ตอนที่ 91 แสร้งทำเป็นน่าสงสาร
ซ่งอิงยอมใจอย่างยิ่ง
“ป้าสะใภ้ใหญ่…จะว่าไปก็ไม่ใช่คนชั่วร้ายขั้นสุดประเภทนั้น ไยท่านต้องคิดเล็กคิดน้อยกับคนอย่างนางด้วย หากนางดุท่าน ท่านก็ด่ากลับไปเช่นกันก็สิ้นเรื่องแล้ว? ร้องไห้ไปก็เท่านั้น ต่อให้ท่านเป็นฝ่ายมีเหตุผลเหนือกว่าก็จะกลายเป็นผู้ด้อยกว่าอยู่ดี” ซ่งอิงไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
หร่วนซื่อทำหน้าทำตาชวนสงสาร “เจ้าลูกคนนี้จะไปรู้ความทุกข์ของข้าได้ที่ไหนล่ะ แม่ก็ไม่ใช่ไม่คิดจะต่อกรกับนาง แต่…ครั้นข้าอ้าปาก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หลายต่อหลายครั้งอยากด่าทอนาง ริมฝีปากข้ายังไม่ทันขยับก็รู้สึกกรอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาก่อน แล้วข้าจะทำอย่างไรได้?”
ซ่งอิงอ้าปากอย่างประหลาดใจ
“มิใช่ตัวท่านเองอยากร้องไห้หรอกหรือ” ซ่งอิงกล่าว
“ข้า…ข้ารู้อยู่เช่นกันว่าร้องไห้แล้วไม่ดีนัก และเป็นการทำลายสุขภาพด้วย แต่มันควบคุมไม่อยู่ ต่อหน้าคนครอบครัวเราเองค่อยยังชั่ว ยังพอต่อปากต่อคำโดยกลั้นไม่ให้ตาแดงก่ำขึ้นมาได้หน่อย แต่พอเผชิญหน้ากับคนนอกก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว แม่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำอย่างไร ดีที่ท่านย่าเจ้าไม่กดขี่ข่มเหง หากเปลี่ยนเป็นแม่สามีบ้านอื่น แม่เจ้าเช่นลักษณะอย่างข้า เกรงว่าจะถูกคนเขารังเกียจตายเลย” หร่วนซื่อกล่าวต่ออย่างปวดใจ
ซ่งอิงนิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
บนโลกยังมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
แล้วยังเป็นมารดาในชีวิตนี้ของนางอีกด้วย
มิน่าล่ะ บทจะร้องไห้ก็ร้องออกมาได้โดยง่าย บางครั้งป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่ทันอ้าปากพูดจา เพียงถลึงตาดุดันใส่นาง มารดานางก็ตาแดงระเรื่อขึ้นมาแล้ว กลายเป็นท่าทีราวกับถูกรังแก ลักษณะเช่นนี้นางได้เห็นอยู่หลายครั้ง ฉะนั้นสำหรับเจ้าของร่างจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จะว่าไป…ป้าสะใภ้ใหญ่ดูเหมือนไม่ค่อยถูกชะตามารดานางจริงๆ
ไม่แน่ว่าก็เพราะไม่ชอบลักษณะอย่าง ‘แสร้งน่าสงสาร’ เช่นนี้ของนาง
“ท่านแม่ ท่านคิดว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนอย่างไรหรือ รำคาญนางหรือไม่” ซ่งอิงอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“ข้าจะรำคาญนางทำไมหรือ ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้านิสัยโผงผางไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงว่ามีจิตใจเจตนาชั่วร้าย อย่างมากสุดก็ช่างเจ้าคิดเจ้าการเพื่อลูกๆ ทั้งสองในครอบครัวนางก็เท่านั้น แต่ในฐานะแม่ ใครบ้างไม่ใช่เช่นนี้ ก็อย่างข้า…ก็เข้าข้างเจ้ากับพี่ลูกสวินพี่ชายเจ้าเช่นกันนี่?” หร่วนซื่อส่ายหน้า “ข้ารู้ ก่อนหน้านี้หลานต๋าปาหินใส่เจ้า แต่เด็กส่วนเด็ก ผู้ใหญ่ส่วนผู้ใหญ่ เขารังแกเจ้า เจ้ารังแกเขากลับคืนก็สิ้นเรื่อง แต่ผู้อาวุโสยังต้องให้ความเคารพกันสักหน่อย”
“ใช่ๆๆ เจ้าค่ะ” ซ่งอิงขานรับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ก็ประหลาดใจต่อคุณสมบัติเจ้าน้ำตานี้ของมารดาเช่นกัน
หลังพูดคุยใจความหลักๆ กับมารดานางอยู่พักหนึ่ง สองแม่ลูกก็กลับไปห่อบ๊ะจ่างต่อในลานบ้าน
เจียวซื่อปากมาก หัวเราะร่าแล้วกล่าว “โอ๊ย พวกเจ้าสองแม่ลูกยังมีอะไรที่พวกเราฟังด้วยไม่ได้ต้องพูดคุยกันหรือ ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เหตุใดต้องทำหลบๆ ซ่อนๆ ด้วย?”
หร่วนซื่อถึงกับไปไม่เป็น “ก็ ก็ไม่มีอันใดหรอก”
ซ่งอิงมุ่นคิ้ว
หากเป็นนาง ในเมื่อไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอันใด เช่นนั้นมีคำพูดอะไรก็พูดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเสีย และแจกยิ้มให้ก็เป็นอันสิ้นเรื่อง
แต่มารดานางเห็นได้ชัดว่าแตกต่างออกไป การอ้ำๆ อึ้งๆ ก็เหมือนจงใจไม่อยากบอกกล่าวคนอื่น
ปรากฏว่าเป็นไปตามความคาดหมาย ลักษณะอย่างคนที่ทำอย่างขอไปทีทำให้เจียวซื่ออึดอัด ชักสีหน้าหงิกงอเล็กน้อย และรู้สึกไม่อยากพูดคุยต่อไป
เหยาซื่อสะใภ้คนเล็กอยากทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงหน่อย “พี่สะใภ้สาม ท่านจะมัวสนใจอะไรมากมาย ท่านอยากพูดเรื่องครอบครัวส่วนตัวก็ไปพูดกับหลานเสี่ยนลูกสาวบ้านท่านสิ? ท่านไม่ใช่แม่ของเอ้อร์ยาเสียหน่อย จะอยากรู้อยากฟังไปทำไมกัน”
ระหว่างพวกนางพี่สะใภ้น้องสะใภ้ การมีปากเสียงกันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
แต่ทักษะการมองของหร่วนซื่อไม่ค่อยดีเลยจริงๆ ฟังน้ำเสียงพวกนางคล้ายว่าไม่สบอารมณ์ ก็คิดไปว่าเป็นความผิดตนเองที่ไม่พูดให้กระจ่าง เมื่อร้อนรนใจจึงเตรียมเอ่ยปากอธิบาย แต่คำนั้นก็ไม่หลุดออกมา อดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาก็แดงระเรื่อขึ้นมาเสียแล้ว!?
ซ่งอิงชะงักนิ่งไป
มารดานาง คงจะมาพร้อมพรสวรรค์เจ้าสำออยกระมัง? ทักษะนี้จะแกร่งกล้าเกินไปหน่อยแล้ว?
มารดานางก็ไม่ได้จงใจให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ!
เห็นได้ชัดว่าเหยาซื่อสะใภ้เล็กก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหร่วนซื่อไม่หือไม่อือก็ตาแดงขึ้นมาอีกแล้ว ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าตัวเองหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกเท่าใดนัก
ตอนที่ 92 ดอกบัวขาว
ทันใดนั้น ทั่วทั้งบริเวณก็เงียบสงัดลง ในฐานะแม่สามีของลูกสะใภ้ทั้งสี่คน หม่าซื่อแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยกำกับดูแลเรื่องราวใดๆ มาก่อน
หร่วนซื่อก้มหน้าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว
ซ่งอิงยอมใจสุดๆ
“ข้าพูดคุยกับท่านแม่ข้าเรื่องที่นางชอบร้องไห้นี่ละเจ้าค่ะ” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม หย่อนก้นลงนั่ง “เมื่อครู่ข้าถามท่านแม่ข้าว่า ทำไมมักร้องไห้อยู่บ่อยๆ ท่านแม่ข้าเอ่ยว่าพอนางเอ่ยปากหมายพูด กรอบดวงตาก็แดงระเรื่อขึ้นมาแล้ว ควบคุมไม่ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่งนะเจ้าคะ!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ สะใภ้เล็ก รวมไปถึงเจียวซื่อ ต่างมองนางกับหร่วนซื่อ
ควบคุมไม่ได้? ไม่ใช่ตั้งใจหรอกหรือ
“ก็มีแต่เจ้าที่เชื่อคำพูดนี้ ทำอย่างกับคนอื่นเขาไม่มีลูกตาไปได้ บทจะร้องไห้ก็ร้องออกมาได้ เด็กเล็กยังไม่เป็นเช่นนี้เลย” ขณะเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พูดจา ตวัดสายตาไปจับจ้องหร่วนซื่อ
นางไม่เชื่อว่าหร่วนซื่อควบคุมไม่ได้ หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่านางกับบ้านสองมีปากเสียงกันมากน้อยเท่าใด แต่ละรอบล้วนเป็นนางยอมลดราวาศอก ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไร้สาระ ก็ถูกหร่วนซื่อทำให้เหมือนนางรังแกคนเขาได้ ทำให้นางขึ้นชื่อในหมู่บ้านว่าเป็นคนหนึ่งที่ดุร้าย
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นความเจ้าเล่ห์เจ้ากล แสร้งทำท่าทีไปเช่นนั้น
“พี่สะใภ้ใหญ่…ข้า ข้าไม่ได้จงใจทำจริงๆ” หร่วนซื่อจนปัญญาอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสัตย์จริง แต่น่าเสียดายที่นัยน์ตากลับดูอึมครึม ก็เห็นได้ชัดว่า…พูดอะไรไปก็ไม่มีน้ำหนักพอ
“เจ้าดูนางสิ พวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรที่เป็นการทำร้ายจิตใจเสียหน่อย ก็ทำท่าทางราวกับจะเป็นจะตายแล้ว ฮึ หลายปีมานี้ก็ใช้ชีวิตมาเช่นนี้มิใช่หรือ พอไม่ถูกใจเข้าหน่อยก็ตาแดงก่ำ อย่างไรก็ตามล้วนกลายเป็นพวกเราที่ทำไม่ถูก!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พูดจบ คร้านจะต่อความยาวสาวความยืด ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไป
นิสัยแย่ๆ ของนางนี้ได้มาอย่างไรหรือ หร่วนซื่อก็มีส่วนด้วยจริงๆ นั่นละ!
นางกับหร่วนซื่อแต่งเข้ามาตามๆ กัน เผชิญความไม่เป็นธรรมตั้งมากมายเท่าใด แรกเริ่มยังพออดทนได้ นี่อดทนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เลยทนแบกรับไม่ไหวเสียแล้ว จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงการระเบิดอารมณ์ออกมาบ้าง
ซ่งอิงถอนหายใจ พอเข้าใจความนึกคิดของป้าสะใภ้ใหญ่ได้เช่นกัน
หากวันๆ นางเผชิญหน้ากับแม่นางดอกบัวขาว[1]ผู้นี้ พูดจาไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายก็น้ำตาไหลรินเสียแล้ว นางก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
“ป้าสะใภ้ใหญ่ แม่ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายนั้นจริงๆ ไม่ได้อยากจะร้องไห้เลยสักนิด ท่านลองคิดดูสิ หลายปีมานี้แม่ข้านอกจากร้องไห้แล้วยังทำอันใดอีกหรือ แต่ละด้านล้วนยอมๆ ให้ท่านกับบรรดาอาสะใภ้แล้วไม่ใช่หรือ” ซ่งอิงกล่าว
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ไม่ยอมรับ
แต่ก็รู้เช่นกันว่า คำพูดซ่งอิงนี้เป็นความจริง
หร่วนซื่อก็แค่ชอบร้องไห้ อย่างอื่นกลับถือว่าค่อนข้างดีทีเดียว ใจกว้างกว่าบ้านสาม มีของอะไรก็มักนึกถึงบรรดาพี่น้องสะใภ้คนอื่นๆ ขยันขันแข็งกว่าบ้านสี่ มีงานการก็จะเป็นฝ่ายเสนอตัวลงมือทำ
“ก็เจ้ารู้จักกตัญญูตอบแทนคุณแม่เจ้า” เหยาซื่อสบถฮึ
ซ่งอิงแย้มยิ้ม เพิ่งหมายพูดจา ปรายตาเห็นด้านนอกบ้านซ่งมักมีคนจำนวนหนึ่งผ่านไปมา และชะโงกหน้ามองมาทางลานบ้านเป็นครั้งคราว
ทว่าในครึ่งเค่อถัดมา ก็มีคนเดินเข้ามา นำสิ่งของในมือวางลงในลานบ้าน แล้วเขยิบเข้ามาใกล้บอกกล่าวพวกนาง “ตระกูลซ่ง ข้าเอาจอบมาคืนแล้วนะ?”
หร่วนซื่อพยักหน้า
คนผู้นั้นกลับยังไม่ไป ดวงตาเพ็งมองมาจับจ้องบ๊ะจ่าง “เอ้อร์ยาโถวก็อยู่ด้วยหรือ ได้ยินว่าบ้านเจ้าขายบ๊ะจ่าง ได้เงินก้อนโตเสียด้วย เป็นความจริงหรือไม่?”
ซ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็แค่บ๊ะจ่างเท่านั้น บ้านใครๆ ต่างก็ห่อได้ทั้งนั้น จะทำเงินได้สักเท่าใดกันล่ะเจ้าคะ”
“โอ๊ย แต่ข้าได้ยินมาว่า บ้านเจ้านำสินค้าไปส่งให้ภัตตาคารที่ขึ้นชื่อในอำเภอนี่? ที่ภัตตาคารนั้นขายไม่ใช่บ๊ะจ่างบ้านเจ้าหรือ ได้ยินว่ามีบ๊ะจ่างทองคำชั้นยอดอะไรนั่นด้วย ตั้งสองร้อยอีแปะถึงจะซื้อกินได้สักชิ้น! บ๊ะจ่างที่ราคาแพงขนาดนั้น อยากลิ้มรสจริงๆ ว่ารสชาติเป็นเช่นไร!” เถาซื่อมองบ๊ะจ่างขณะกล่าว
หร่วนซื่อส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “ไม่ได้หรอก บ๊ะจ่างนี้ล้วนต้องเอาไว้ขายทั้งนั้น ครอบครัวพวกเราเองยังไม่ได้กินสักคำ อีกทั้ง…นี่ก็ไม่ใช่บ๊ะจ่างที่ราคาสองร้อยอีแปะนั่นด้วย”
[1] ดอกบัวขาว (白莲) เปรียบกับผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม