ตอนที่ 157 ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ
ด้วยเพราะแบกรับแสงเจิดจรัสแห่งความเป็นแม่ บัดนี้ซ่งอิงมองเห็นเด็กโตผู้หนึ่ง จึงอยากถามอีกฝ่ายว่าเรียนหนังสืออะไรมาบ้าง
ซ่งต๋ามองนางแวบหนึ่งอย่างสยองขวัญ
พี่สาวรอง…
เหตุใดจึงกระทำสิ่งที่ผิดไปจากบรรทัดฐานปกติเสียล่ะ?! เขาขอโทษแล้วแท้ๆ ไม่ควรเชยชมเขาสักสองสามประโยค จากนั้นให้เงินขวัญถุงเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยหรอกหรือ! หากไม่ได้ก็เอาน้ำผลไม้มาให้เพิ่มสักสองสามถ้วยก็ได้นี่!
“ลูกต๋าได้ไปโรงเรียน เพียงแต่เขาเหมือนลูกลิง นั่งไม่นิ่ง อาจารย์ตำหนิสั่งสอนไปหลายต่อหลายครั้งแต่ก็เปล่าประโยชน์ ข้าคิดอยู่ว่าจะให้เรียนอีกสักสองสามปี รู้จักตัวอักษรพอประมาณก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ถึงเวลาไปหางานทำในตัวอำเภอได้ง่ายหน่อย แต่หากไม่สำเร็จ ก็ให้ไปทำโรงย้อมสีกับพ่อเขา” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงขมวดคิ้ว “ไม่ได้เชียวนะเจ้าคะ”
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่นิ่งอึ้งไป
“ป้าสะใภ้พูดเช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ น้องต๋ายังเด็ก ยิ่งต้องตั้งใจเรียนเข้าไว้ มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง หากกดดันให้เขาร่ำเรียนหนังสือได้ ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจสอบบัญฑิตจวี่เหริน[1]ผ่านก็เป็นได้ หากเขาได้เป็นขุนนาง ท่านเองก็จะได้รับคำเรียกขานว่าฮูหยิน[2] นั่นน่ะสง่างามยิ่งกว่าใครๆ เลยนะเจ้าคะ”
ราชวงศ์ต้าติ้งค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับผู้เข้าร่วมการสอบขุนนาง ซ่งเสี่ยนมีประวัติกระทำความผิด ทว่าไม่มีผลกระทบอะไรต่อซ่งต๋า แน่นอนว่าหากซ่งเสี่ยนกระทำความผิดร้ายแรงเกินไป นั่นก็ย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเป็นแน่ แต่เมื่อใดที่ไปถึงขั้นนั้น วงศ์ตระกูลซ่งก็จะตัดซ่งเสี่ยนออกจากวงศ์ตระกูล ถึงเวลาก็ยังไม่มีผลใดต่อซ่งต๋าเช่นเดิมอยู่ดี
ขอเพียงซ่งฝูซานบิดาผู้นี้ไม่ก่อปัญหา ซ่งต๋าก็จะมีอนาคตจากการที่เขาได้เรียนหนังสือ
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่
เป็นเหล่าฮูหยินหรือ…
นางจะเป็นได้หรือ
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่หันขวับมองบุตรชาย
บุตรชายผู้นั้นของนางผิวพรรณขาวผ่อง ดวงตาดำขลับสดใสคู่หนึ่งสะท้อนความชาญฉลาด เช่นเดียวกับนาง! สมองน้อยๆ นั่นก็เรียนรู้ได้รวดเร็วเสียยิ่งอะไรดี และยังมีเล่ห์เพทุบายยิบย่อยตั้งเยอะแยะ ปกติอ่านหนังสือก็ไม่เชื่องช้า เพียงแต่ติดเล่นมากไปหน่อยเท่านั้นเอง…
ซ่งต๋าถูกมองจนขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว
“ท่านแม่…” อย่าได้บีบบังคับเขาเรียนหนังสือเชียว!
จะถึงตายเลยนะ!
“เด็กคนนี้ไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย นี่ข้าก็ต้องทำงานเย็บผ้าทุกวันด้วย มีเวลาว่างมากำกับดูแลเขาที่ไหนล่ะ? อีกทั้งพ่อเขาก็ไม่อยู่บ้านบ่อยครั้ง…” ประกายไฟในแววตาของเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่แอบมอดดับลง
นางก็รู้เช่นกันว่า เด็กดีจำเป็นต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดู
แต่ในความเป็นจริง คนครอบครัวระดับนางไม่มีศักยภาพภาพเช่นนั้น โดยเฉพาะระยะนี้ทางครอบครัวก็ไม่มีบ้านแล้ว มิหนำซ้ำยังจ่ายเงินชดใช้ค่าวัตถุดิบบ๊ะจ่างตลอดจนจ่ายค่าแรงคนงานไปไม่น้อย ส่งผลให้ทางบ้านขัดสน นางปักลายไม่สวย เลยจำเป็นต้องอาศัยเย็บผ้าให้มากหน่อยจึงจะหาเงินได้!
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ลูกหลินบ้านข้าต้องเขียนตัวหนังสือด้วยตัวเองตลอดทั้งวัน ไม่มีคนพูดคุยด้วยแม้แต่คนเดียว แม้พวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกัน แต่กลับเป็นอาจารย์ผู้สอนคนเดียวกัน ก็น่าจะทบทวนการบ้านด้วยกันได้ ข้าเองพอรู้จักตัวหนังสืออยู่บ้างเช่นกัน จึงช่วยท่านกำกับดูแลได้ ทว่าท่านอย่าโกรธเคืองหากข้าเข้มงวดก็เป็นพอ” ซ่งอิงเป็นฝ่ายเอ่ยเสนอตัว
ซ่งต๋าอา…
ความแค้นที่ว่ากล่าวเจ้าของร่างเอาไว้ยังต้องชดใช้ จะชดใช้อย่างไรดีล่ะ
ให้เขาท่องจำตำราให้มากหน่อยแล้วกัน เมื่ออ่านหนังสือมากๆ คำพูดคำจาสกปรกจะลดน้อยลงไปด้วยเป็นแน่ การพูดการจาก็จะต้องน่าฟังกว่า ‘นางอัปลักษณ์’ และ ‘ไอ้เด็กนอกคอก’ เป็นแน่
จริงสิ หากไม่เชื่อฟังจะเฆี่ยนตีอย่างชอบธรรมก็ได้อีกด้วย
บนใบหน้าซ่งอิงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มสุขสันต์
ซ่งต๋าขนลุกชันทั้งตัว
“เช่นนี้ก็ดีไปเลย! หลานหลินเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย หากลูกต๋ารู้ความได้เช่นเขา เช่นนั้นก็คงทำให้ข้าคลายกังวลไปได้หน่อย!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ไม่ปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเรื่องดีเสียยิ่งอะไรเชียว? ในเมื่อมีคนกำกับดูแลลูกให้ทั้งคน?
แม้ว่าซ่งอิงและบุตรชายคนโตของนางมีความขัดแย้งกัน แต่นางก็แซ่ซ่งเช่นกันนี่ เอ่ยปากมาถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องเพราะหวังดีต่อลูกต๋า!
อีกทั้งหลานหลินก็รู้ความจริงๆ แม้กระทั่งพ่อเฒ่าก็มีเจตนาดีจากใจจริงต่อเด็กน้อยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดผู้นี้เช่นกัน จำเป็นต้องให้บุตชายเรียนรู้จากเขาบ้าง จะได้เอาใจพ่อเฒ่าสักหน่อย และทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับบรรดาคนของทั้งสามบ้าน!
ตอนที่ 158 เป็นที่โดดเด่นและเป็นที่เคารพนับถือ
ซ่งต๋าถึงกับตกตะลึง
การมาวันนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องฮั่วหลินไม่ให้ถูกรังแกหรอกหรือ? ทำไมจึงกลายเป็นเขาและฮั่วหลินจะต้องทำการบ้านด้วยกันเสียแล้วล่ะ?
เขาเข้าเรียนมาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่เคยทำการบ้านมาก่อนเลย!
“ทางด้านข้านี้มีห้องปีกข้างซ้ายขวาเยอะแยะ จากนี้หากน้องต๋าเรียนจนมืดค่ำแล้ว ข้าก็จะให้เขาค้างคืนที่นี่ ป้าสะใภ้ใหญ่วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน จะต้องทำให้น้องต๋าเรียนได้ดีแน่ จากนี้จะช่วยท่านคว้าเอาศักดิ์ศรีมาให้จงได้” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ดีๆๆ ทว่า…ลูกต๋าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อย่างไรก็อย่าให้ดึกเกินไปจะดีกว่า” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ยิ้มเล็กน้อย
มารดาเขายังช่างสงสารเขาอยู่เช่นเคย! ซ่งต๋าแอบดีใจ
ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย “เช่นนี้เองหรือเจ้าคะ? พี่ชายข้าก็สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นกัน ทว่านับแต่เขาเตรียมไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอ ก็อ่านตำราไม่หยุดหย่อน ได้ยินท่านแม่ข้าเอ่ยว่า หลายวันก่อนตอนอยู่บ้านในช่วงกลางดึกต้องสิ้นเปลืองน้ำมันตะเกียงไปมากมายทีเดียว ภายภาคหน้าน่ะ บ้านสองพวกข้าจะได้มีนายท่านขุนนางคนหนึ่งแน่นอน หากป้าสะใภ้ใหญ่ห่วงน้องต๋าเกินปล่อยวางได้ก็ไม่เป็นไร ไว้พี่ชายข้ามีศักยภาพแล้วก็ช่วยดูแลเขาได้บ้างเช่นกัน ท่านแม่ข้าได้เป็นเหล่าฮูหยินกับการที่ท่านได้เป็นเหล่าฮูหยิน ก็เหมือนๆ กันละเจ้าค่ะ”
นี่จะเหมือนกันได้ที่ไหน!?
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ลุก ‘พรวด’ ขึ้นมา
หากหร่วนซื่อมีหน้ามีตา เช่นนั้นคนเจ้าน้ำตาผู้นั้นจะไม่ยิ่งยโสและดูถูกนางเอาได้หรอกหรือ ถึงเวลาจะต้องรู้จักเสแสร้งแกล้งทำเป็นแน่!
ลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน หลานสวินเป็นผู้มีความสามารถ ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนางพูดให้ร้ายกับพ่อเฒ่าหลายประโยค ไม่แน่ว่าตอนนี้หลานสวินอาจสอบซิ่วฉายผ่านแล้วด้วยซ้ำ!
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่รู้สึกถึงความเสี่ยงที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ
ถัดลงมาเป็นน้องสะใภ้สามคน นางข่มได้คนหนึ่ง กลับข่มไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อใดที่โดดเด่นมีหน้ามีตาขึ้นมา ศักดิ์ศรีของครอบครัวบุตรคนโตอย่างนางก็จะถูกแย่งเอาไปจนหมดเกลี้ยง
นางมีเพียงบุตรชายสองบุตรสาวหนึ่ง
ลูกเสี่ยนเด็กเกเรผู้นั้นถูกเผยซื่อล่อลวงจนไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี หวังให้เขาหาเงินได้ก้อนโตและเป็นขุนนางใหญ่โตตอบแทนบุญคุณนาง…เวลาหลายปีจากนี้เลิกคิดไปได้เลย นางมีเพียงลูกต๋าเท่านั้นแล้ว…
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่มองนัยน์ตาซ่งต๋าอย่างใจจดใจจ่อ
“ลูกแม่ ชื่อของเจ้านี้เป็นท่านตาเจ้าช่วยตั้งให้เจ้าเชียวนะ! ท่านตาเจ้าตอนแรกเอ่ยไว้ว่า เจ้าเติบใหญ่ก็จะมีลักษณะที่โดดเด่นและเป็นที่เคารพนับถือ! ดังนั้นจากนี้เจ้าจะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พยายามเพื่อแม่! หากพี่ชายรองของเจ้าสอบได้แต่เจ้าสอบไม่ได้ แม่ก็จะตีเจ้า!” เหยาซื่อคลี่ยิ้ม คำที่พูดออกมากลับดุดันเกินที่เปรียบ
ซ่งต๋าตัวสั่นระริกชั่ววูบ
“ท่านแม่ ท่านบ้าไปแล้วกระมัง…” ซ่งต๋าเอ่ยพูดหน้าสลด
จะให้เขาสอบ? เช่นนั้นให้เขาไปตายจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ต่างกันเลย!
“ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน! จากนี้หลานหลินกับเจ้าก็ไปเรียนด้วยกัน ขืนเจ้ากล้าโดดเรียนข้าก็จะตัดขาของเจ้าเสียเลย! ท่านตาเจ้าเป็นถึงผู้เฒ่าถงเซิง อย่างน้อยเจ้าก็ควรมีความฉลอดของท่านตาเจ้าอยู่บ้างจึงจะถูก!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งต๋าถลึงตาโต มองซ่งอิงอย่างอัดอั้นตันใจ
ซ่งอิงคลี่ยิ้มตอบ “น้องต๋า วางใจได้ พี่สาวอย่างข้าก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับการอ่านหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า[3]เช่นกัน พวกเราทบทวนให้มากๆ หน่อย ส่วนที่ขาดตกบกพร่องไปก่อนหน้า ต้องได้เรียนทบทวนคืนมาทั้งหมดเป็นแน่”
กลิ่นอายความแปลกประหลาดนี้ ทำให้ซ่งต๋ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด
เขาไม่อยากเรียนนี่!
แต่ต่อต้านไปก็เปล่าประโยชน์
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก หลังพูดคุยกันอีกสามสี่ประโยค ก็พาซ่งต๋าที่ยังใจลอยไปไหนต่อไหนเดินจากไป
แน่นอนว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซ่งต๋า รวมไปถึงเด็กแสบทั้งสามของบ้านสามก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน ทั้งหมดพากันมาปรากฏอยู่หน้าประตูบ้านซ่งอิง
“พี่รอง พวกเรามาพาหลานหลินไปเข้าเรียนขอรับ!” บรรดาเด็กน้อยพร้อมใจกันเอ่ยพูด
ทางด้านบ้านสามนี้ ซ่งเซิ่งและซ่งเวยถึงวัยที่ต้องเรียนรู้ทักษะฝีมือแล้ว อาสามคล้ายว่าต้องการให้ลูกชายทั้งสองไปเรียนเป็นผู้คุ้มกันในตัวอำเภอ เกรงว่าไม่กี่วัน คนก็ต้องออกเดินทางไปกันแล้ว
ส่วนซ่งอู่ อายุมากกว่าซ่งต๋าเพียงไม่กี่เดือน ก็เพิ่งส่งไปเรียนตัวอักษรเช่นกัน อยู่ในระดับพอๆ กับภูตโสม
แน่นอนว่าบ้านสามไม่ได้คาดหวังเลยว่าซ่งอู่จะเรียนได้โดดเด่น เพียงแค่อยากให้เขารู้จักตัวหนังสือ ไม่ถึงขั้นต้องเป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย
เด็กวัยโตสี่คน พาฮั่วหลินเดินไปด้วยกัน มองดูแล้ว…
ค่อนข้างเอาเรื่องเหมือนกันนี่!
————————
[1] จวี่เหริน (举人) คือ คำเรียกบัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบระดับมณฑล (ถือเป็นระดับกลาง) ซึ่งเป็นหนึ่งในการสอบเลื่อนขั้นเพื่อเข้าเป็นขุนนางในยุคสมัยจีนโบราณ
[2] ฮูหยิน (夫人) คำเรียกขานยกย่องสตรีที่แต่งงานแล้ว เทียบได้กับคำเรียกขานว่า คุณนาย คุณหญิง ท่านผู้หญิง
[3]หนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า (四书五经) หมายถึงหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็นแนวคิดของปรัชญาขงจื่อ (儒家)