ตอนที่ 69 บ๊ะจ่างทองคำ
“แต่คนที่มีหนวดเคราผู้นั้นยิ้มอย่างสุขใจยิ่งนี่!” ภูตโสมมองนางอย่างไร้เดียงสาพลางกล่าว
“นั่นเป็นการเกี้ยวพาราสีกันของชายหญิงต่างหากล่ะ…” ซ่งอิงรู้สึกจนปัญญาไปชั่วขณะ บางอย่างยากจะอธิบาย หลังครุ่นคิดก็บอกกล่าวเสียงบางเบา “ตอนที่เจ้าอยู่ในป่าเขาคงเคยเห็นสัตว์เจริญพันธุ์กันบ่อยครั้งกระมัง หรือไม่ก็เป็นพวกพืชที่ได้รับเกสรจากดอกไม้ ก็หลักการเดียวกันนั่นละ นี่เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งต่างฝ่ายต่างรับมอบความสุขให้กันและกัน”
เมื่อเอ่ยพูดเช่นนี้ โสมน้อยก็เป็นอันเข้าใจได้ในทันที
“อ๋อ ที่แท้พวกเขากำลังต้องการเพศตรงข้ามนี่เอง!” ภูตโสมเบิกตาโต ส่งเสียงดังขึ้น
ซ่งอิงหน้าแดงก่ำ อย่างไรเสียความทรงจำของนางก็ผสมผสานกับเจ้าของร่าง อุปนิสัยก็ได้รับอิทธิพลมาบ้างเช่นกัน ต่อหน้าสาธารณะชนมากมายเพียงนี้ ด้วยจิตใต้สำนึกก็เลยรู้สึกอับอายอยู่บ้าง ยังดีที่หนังหน้าของนางมีความหนาพอ จึงสะกดอารมณ์ความรู้สึกนี้ลงไปได้
บนศีรษะก็มีหมวกอยู่ด้วย จึงไม่ถือว่าขายหน้าอะไรมากนัก
ซ่งอิงส่งเสียงกระแอมไอ “เรื่องประเภทนี้จะพูดเสียงดังไม่ได้ เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ มิฉะนั้นจะหักเงินเจ้า”
ภูตโสมเม้มปาก สบถฮึ
ก็แค่การเกี้ยวพาราสีหาคู่เช่นนั้นไม่ใช่หรือ ทำไมจะพูดเสียงดังไม่ได้
ทว่ามองดูถังหูลู่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้านนั้น ท้ายที่สุดภูตโสมก็เลยอดกลั้นความอัดอั้นตันใจเอาไว้
และในเวลานี้เอง ซ่งอิงเริ่มเปลี่ยนแนวทางความคิด
คำพูดมงคลเหล่านั้นที่นางเอ่ย เกรงว่าจะดึงดูดผู้คนไม่ได้…
หลังครุ่นคิดอย่างหนักชั่วครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจกระทำออกไปทันที โดยส่งเสียงตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ขายบ๊ะจ่างเจ้าค่า! บ๊ะจ่างทองคำ! บ๊ะจ่างทองคำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเจ้าค่า!”
“บ๊ะจ่างของบ้านข้าน่ะ มันมีส่วนผสมของทองคำสูง รสชาติอร่อยสุดๆ กินชิ้นเดียวเท่ากับห้าชิ้น! กินอิ่มแล้ว วิ่งห้าลี้ไม่หมดเรี่ยวแรง!”
“ตั้งแต่กินบ๊ะจ่างเข้าไป ไม่ปวดเอว ขาไม่อ่อน อ่านตำราเขียนหนังสือก็กระปรี้กระเปร่าด้วยเช่นกัน!”
“บ๊ะจ่างร้านนี้รสชาติหวานนิดๆ หากไม่หวานไม่คิดเงินเจ้าค่า!”
“…”
เมื่อสมองซ่งอิงโลดแล่น คำเลอะเทอะเรื่อยเปื่อยก็พ่นออกไปในรวดเดียว
“บ๊ะจ่างทองคำอะไรหรือ หรือว่าบ๊ะจ่างที่บ้านเจ้าขายห่อทองคำเอาไว้ด้านใน?” ได้ยินเสียงนางตะโกนไม่ทันไร ก็มีคนเดินเข้ามา และอดเอ่ยถามไม่ได้
ซ่งอิงแย้มยิ้ม “ท่านพูดถูกแล้ว บ๊ะจ่างที่เหลืองทองอร่าม จะไม่ใช่เพราะห่อทองคำเอาไว้แล้วหรอกหรือ วันนี้น่ะ ท่านเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม ข้าจะแกะออกมาหนึ่งชิ้นให้ท่านชิมดูเลยแล้วกัน รสชาติหอมอร่อยไร้ที่ติแน่นอน!”
เมื่อซ่งอิงพูดจบ รีบหยิบบ๊ะจ่างขนาดใหญ่ออกมาหนึ่งชิ้น เริ่มจากการแกะใบหลูออก ก่อนวางลงในจานที่เตรียมไว้แล้ว
ไส้บ๊ะจ่างที่เผยออกมานี้ เพียงมองดูสีสันของข้าวเหนียวที่เหลืองทอง ก็เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากของที่คนอื่นขายจริงๆ
“บ๊ะจ่างเจ้าดูแตกต่างจริงๆ ด้วย ชิ้นละกี่อีแปะล่ะ” ทันใดนั้นมีคนเอ่ยถามขึ้น
ระยะนี้คนขายบ๊ะจ่างจำนวนมาก ทว่ารสชาติต่างก็พอๆ กัน เพียงแต่ก็เป็นข้าวเหนียวห่อไส้พุทราน้ำผึ้ง จิ้มกินคู่น้ำตาล ไม่มีอะไรใหม่ๆ
ทว่าบ๊ะจ่างที่เห็นเบื้องหน้านี้กลับมีความแปลกใหม่ มองดูแล้วข้าวเหนียวดูเหนียวนุ่มและสีใสมากกว่าเจ้าอื่นหน่อย ทำให้คนรู้สึกน้ำลายสอ
“วันนี้มีบ๊ะจ่างพุทราน้ำผึ้งกับบ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมสามสิบชิ้นเท่านั้น บ๊ะจ่างพุทราน้ำผึ้งทั่วไปชิ้นละสองอีแปะ บ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมชิ้นละยี่สิบอีแปะ” ซ่งอิงกล่าว
บ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมผูกเชือกเอาไว้เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งวันนี้จะขายจำนวนไม่มาก
“บ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยม?” คนจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามามองดู “มีอะไรต่างออกไปหรือ จึงได้แพงถึงเพียงนี้!”
“ไส้ไม่เหมือนกัน รสสัมผัสไม่เหมือนกัน บ๊ะจ่างพุทราน้ำผึ้งธรรมดาของข้ารสสัมผัสข้าวเหนียวนุ่มๆ หอมหวานทันทีที่เข้าปาก ส่วนรสชาติของบ๊ะจ่างชั้นยอดได้ความหอมสดชื่นกว่ามาก รสหวานแต่ไม่เลี่ยน เป็นตำหรับลับเฉพาะเจ้าเดียว คนอื่นทำออกมาไม่ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ซ่งอิงบอกกล่าวยกใหญ่
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป คนจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้สึกประหลาดใจต่อบ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมที่ว่านี้
ทว่าราคานี้…
แพงเกินไปหน่อยจริงๆ
แต่ราคาของบ๊ะจ่างธรรมดานี้ไม่เกินไป ไม่ทันไร ก็ขายบ๊ะจ่างธรรมดาออกไปได้ยี่สิบกว่าชิ้น ทว่าบ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมขายไม่ออกเลยสักชิ้น
ตอนที่ 70 ขายสินค้า
ซ่งอิงครุ่นคิด โดยคร่าวๆ ก็พอรู้สาเหตุที่บ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมขายไม่ออกเช่นกัน
ในอำเภอหลี่มีถนนหนทางหลายสาย ตลาดบนถนนสายนี้ไม่ถือว่าเป็นบริเวณใจกลางเมืองอำเภอหลี่ คนที่นี่ เกินกว่าครึ่งล้วนเป็นคนจากตระกูลชนชั้นธรรมดา จึงไม่แปลกที่ไม่ซื้อบ๊ะจ่างชิ้นละยี่สิบอีแปะ
เพียงแต่ แม้ว่าถนนคนร่ำรวยบรรดาศักดิ์อันเป็นแถบพื้นที่ศูนย์กลางอำเภอหลี่ก็มีแผงค้าขายและร้านค้าห้องแถวให้เช่าเช่นกัน แต่ราคาสูงมาก แผงขายก็ไม่เหมือนที่นี่ซึ่งเป็นเพียงเพิงที่มีหลังคามุงกันลมกันฝน ส่วนแผงขายตามถนนย่านผู้ร่ำรวยบรรดาศักดิ์ ทำได้เพียงเช่าแผงขายในระยะยาวเท่านั้น ซึ่งทุกหน้าร้านล้วนใช้กระเบื้องก่อขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ แยกเป็นร้านใครร้านมัน เป็นธรรมดาที่ราคาจะแพงกว่าหน่อย
หากนางขายเพียงบ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยม จะไปเช่าแผงขายบนถนนย่ายคนร่ำรวยก็ย่อมได้…
แต่บ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมต้องใช้น้ำผ่านจิตรินรดใบไม้สำหรับห่อบ๊ะจ่าง ซึ่งสิ้นเปลืองเกินไป จะขายมากเกินไปไม่ได้เด็ดขาด
ซ่งอิงพินิจพิจารณาตลอดทั้งช่วงเช้า ขายบ๊ะจางออกไปประมาณครึ่งหนึ่งเห็นจะได้ บ๊ะจ่างที่ยังเหลืออยู่ก็ประมาณหนึ่งร้อยนิดๆ ส่วนบ๊ะจ่างชั้นยอดเยี่ยมขายออกไปสองชิ้นเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม บ๊ะจ่างของเจ้าอื่นวันหนึ่งขายได้ยี่สิบสามสิบชิ้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ๊ะจ่างของนางได้รับการตอบรับดีกว่าหน่อย
“ลูกหลิน เราเลิกขายกันก่อน ส่วนที่เหลือเหล่านี้ เราส่งไปขายที่อื่นกันเถอะ” ซ่งอิงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจเอ่ยพูด
ภูตโสมได้ยินชื่อของตัวเอง ยังงุนงงไปชั่วครู่ แต่ไม่ทันไรก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบขึ้นมา
“ที่นี่คนก็เยอะดีนี่?” ไปๆ มาๆ ก็ขายดีอยู่ตลอดเวลานี่!
ไม่นานมากนัก เงินค่าแรงสิบอีแปะของเขาก็ตกมาถึงมือ!
ซ่งอิงให้ภูตโสมคอยอยู่สักประเดี๋ยว นางเช่ารถเข็นสินค้าจากบริเวณใกล้เคียงมาอีกครั้ง นำสิ่งของวางเอาไว้ด้านบน “ขึ้นไปนั่ง อาศัยช่วงที่ท้องฟ้ายังสว่าง เรานำของเหล่านี้จัดการเสียให้เรียบร้อย”
“ไปไหนหรือ” ภูตโสมหย่อนก้นลงนั่งด้านบน
“ไปร้านยา ชั่งน้ำหนักของเจ้าหน่อย” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม
ภูตโสมเกือบกระโดดโหยง หมายเตรียมเอ่ยปาก ซ่งอิงก็หัวเราะร่าขึ้นมา “ไปถนนฉางเล่อ ที่นั่นน่าจะขายได้ดี”
ภูตโสมแยกเคี้ยวใส่นาง
ซ่งอิงดันรถเข็น ฝีก้าวรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงบริเวณหนึ่ง ครั้นมองไป ถนนหนทางกว้างขวาง รถม้าเคลื่อนไปมา บรรยากาศดูครึกครื้นกว่าถนนสายเมื่อครู่นั้นมากจริงๆ
สองข้างทางมีภัตตาคารและร้านเครื่องเงินมากมาย นอกจากนี้ก็เป็นพวกร้านผ้าไหม มองดูแล้วอลังการมากกว่าร้านผ้าบนถนนสายนั้น
“ท่านลุง ขอถามหน่อยเจ้าค่ะ ภัตาคารร้านไหนขึ้นชื่อมากที่สุดหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงรั้งผู้เฒ่าสามสี่คน เอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“แน่นอนว่าต้องเป็นภัตตาคารเย่ว์เฟิงอย่างไรล่ะ กิจการของร้านนั้นดีที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร และทำความดีช่วยเหลือขอทานริมทางอยู่บ่อยครั้ง ผู้ดูแลร้านจิตใจดีทั้งยังมีเหตุมีผลเป็นที่สุด” คำตอบที่ได้รับโดยรวมๆ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
คนสูงวัยเหล่านี้ ต้องเข้าใจสถานการณ์บริเวณนี้มากกว่าเป็นแน่แท้
ซ่งอิงถามไถ่อยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นมุ่งไปยังภัตตาคารเย่ว์เฟิง
ตอนนี้ใกล้ถึงเทศกาลตวนอู่แล้ว ก่อนหน้าและหลังเทศกาล จะต้องมีความต้องการบ๊ะจ่างมากเป็นแน่
หากนางอาศัยการขายด้วยตนเอง วันหนึ่งขายได้สองสามร้อยชิ้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว หลังหักต้นทุนและค่าแรงคนงาน ก็ทำเงินได้ไม่มากมายอะไรนัก
ไม่สู้หาที่ซึ่งขายสินค้าได้สักแห่งจะดีกว่า
เมื่อเดินไปถึงประตูหลังของภัตตาคารเย่ว์เฟิง มีข้ารับใช้เด็กหนุ่มคอยเฝ้าอยู่ตรงนั้น
“มาส่งสินค้าหรือมาขายสินค้า ไยจึงไม่มาส่งแต่เช้า” ข้ารับใช้เด็กหนุ่มนั่นมองเห็นรถเข็นของนางก็เอ่ยปากทันที
“พี่เสี่ยวเอ้อร์[1] ข้าเพิ่งมาใหม่ ไม่ทราบว่าเอาสินค้ามาขายมีระเบียบอย่างไรบ้างหรือ” ซ่งอิงเอ่ยขึ้นทันที ขณะกล่าว ล้วงเงินจำนวนห้าสิบอีแปะยื่นให้
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นปรายตามองปราดหนึ่ง ก่อนดันมือกลับมา “ร้านเราไม่สนใจสิ่งนี้ ให้ผู้ดูแลร้านรู้เข้า ข้าถูกไล่ออกแน่”
“ภัตตาคารเย่ว์เฟิงเรารับสินค้าทุกประเภท ขอเพียงเป็นอาหารรสโอชะ สดใหม่และหายากล้วนรับทั้งนั้น แต่เงื่อนไขก็สูงเช่นกัน แม่นาง เจ้าเอาอะไรมาส่งหรือ”
[1] เสี่ยวเอ้อร์ (小二) คือ คำเรียกบริกร หรือพนักงานในภัตตาคาร โรงเตี๊ยม ในยุคสมัยโบราณ