ตอนที่ 149 ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
ซ่งอิงเพิ่งจูงลาขาวไว้ในมือ จมูกของลาตัวนี้ก็ได้กลิ่นบนตัวของภูตโสม
ขนตาแพใหญ่ดุจยอดใบธูปฤาษีที่กะพริบปริบๆ และถึงขั้นปรือตาเล็กน้อย ลมหายใจแรงฟืดฟาดผ่านรูจมูกพ่นใส่ดวงหน้าภูตโสม
“ท่านแม่! คืนนี้พวกเรากินเนื้อลาหม้อไฟดีหรือไม่!” ภูตโสมขบฟัน หน้าสั่นระริก
ทำไมเหล่ามนุษย์จึงน่ากลัวขนาดนี้นะ!
ประเดี๋ยวต้องการเลี้ยงไก่ ประเดี๋ยวก็ต้องการเลี้ยงลา!
ไม่ใช่ว่าวันใดวันหนึ่งจู่ๆ ก็คิดจะเลี้ยงหมอสักคนขึ้นมาอีกกระมัง?
“ขี่มันไม่ดีกว่ากินหรอกหรือ?” ซ่งอิงส่ายหน้า “เจ้าคงไม่เคยได้ยินว่า เทพเซียนที่อยู่ในตำรานิทานปรัมปราเหล่านั้นล้วนชอบใช้ลาเป็นพาหะนะนั่งใช่หรือไม่ ขี่ลาตัวนี้เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ในชนบท ใครบ้างมองเห็นแล้วจะไม่พากันมองด้วยความอิจฉา?”
“…” ไม่ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเทพเซียนขี่ลา
“อย่างไรก็ต้องขี่” ซ่งอิงครุ่นคิด จากนั้นจับภูตโสมขึ้นวางบนหลังลา
ลาตัวสั่นตัว
เสียงดัง ‘ปึก’ ภูตโสมร่วงหล่นลงมา
“เห็นทีว่าเจ้าไร้สติปัญญาที่จะกลายเป็นเซียนได้…” ซ่งอิงรู้สึกตงิดๆ คล้ายจะเกิดปัญหาบางอย่าง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “สองวันนี้เลือกฤกษ์ยามดีๆ สักวัน…แม่จะพาเจ้าไปไหว้ท่านอาจารย์ดีหรือไม่!?”
ภูตโสมมีลางสังหรณ์ล่วงหน้าประเภทที่ไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าเป็นลูกชายข้า ข้าในฐานะแม่หาเงินเหล่านี้มาได้ก็สมควรส่งเจ้าไปร่ำเรียนหนังสือสิ? พอดีเลย ท่านลุงรองเจ้าก็ต้องไปเรียนด้วยเช่นกัน ครอบครัวเรามีบ้านอยู่ในตัวอำเภอแล้วด้วย จากนี้เจ้าไปโรงเรียนพร้อมกับท่านลุงรองเจ้า เป็นเช่นไร?” นัยน์ตาซ่งอิงลุกวาว
แน่นอนละว่า ระดับความสามารถของทั้งสองคนไม่เหมือนกัน จึงต้องไม่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกันเป็นที่แน่นอน
“ไม่เอา!” ภูตโสมมองนางอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ ท่านต้องการทำร้ายข้าให้ตายหรือไร?! ผู้คนในตัวอำเภอมีตั้งมากมายขนาดนี้ มิหนำซ้ำข้ายังต้องอยู่ร่วมกับท่านลุงรองอีกด้วย หากเขาพบข้าเที่ยวมุดดินไปทั่วจะทำอย่างไร?! คงได้จับข้าตุ๋นแน่ ใช่ๆๆ…เขากินข้าไปไม่น้อยแล้วด้วย…”
น้ำที่เขาอาบ เอาไปให้ท่านลุงรองดื่มทั้งนั้นมิใช่หรือ!
ไม่แน่ว่าจะดื่มจนติดใจตั้งนานแล้ว หลังค้นพบว่าเขาเป็นโสมหัวโต เขาจะต้องกินเรียบไม่เหลือแม้แต่เศษซากเป็นแน่!
ซ่งอิงครุ่นคิดอย่างละเอียด
สติปัญญาของภูตโสมตอนนี้ไม่ถือว่าสูงล้ำจริงๆ อีกทั้งเพิ่งลงมาจากภูเขา แล้วยังมีข้อเสียที่ต้องคอยมุดดินอาบแดด จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกเจอเอาได้
“เช่นนั้นเจ้าก็เรียนในหมู่บ้านแล้วกัน ภายภาคหน้าจะได้สอบจอหงวน[1]เพื่อแม่” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“…” ภูตโสมรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เหตุใดจึงถูกหญิงที่ไม่น่าเชื่อถือผู้นี้บงการเสียได้…
ให้เขาสอบจอหงวน?
เขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าตนเองจะเติบใหญ่เป็นเรือนร่างเช่นพวกมนุษย์หรือไม่ ไม่แน่ว่าอีกสิบแปดปีก็ยังดูเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่อีกล่ะ?
ต่อให้พยายามแทบเป็นแทบตายจนเติบโตขึ้นมาได้หน่อย แต่สิ่งมีชีวิตระดับพวกเขา หลังมีทักษะจากการบำเพ็ญเพียรที่แน่ชัดและมีความสามารถแล้ว ก็จะกำหนดรูปลักษณ์ของตัวเองได้ เขาไม่อยากเป็นเหมือนพวกมนุษย์ที่ดำรงชีวิตเพียงไม่กี่สิบปี ก็ต้องเหี่ยวย่น แก่หงำเหงือกหรอก!
“หากเจ้าไม่ยินดีไป ก็ไม่ต้องดื่มน้ำผ่านจิตแล้วละกัน อย่างไรเสีย…เจ้าก็ไร้ประโยชน์นี่นะ? โง่เง่าขนาดนี้ ต่อให้คนคนเดียวก็หลอกลวงเจ้าได้สบายมาก เกิดภายภาคหน้ามีภูตผีปีศาจตนอื่นต้องการฆ่าข้า เจ้ากลับโง่เขลาเปิดประตูให้ศัตรูหน้าตาเฉย ข้าไม่เท่ากับขาดทุนหรือ?” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ในเมื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคน เช่นนั้นก็ต้องสร้างจิตสำนึกอย่างคนด้วย
ร่ำเรียนตำรา รู้จักเหตุรู้จักผล มันสมองจึงจะเติบโตได้
ไม่แน่ว่าจะช่วยเสริมสร้างสติปัญญาให้เฉียบแหลมได้ดียิ่งกว่าน้ำผ่านจิตอีก!
ภูตโสมได้ยินดังกล่าว เม้มปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ กะพริบตาปริบๆ คล้ายจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น
ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็เป็นอันตกตลงตามนี้
ซ่งอิงผู้มีที่ดินเพิ่มมายี่สิบหมู่และโฉนดบ้านในตัวอำเภอ ใจป้ำเสียยิ่งอะไรดี ตอนที่นำสิ่งของไปมอบให้อาจารย์ประจำโรงเรียนซึ่งถือเป็นธรรมเนียมการฝากเนื้อฝากตัว ก็นำเนื้อหมูติดไม้ติดมือไปด้วยตั้งหลายจิน
ซ่งอิงซ่อมแซมบ้านและซื้อลา เป็นธรรมดาที่ทุกคนต่างรับรู้ว่าซ่งอิงหาเงินได้แล้ว
ไม่มีใครไม่อิจฉา
แน่นอนว่า คนที่ริษยาและเคียดแค้นก็มีเช่นกัน ตัวอย่างเช่นหลี่จิ้นเป่า
เมื่อก่อนที่ดินผืนนั้นที่ซ่งอิงอยู่อาศัยก็คือเรือนหลังเก่าแก่พุพัง ตอนนี้มองไป คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นบริเวณหนึ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดในหมู่บ้านเสียแล้ว…
ตอนที่ 150 ยากเกินไปแล้ว
ซ่งอิงก็ทุ่มทุนเช่นกัน นางใช้อิฐก่อล้อมส่วนลานหน้าบ้านทั้งหมดแทนรั้วไม้ไผ่ และปลูกไผ่สองสามกอบริเวณปากทางเข้าออกลานบ้าน มองดูเป็นพุ่มๆ พลิ้วไสว มีความเป็นศิลปะอย่างยิ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ซ่งอิงเลี้ยงอาหารบรรดาชาวบ้านที่ทำงานในหลายวันนี้ ใจกว้างเสียจนทำให้ผู้คนประทับใจ
สภาพแวดล้อมหมู่บ้านพวกเขาแห่งนี้ค่อนข้างดีทีเดียว ครอบครัวคนที่ฐานะถือว่าไม่เลวจะกินเนื้อหมูได้ทุกๆ สองสามวันครั้งเช่นกัน อย่างแย่ที่สุด ในหนึ่งปีจึงจะได้กินสักครั้ง แต่ทำงานอยู่ที่บ้านซ่งอิงในหลายวันมานี้ มีเนื้อหมูให้ได้กินกันทุกมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นก็มีหมั่นโถวที่ทำจากแป้งสาลี สิ่งตอบแทนเช่นนี้ไม่มีผู้ใดไม่ยกนิ้วโป้งให้เลยจริงๆ
บ้านตระกูลหลี่อยู่ใกล้กับที่อยู่อาศัยของซ่งอิง เมื่อก่อนตอนที่ซ่งอิงทำไส้บ๊ะจ่าง คล้ายว่าเป็นการทำอย่างลับๆ ยามดึกเสมอ แม้จะแอบมีกลิ่นเนื้อหมูนั้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
ทว่าในช่วงหลายวันนั้น ตั้งเตาไว้กลางลานบ้าน กลิ่นหอมของเนื้อหมูจึงลอยฟุ้งไปไกล
ตรงกันข้ามกับซ่งอิง ตระกูลหลี่ในหลายวันมานี้ ทุกข์ยากลำบากสุดขีดจริงๆ
หลี่จิ้นเป่าโกรธแค้นซ่งอิงจากใจจริง
บิดาเขานอนกึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนเตียง อาการบาดเจ็บภายนอกจากตอนนั้นแม้รักษาดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่อาการบาดเจ็บภายในกลับยังคงอยู่ ทั้งยังลุกลามไปถึงขั้นมีอาการหนาวสั่นเนื่องจากการปะทะลมเย็นเป็นเวลานาน ละเมอเพ้อพกทุกวี่ทุกวัน กินน้ำแกงจืดๆ ไปพร้อมกับอาการวิงเวียน
เงินในครอบครัว ท่านย่าเขาเป็นผู้ครอบครองเอาไว้ทั้งหมด แต่อย่างไรเสียก็เพิ่งแยกครอบครัวกันไม่นานเท่าไร ดังนั้นผู้เป็นย่าก็ไม่ได้มีมากมายเช่นกัน และระยะนี้ก็ไม่สนใจเขา ส่วนเงินส่วนตัวของมารดาเขาล้วนชดใช้ให้ซ่งอิงไปหมดแล้ว…
ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่ได้กินเนื้อหมูแม้แต่ชิ้นเดียว!
ซ่งอิงล่ะ? เอาเงินของมารดาเขาไป ได้กินดีอยู่ดี แล้วเขาจะไม่เดือดดาลในใจได้อย่างไรหรือ
ทว่าในเวลาเดียวกันที่โกรธเกรี้ยว จะมากจะน้อยก็มีความนึกคิดบางอย่างผุดขึ้นมา
ซ่งอิง…
แตกต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว
นับแต่นางกลับมาจากเมืองหลวง แรกเริ่มเป็นเพียงเด็กสาวบ้านป่าคนหนึ่ง เลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ ต่อให้ออกเรือนแล้ว ตระกูลซ่งก็ให้สินเดิมไว้ไม่มากมายเท่าไร
ทว่าตอนนี้นางกลับมีตำรับบ๊ะจ่าง ต่อให้ปีหน้าไม่หารายได้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมีเงินอยู่ในกำมือ ทั้งยังซื้อที่ดินรวดเดียวมากถึงยี่สิบหมู่! นี่ถือเป็นเงินก้อนโตเชียวนะ!
อีกประการ แม้ว่าซ่งอิงออกเรือนแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้มีครอบครัวสามีแต่อย่างใด
นอกจากเด็กน้อยที่เก็บเอามาเลี้ยงผู้นั้น ก็ไม่มีคนที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลฮั่วเลยสักคนเดียว
ก็หมายความได้ว่า หากซ่งอิงจะแต่งงานในภายภาคหน้า ใครก็ห้ามนางไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งสิ่งของของนาง…ล้วนเอาไปได้ทั้งหมด!
แน่นอนละว่า ข้อสันนิษฐานคือ ซ่งอิงคงไม่เก็บเอาไว้ให้ไอ้เด็กนอกสายเลือดผู้นั้นแม้เพียงน้อยนิด
ไอ้เด็กนอกสายเลือด…
หลี่จิ้นเป่าตรึกตรองอย่างหนักมาตลอดหลายวัน
ในวันนี้พบเจอฮั่วหลินที่เผยสีหน้าไม่สะทกสะท้านแบกของประหลาดๆ เดินมุ่งกลับบ้านพอดิบพอดี เขาพลันรู้สึกชะงักอึ้งไปชั่ววูบ ก่อนเดินเข้าไปหาตามจิตใจใต้สำนึก ขวางหน้าฮั่วหลินเอาไว้
ผมจุกภูตโสมห่อเหี่ยวลงในทันที
ในสมองหลงเหลือเพียงว่า ธรรมชาติโดยกำเนิดของมนุษย์ คือมีกมลสันดานอันเป็นพื้นฐานที่สั่งสอนให้ดีได้
ยากเกินไปแล้ว! คัมภีร์ตรีอักษร[2]ช่างยากเกินไปแล้วจริงๆ!
แต่ท่านอาจารย์เอ่ยไว้แล้วว่า จอหงวนไม่เพียงแต่ต้องอ่านคัมภีร์ตรีอักษรเท่านั้น แต่ยังมีอย่างอื่นอีกด้วย หนังสือกองพะเนินขึ้นมาแทบจะกลบฝังเขาได้!
เขาอาจต้องกลายเป็นภูตน้อยผู้มีไหวพริบเฉียบคมและมากความสามารถเป็นตนแรกในประวัติศาสตร์เพราะต้องท่องจำหนังสือจนหงุดหงิดแทบแย่…
“หลานหลิน?” เสียงหนึ่งแว่วลอยมาเหนือศีรษะ
ฮั่วหลินมุ่นคิ้วหันมองไป “ท่านเป็นใครหรือ อย่างกับคุณตา”
“เจ้าเรียกข้าว่าอาหลี่ก็ย่อมได้” หลี่จิ้นเป่ากล่าวอย่างหน้าไม่อาย
แม้ว่าเขาอายุมากกว่าซ่งอิงเพียงนิดเดียว แต่…ซ่งอิงเป็นมารดาของเด็กคนนี้ เช่นนั้นเขาเรียกแทนตัวเองว่าอาก็ถูกต้องแล้วเช่นกัน
ภูตโสมได้ยินดังกล่าว ก็รู้สึกไม่ยินดีทันทีทันใด
“อายุของท่านควรจะเป็นปะ ปะ ปะ…ปู่ทวดของข้า เรียกโดยง่ายว่าเหล่าจู่จง[3]จึงจะถูก!” ภูตโสมหัวเราะฮึๆ
เอ่ยปากขึ้นมาก็ให้เขาเรียกท่านอา? มีสิทธิ์อะไรหรือ!
หลี่จิ้นเป่าหุบรอยยิ้มกลับไป
“แม่เจ้าสอนเจ้าอย่างไรหรือ ดูสิ อายุแค่ห้าหกขวบ กลับไม่รู้จักมารยาทแม้แต่น้อย” หลี่จิ้นเป่าขมวดคิ้ว ครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นสงบสติอารมณ์ไปครู่หนึ่ง “ทว่าไม่เป็นไรหรอก จากนี้เจ้าตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ก็พอ”
“…” ฮั่วหลินเม้มปาก
แม่เขาหายไปไหนแล้ว? รีบมาเร็วเข้าสิ คนผู้นี้ไม่ปกติ!
———————–
[1] จอหงวน (状元) เป็นตำแหน่งราชบัณฑิตซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของประเทศจีนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
[2] คัมภีร์ตรีอักษรหรือ (三字经) เป็นแบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับหัดอ่านเบื้องต้น เด็กๆ จะศึกษาเรียนรู้ตัวอักษรและคุณธรรมผ่านการท่องคัมภีร์ตรีอักษร ทั้งหมดมี 1722 ตัวอักษร เนื้อหาในคัมภีร์ตรีอักษรประกอบด้วย จารีตโบราณทางการศึกษาของจีน ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จริยธรรมและคุณธรรม
[3] เหล่าจู่จง (老祖宗) คำเรียกขานผู้ที่เป็นต้นตระกูลบรรพบุรุษ