเกณฑ์มหามรรคไร้ที่เปรียบดุจดั่งสายโซ่เทพก็ไม่ปาน ไหวเคลื่อนพริบวาบอยู่ภายใน
ดับดารากลืนกิน เจินหลง น้ำไฟ ไร้มรณะ ยอดเอกอุ… ปรากฏลักษณ์ประหลาดต่างๆ นานาที่งดงามไร้ระเบียบ ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาถึงขั้นสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกันสิ้นหวัง!
ภายในห้อ ถูกหลินสวินวางกระบวนผนึกไว้ตั้งแต่ต้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรบกวน และไม่อาจถูกสังเกตเห็นจากภายนอกด้วย
ยามนี้เมื่อหลินสวินโคจรพลังปราณ เขตแดนมรรคที่ดุจดั่งแดนแรกกำเนิดแถบหนึ่งเริ่มบังเกิดเสียงอึงอล
ก็เหมือนการหลอมโครงอาวุธอย่างหนึ่ง กำลังผ่านการหลอมและขึ้นรูป!
การหยั่งรู้ทั้งปวงภายในใจหลินสวิน ก็กำลังผสานเข้าสู่เขตแดนมรรคทีละอย่างระหว่างการหลอมนี้
ก็เห็นว่า…
เขตแดนมรรคของเขากลายเป็นเมืองเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางเวิ้งฟ้าฉับพลัน ชโลมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ หอกำแพงสูงตระง่าน เรืองรองไม่เสื่อมสลาย
จากนั้นไม่นานก็กลายเป็นเงากระบี่มากมาย ทับซ้อนหนาแน่น แน่นขนัดราวกับไร้สิ้นสุด
จากนั้นที่ตามมาติดๆ คือกลายเป็นโลกบงกชสามสิบหกชั้น กลีบบัวแต่ละกลีบล้วนปรากฏสภาพประหนึ่งแดนพิสุทธิ์อริยเทพ…
สภาพแต่ละแบบถึงกับเป็น ‘เขตแดนกระบี่เมืองจักรพรรดิขาว’ ‘เงากระบี่มหาสหัส’ ‘โลกบงกชสามสิบหกชั้น’!
และต่อมา เขตแดนมรรคของหลินสวินก็ปรากฏรูปร่างต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นม่านกระบี่ธุลีเพลิง ทางนรกไร้หวนเป็นต้น
สุดท้ายลักษณ์ประหลาดแต่ละแบบที่ปรากฏมานี้ ล้วนคืนสู่สภาพแรกกำเนิดอีกครั้ง
และก็ในเวลานี้เอง ต้นแบบเขตแดนมรรคที่ประหนึ่งแดนแรกกำเนิดพลันจมสู่ความเงียบสุดขั้วอย่างหนึ่ง ลอยอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
‘โอม!’
และภายในใจหลินสวิน การหยั่งรู้ทั้งปวงราวกับระเบิดปะทุอย่างสิ้นเชิง แทบจะอยู่เหนือการควบคุมของสัญชาตญาณ เสียงสายหนึ่งดังก้องขึ้นในใจของเขา
ตูม!
ต้นแบบเขตแดนมรรคที่จมสู่ความเงียบงันยิ่งยวดเริ่มบังเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่ง กลายเป็นหุบเหวใหญ่ลึกล้ำรางๆ
มีความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ลึกไร้สิ้นสุด คล้ายสามารถกลืนกินเวิ้งฟ้าหมื่นกาล!
แต่เมื่อพินิจดูดีๆ หุบเหวใหญ่นี้กลับปรากฏรูปร่างเตาหลอมออกมา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายเคร่งขรึมที่ไม่เสื่อมสลาย ประหนึ่งชั่วนิรันดร์
คล้ายเตาหลอมแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนหุบเหวแต่ก็ไม่เชิง!
เสมือนว่าทุกอย่างล้วนคืนสู่จุดเริ่มต้น แต่ความรู้สึกที่มอบให้แก่ผู้คนกลับเป็นกลิ่นอายที่สมบูรณ์ คล้ายเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์!
เมื่อความคิดหลินสวินโลดแล่น ในเขตแดนมรรคมหามรรคทั้งปวงผุดเผย สำแดงวิชามรรคไร้ขอบเขตออกมา มีเจินหลงแหงนหน้าคำราม มีน้ำไฟไหลหลั่งกลางจักรวาล มีลักษณ์หยินหยางใสขุ่นโปรยทั่วฟ้าดิน มีไร้มรณะไร้ดับสลาย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่ไม่เสื่อคลายแผ่ซ่านออกมา…
กลิ่นอายน่าสะพรึงที่สามารถทำให้เทพผีหวาดผวาก็แผ่ออกมาด้วยเช่นกัน
ตูม!
พลังผนึกที่ปิดครอบรอบห้องล้วนถูกโจมตี เกิดการสั่นไหวรุนแรง คล้ายรับการกดดันของกลิ่นอายน่าสะพรึงนั่นไม่ไหว
และบนใบหน้าหลินสวินก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา
เขตแดนมรรคที่ตอนแรกเป็นสภาพต้นแบบ ยามนี้ได้ก็สำเร็จออกมาช่วงใหญ่แล้ว!
ความแข็งแกร่งในอานุภาพของมัน คุณลักษณะของมัน คนละเรื่องกับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
ฮูม…
พอความคิดของหลินสวินขยับไหว เขตแดนมรรคพลันอันตรธานหายไปทันที
‘น่าเสียดาย สุดท้ายยังขาดอีกก้าวหนึ่งถึงจะเสร็จสมบูรณ์…’
หลินสวินครุ่นคิด ‘แต่ก็เพียงพอแล้ว ตอนนั้นที่ฆ่ากึ่งจักรพรรดิชวีเหรา เขตแดนมรรคในสภาพต้นแบบก็สามารถระเบิดอานุภาพระดับนั้นออกมาได้ ยามนี้ควบรวมเขตแดนมรรคสำเร็จช่วงใหญ่ ก็น่าจะสามารถทำให้ไม่ต้องเกรงกลัวการแข่งขันของคนรุ่นเดียวกันแล้ว’
เขตแดนมรรคขั้นสมบูรณ์สูงสุด จนบัดนี้หลินสวินยังไม่เคยพบ และไม่รู้ชัดว่าบนโลกใบนี้ยังมีเขตแดนมรรคซึ่งคล้ายกับที่ตนเสาะแสวงหาหรือไม่
แต่ภายในใจหลินสวินมีลางสังหรณ์ว่า เมื่องานชุมนุมถกมรรคที่หกเรือนมรรคใหญ่จัดขึ้นเปิดม่าน บางทีอาจมีพวกโดดเด่นยิ่งยวดที่ครอบครองเขตแดนมรรคระดับนี้ก็เป็นได้
อย่างไรเสียรากฐานพลังของขุมอำนาจระดับหกเรือนมรรคใหญ่ จะให้ผู้คนประเมินค่าสูงเช่นนี้ก็ไม่เกินจริง
……
ขณะที่หลินสวินฝึกปราณเพียงลำพัง ภายในเมืองหลิงเฟิงก็เข้าสู่ยามราตรี
การคัดเลือกถกมรรคในวันแรกสิ้นสุดลงแล้ว
ในหมู่ผู้เข้าร่วมการต่อสู้นับพัน มีเพียงสามสิบสองคนเท่านั้นที่คว้าชัยชนะสิบครั้งรวด มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สองอย่างราบรื่น
ด้วยเหตุนี้แค่คิดก็รู้ว่าการแข่งขันนั้นดุเดือดและโหดร้ายปานใด!
ผู้แพ้ นอกจากได้รับเสียงทอดถอนใจเสียดายนิดหน่อยแล้วก็ไม่มีใครถามไถ่ถึงอีก
ผู้ชนะ ก็กลายเป็นพวกสะดุดตาที่ได้รับการจับตามองที่สุดของเมืองหลิงเฟิงในค่ำคืนนี้
หลินสวิน ฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่ง กู่เจี้ยนสิง เกาหลิงเทียน… แต่ละชื่อเรียกเสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่ในเมืองหลิงเฟิงแห่งนี้
หนึ่งในนั้น ชื่อที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดย่อมเป็น ‘จินตู๋อี’ ที่หลินสวินสวมรอยอยู่!
“คนเดียวชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด สู้จนถึงตอนท้ายก็ไม่มีใครกล้าท้าสู้แล้ว! นี่เป็นบารมีที่ไร้ศัตรูอย่างแท้จริง!”
“ฉู่ชิวแข็งแกร่งปานใด กู่เจี้ยนสิงสะดุดตาแค่ไหน แต่ผ่านการต่อสู้ในวันนี้ ก็ได้แต่อับแสงลงเบื้องหน้าจินตู๋อีนั่นเท่านั้น ผลลัพธ์นี้ใครเลยจะคาดคิด”
“ควรบรรยายถึงจินตู๋อีผู้นี้อย่างไรน่ะหรือ คำเดียว มั่นคง! ไม่อาจสั่นคลอน ไร้ศัตรูทัดเทียม มั่นคงจนน่ากลัว!”
“แม่งเอ๊ย รู้แต่แรกก็คงให้ความสำคัญกับจินตู๋อีผู้นี้ไปแล้ว!”
เสียงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์คล้ายๆ แบบนี้พบเห็นได้ทุกแห่งหนในเมืองหลิงเฟิงนี้ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงผู้แข็งแกร่งในการคัดเลือกถกมรรควันนี้ ย่อมหนีไม่พ้นชื่อ ‘จินตู๋อี’ นี้อย่างแน่นอน
สรุปแล้วค่ำคืนนี้ จินตู๋อีเลื่องชื่ออย่างที่สุด ไม่เอ่ยถึงก็แล้วไป พอเอ่ยถึงก็ชวนตกใจ ประหนึ่งอาทิตย์ดวงใหญ่ที่เจิดจรัส ส่องแสงเหนือเมืองหลิงเฟิงอยู่เพียงลำพัง
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรคในครั้งนี้ล้วนพากันหม่นแสงไร้รัศมี!
……
เวลาเคลื่อนคล้อย วันที่สองมาเยือน การคัดเลือกถกมรรคดำเนินบนลานแสดงมรรคต่อไป
เพียงแต่เมื่อเทียบกับวันแรก การต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสังเวียนสิบแปดแห่งในวันที่สอง เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรน่าให้กล่าวถึง
อันที่จริงนี่ก็ปกติ บุคคลสะดุดตาที่ได้รับการจับจ้องมากที่สุดเหล่านั้น ล้วนผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นในวันแรกเกือบทั้งหมด ทำเอาการคัดเลือกถกมรรคในวันต่อมาไม่เหลือสีสันอย่างเห็นได้ชัด
อีกอย่าง ม้ามืดเช่นหลินสวินแม้จะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่หลังจากคว้าชัยสิบครารวดก็เลือกหยุดต่อสู้
อย่าว่าแต่ทำลายสถิติการต่อสู้ของหลินสวินเลย ต่อให้เทียบกับพวกฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่งก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่ากันไม่น้อย
เมื่อวันที่สองปิดม่าน รวมทั้งสิ้นมียี่สิบสามคนที่คว้าชัยสิบครั้งติด มีคุณสมบัติเข้าร่วมการคัดเลือกรอบที่สอง
และค่ำคืนนี้ ชื่อที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดยังคงเป็น ‘จินตู๋อี’
ต่อให้วันนี้เขาไม่ได้ปรากฏตัวบนลานแสดงมรรคหลิงเฟิงเลย แต่ยามนี้เขาก็เหมือนบุคคลต้นแบบโดยปริยาย ไม่ว่าจะพูดถึงผู้แข็งแกร่งคนไหน ล้วนจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเขา
และด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนยิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า พลังของการ ‘ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด’ ของหลินสวินนั้นหนักหน่วงปานใด
วันที่สาม การคัดเลือกถกมรรคเปิดม่านต่อ
และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการคัดเลือกรอบแรก ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่เข้าร่วมการถกมรรค ไม่ว่าจะเข้าร่วมการต่อสู้หรือไม่ พ่ายแพ้หรือไม่ ล้วนงัดพลังและฝีมือออกมากันเต็มที่
ทำเอาการคัดเลือกถกมรรคในวันนี้กลับมีสีสันขึ้นมาไม่น้อย และดุเดือดขึ้นมากโข
สุดท้ายมีสิบเจ็ดคนผ่านการชนะสิบรอบติด เมื่อรวมกับจำนวนคนที่ผ่านการทดสอบในสองวันก่อน จึงมีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองคนที่มีคุณสมบัติเข้าสู่การคัดเลือกถกมรรครอบที่สอง
เจ็ดสิบสองคนดูเหมือนไม่น้อย แต่ควรรู้ว่าเป็นการคัดเลือกจากผู้เข้าร่วมมากกว่าพันคน เท่ากับคัดผู้เข้าร่วมการแข่งขันออกไปราวๆ เก้าส่วน!
และในวันสุดท้ายนี้ ภายในลานแสดงมรรคเมืองหลิงเฟิง พวกระดับกึ่งจักรพรรดิเจ็ดคนอย่างเถาซงถิง อวี๋ฮูหยิน ร่วมกันประกาศรายชื่ออันดับหนึ่งของการคัดเลือกถกมรรครอบแรกในเมืองหลิงเฟิง…
จินตู๋อี!
อันดับหนึ่งก็คือที่หนึ่ง ครองชัยเพียงหนึ่งเดียว บารมีโดดเด่น เป็นหนึ่งไม่มีสอง
เพียงแต่ว่า อันดับหนึ่งนี้สุดท้ายก็เป็นแค่อันดับหนึ่งของเมืองหลิงเฟิง
จากที่หลินสวินรู้มา ภายในแคว้นเมฆามีอันดับหนึ่งเช่นนี้สิบคน!
อีกอย่าง อันดับหนึ่งนี้ก็แค่คนหนึ่งในการคัดเลือกรอบแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาเท่านั้น
ฉะนั้นหลินสวินไม่ถึงขั้นตื่นเต้นมากมายนัก
ยามเข้าร่วมการคัดเลือกถกมรรค เขาก็ไม่ได้สนใจแพ้ชนะสักนิด สามารถไขว่คว้าอันดับหนึ่งมาได้ นอกจากจะอยู่ในความคาดหมายแล้วก็อยู่ในเหตุในผลเช่นเดียวกัน
แต่หลินสวินไม่ตื่นเต้น ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะไม่ตื่นเต้น
ยามประกาศเรื่องนี้ ในลานแสดงมรรคอันกว้างใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงฮือฮา เสียงอุทาน ทอดถอนใจ เลื่อมใส ดังกระหึ่มราวกับฟ้าคำราม…
หลากหลายมากมาย
แม้แต่พวกเถาซงถิงก็ยังถอนใจไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ใครเลยจะคาดคิด ว่าอันดับหนึ่งของการคัดเลือกถกมรรคเมืองหลิงเฟิงนี้ ถึงกับมีม้ามืดทะลวงออกมา
ชนะเก้าสิบเก้าครั้งรวด!
ผลงานการต่อสู้เช่นนี้ เรียกได้ว่าองอาจสะท้านโลกหล้า!
และในวันนี้เอง ข่าวเกี่ยวกับ ‘จินตู๋อี’ ซึ่งหลินสวินสวมรอยอยู่กลายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลิงเฟิงก็ประหนึ่งลมมรสุม หอบม้วนกลางเมือง แพร่กระจายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง…
ในเวลาต่อมา ชื่อ ‘จินตู๋อี’ นี้ก็แพร่เข้าสู่เมืองมากมายในแคว้นเมฆา เป็นที่รู้จักของผู้ฝึกปราณมากขึ้นทุกที
ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินแต่อย่างใด
เขาในยามนี้ตามพวกเถาซงถิงออกจากเมืองหลิงเฟิงไป พร้อมกับคนอีกเจ็ดสิบเอ็ดคนอย่างพวกฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง จั๋วเฟิ่งอิ่ง
การคัดเลือกถกมรรครอบที่สองจะเปิดม่านในอีกครึ่งเดือนให้หลัง
สถานที่คือเขาเทพว่างเปล่าอันเป็นที่ตั้งของสำนักยุทธ์ว่างเปล่า สำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเมฆา
ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านการคัดเลือกจากสิบพื้นที่ของแคว้นเมฆาจะมารวมตัวกัน เริ่มเปิดฉากศึกถกมรรครอบที่สองพร้อมกับผู้สืบทอดของเจ็ดสำนักใหญ่!
“สหายน้อย ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้ารับรองว่าหลังจากเจ้าเข้าลัทธิเทพดาราเมฆ ก็จะเป็นผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งทันที หนำซ้ำยังมีแดนมงคลฝึกปราณเป็นของตัวเอง ทุกๆ ปีจะได้รับแปดล้านผลึกมรรค รวมถึงทรัพยากรฝึกปราณนานาชนิด”
“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้ามีเรื่องร้องขอใดๆ ไม่ว่าข้าจะตอบรับเองได้หรือไม่ ล้วนจะพยายามช่วยเจ้าอย่างเต็มที่!”
ระหว่างทางมุ่งหน้าสู่เขาเทพว่างเปล่า อวี๋ฮูหยินมาหาหลินสวิน ใช้สารพัดวิธี ทั้งความรู้สึกทั้งผลประโยชน์มาดึงตัว หมายให้หลินสวินเข้าสู่ลัทธิเทพดาราเมฆ
ท่าทีเช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าจริงใจและกุลีกุจอปานใด พวกฉู่ชิว จั๋วเฟิ่งอิ่ง กู่เจี้ยนสิงที่ร่วมขบวนมาด้วยกันเห็นแล้วในใจยังอดรู้สึกอิจฉาริษยาไม่ได้
นี่ก็คือสิ่งที่อันดับหนึ่งจะได้รับสินะ!
ทำให้ผู้คนอิจฉา และทำให้คนจนปัญญาด้วยเช่นกัน
แต่สุดท้ายหลินสวินยังคงปฏิเสธ เขาย่อมรู้ว่าอวี๋ฮูหยินชื่นชมเขาจากใจจริง เพียงแต่สถานะของเขาถูกกำหนดตั้งแต่ต้น ไม่สามารถกราบเข้าสำนักอื่นได้อีก
สำหรับเรื่องนี้อวี๋ฮูหยินผิดหวังยิ่ง แต่ยังคงฝืนทำเข้มแข็ง กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องแย่งชิงต่อไปอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็อดยิ้มขื่นไปพักหนึ่งไม่ได้ บางครั้งถูกคนให้ความสำคัญเกินไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่ากลัดกลุ้มอย่างหนึ่งอยู่เหมือนกัน…
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท