ตอนที่ 165 บรรพบุรุษปกปักษ์คุ้มครอง
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงร้อง ‘โอ๊ย’
“หยา! ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย!” เจียวซื่อตบมือ “ลูกข้าจะมีอนาคตที่สดใสแล้ว!”
“ลูกข้าต่างหาก ลูกชายเจ้าดูไม่ตั้งใจเรียนเท่าลูกข้า!” เหยาชื่อสะใภ้ใหญ่คลำเอว ถลึงตากลับไปด้วยความเคืองเล็กน้อย “เห็นหรือไม่ ลูกต๋าของข้านั่งตัวตรง พู่กันนั่นก็ไม่เอียงด้วย ส่วนลูกชายเจ้า…เจ้าดูสิ หมึกหยดแล้ว!”
เจียวซื่อเข้าใจนิสัยใจคอของพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าอะไรก็ต้องเปรียบเทียบทั้งนั้น!
ช่วงหลายวันก่อนที่ซ่งเสี่ยนถูกจับไป ช่วงนั้นนางห่อเหี่ยวไปพักใหญ่ ออกจากบ้านทีก็ไม่ยินดีสบตามองหน้าผู้คน กลัวว่าคนอื่นจะดูถูกนางเพราะเรื่องที่บุตรชายกระทำไว้
ผ่านไปนานขนาดนี้ ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ทำให้นางค้นพบความเจิดจรัสแล้วจริงๆ!
“ก็ได้ ลูกชายเจ้ายอดเยี่ยม! แต่ลูกชายข้าก็ไม่แย่นี่ ลูกอู่ของครอบครัวข้าเทียบลูกต๋าไม่ได้ แต่เขาเพิ่งเรียนได้กี่วันเอง? ตอนนี้รู้ความได้ขนาดนี้ นั่นก็ถือเป็นบรรพบุรุษปกปักษ์คุ้มครองแล้ว! ก็ได้แต่หวังว่า…เด็กสองคนนี้ อย่าได้เหมือนพี่ใหญ่เขาก็เป็นพอ ที่รู้จักแต่ตัวหนังสือ แต่ไม่มีเหตุมีผลไม่รู้ความเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังขโมยของของน้องสาวอีก…” เจียวซื่อถากถาง
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ถูกกระแนะกระแหนจึงตวัดสายตามองไปอย่างโกรธเคือง “ขโมยของอะไรกัน!? นั่นล้วนเป็นเพราะนางจิ้งจอกยุแยงต่างหาก! ลูกชายข้าก็เป็นคนดีอยู่หรอก!”
ซ่งอิงได้ยินเสียง หันหน้ามามอง นวดคลึงหว่างคิ้วอย่างเอือมระอา
เด็กๆ เลิกเรียนแต่หัววัน ตอนนี้ก็เพิ่งตะวันตกดิน ดังนั้นจึงยังไม่ได้ปิดประตูบ้าน
วันนี้ไม่รู้เช่นกันว่าลมอะไรพัดมา ทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่และอาสะใภ้สามมาด้วยกัน
“ท่านแม่! พวกท่านเสียงดังจัง ทำข้าตกใจ ข้าเลยเขียนตัวอักษรผิดอีกแล้ว!” ซ่งต๋าส่งเสียงตะโกนขึ้นมา หงุดหงิดเล็กน้อย
เดิมทีตัวอักษรในกระดาษแผ่นนี้เขียนได้งดงามที่สุด ตอนนี้จบกัน ต้องไม่ผ่านเกณฑ์เป็นแน่
อีกทั้งพี่สาวคนรองพูดไว้ว่า นางไม่ได้จะเทียบว่าใครตัวหนังสือสวยกว่ากัน แต่ดูว่าใครพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดเจน!
เด็กทั้งสามคนล้วนนั่งอยู่บริเวณปากประตูห้องโถงกลาง ตรงนี้เป็นห้องที่สว่างไสวที่สุด ครั้นเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ได้ยิน ถึงขั้นรีบแคะหูข้างหนึ่งของตนเองทันที “ไอหยา เสียงดังรบกวนลูกชายข้าแล้วหรือ แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่ดีเอง! เจ้าตั้งใจเขียนไปนะ แม่จะไปหาพี่รองเจ้าพูดคุยกันสักหน่อย!”
ซ่งอิงเด็กสาวผู้นั้นสอนอย่างไรนะ? เมื่อก่อนนางก็เคยให้บุตรชายตั้งใจเล่าเรียนหนังสือเช่นกัน แต่บุตรชายไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย!
แล้วไฉนตอนนี้จึงว่านอนสอนง่ายเสมือนลูกแมวอย่างไรอย่างนั้น?
“เอ้อร์ยา เจ้าเด็ดดอกไม้ป่าเหล่านี้เอามาทำอะไรหรือ” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เดินตรงเข้าไปหาซ่งอิง แวบแรกก็มองเห็นของที่อยู่ในห้องอบอุ่น
เจียวซื่อชะโงกหน้ามองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ เอ้อร์ยามีความสามารถเป็นที่สุด สิ่งนี้จะต้องทำเงินได้แน่นอนกระมัง?”
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ตกตะลึง งุนงงสับสนเล็กน้อย
อย่างไรเสียบุตรชายคนโตของครอบครัวตนก็เพิ่งไปเยือนที่ว่าการอำเภอเพราะขโมยวิธีการหาเงินของซ่งอิง หากนางไม่หลีกเลี่ยง อีกเดี๋ยวถูกซ่งอิงส่งไปบ้างจะทำอย่างไรเล่า
“อาสะใภ้สามพูดถูกเจ้าค่ะ เป็นของที่หาเงินได้” ซ่งอิงเงยหน้ามองพวกนาง บอกกล่าวตามความจริง “นี่คือดอกจินเช่ว์ เติมน้ำตาลสักหน่อยชงชาดื่มได้รสหอมและดีต่อสุขภาพร่างกายด้วย ผัดไข่ไก่ก็อร่อยเช่นกัน ดอกไม้ก็ถือเป็นยา ร้านยาสมุนไพรน่าจะรับซื้อ ข้าจึงเตรียมเอาไว้ร้อยกว่าจินจะเอาไปขาย”
รากของดอกจินเช่ว์นี้ก็น่าจะเป็นยาจีน ต้องขายได้แน่นอนเช่นกัน ทว่าซ่งอิงไม่ได้เอ่ยถึง
ดอกจินเช่ว์บนเขาซิ่งมีจำนวนมาก พวกนางจะไปเด็ดก็เกรงว่าจะคงเด็ดกันไม่หวาดไม่ไหว แต่รากแตกต่างออกไป ขุดหนึ่งรากก็หายไปหนึ่งต้น อีกทั้งพวกเขาก็ปลูกไม่เป็นเสียด้วย นานไปหลายปีเข้าเกรงว่าจะลดน้อยลงไปจากบนเขามากทีเดียว
นอกจากนั้น สมุนไพรทั้งหมดต้องเอาไปทำให้แห้ง ชาวชนบทก็ไม่ใช่ ‘ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง’ เกิดอบแห้งได้ไม่ดีแล้วเอาไปขาย ก็จะกลายเป็นการทำร้ายคนได้
“ไยเจ้าจึงพูดออกมาหมดเปลือกขนาดนี้… นี่ไม่ใช่วิธีการหาเงินหรอกหรือ” เหยวซื่อสะใภ้ใหญ่ตกใจ
เด็กสาวผู้นี้อย่าได้คิดให้ร้ายนางว่าขโมยวิธีหาเงินเชียวนะ! นางเปล่านะ!
ตอนที่ 166 เชื่อมสัมพันธ์ดีงาม
ซ่งอิงวางสิ่งของในมือ มองเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่แวบสายตาหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ ตัวซ่งอิงเองต้องขอบคุณตระกูลซ่งที่เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจึงเติบใหญ่ขึ้นมาได้ ประเด็นนี้ข้าไม่เคยลืมเลือน ตอนที่ข้ายังเด็ก ป้าสะใภ้ใหญ่ก็เคยให้ถังเกาข้ากินสามสี่ครั้ง สิ่งเหล่านี้ข้าล้วนจดจำได้ทั้งสิ้นเช่นกัน หากพวกท่านดีต่อข้า ข้าก็ย่อมปฏิบัติดีต่อท่านเป็นธรรมดา วิธีการหาเงินจากการเด็ดดอกไม้นี้ไม่เหมือนกับตำรับบ๊ะจ่าง ไม่ถึงขั้นที่ข้าต้องทำเป็นมีลับลมคมในหรอกเจ้าค่ะ”
ตำรับบ๊ะจ่างนั้น เป็นสิ่งที่นางได้ลงนามสัญญาเอาไว้จึงจำเป็นต้องมีหลักการเฉพาะ
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่มองนางอย่างตกตะลึงปนแปลกใจ กรอบดวงตาแดงระเรื่อเล็กน้อย
รู้สึกเจ็บปวดดวงใจแปลบ นึกอยู่ในใจว่าไฉนตนจึงเป็นเหมือนหร่วนซื่อที่กระวนกระวายใจขึ้นมาก็เป็นอันต้องร้องไห้ ก็แค่ประโยคนี้ คิดไม่ถึงว่านางจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ลูกเสี่ยนของครอบครัวนางกระทำเรื่องเช่นนั้นออกไป เพื่อนบ้านซ้ายขวา จะมากจะน้อยก็ต้องพูดติฉินนินทากัน
บ้างก็พูดว่านางไม่รู้จักสั่งสอน บางก็พูดว่าเป็นเพราะนางยุแยง ยิ่งไปกว่านั้นก็พูดกันว่าตระกูลซ่งพวกเขาเข้ากับซ่งอิงไม่ได้…
ฟ้าดินช่างไม่เห็นใจกันบ้างเลย!
ที่แยกครอบครัวกันนั้นเป็นเพราะกลัวว่าจะถูกเหมารวมไปด้วยกัน หลังสร้างความบาดหมางให้คนชั้นสูง พวกเขาทั้งหมดจะถูกฆ่าตายเอาได้!
บีบบังคับซ่งอิงให้ออกเรือน นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เพราะเป็นการคำนึงเพื่อลูกๆ หรอกหรือ!
“เจ้า… คำพูดนี้ของเจ้าช่างบาดใจข้าจริงๆ พูดตามตรง ข้าอิจฉาที่ตำรับนั้นของเจ้าทำเงินได้ แต่ก็ไม่อาจตัดญาติเพื่อตำรับอาหารชนิดหนึ่งได้หรอกนะ? ข้าก็ยังมีความเป็นคนอยู่! เรื่องนั้นหากลูกเสี่ยนได้รับการสั่งสอนจากข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีหน้าเจอผู้ใดได้แล้ว อยู่ต่อหน้าแม่เจ้าก็ลดราวาศอกลงไประดับหนึ่งแล้วนี่…”เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวความในใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยกับท่านปู่เอาไว้ว่า ข้าหวังหารายได้จากตำรับบ๊ะจ่างนี้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น ส่วนปีที่สองก็จะเปิดเผยให้รู้ ปีหน้าป้าสะใภ้ใหญ่ต้องการห่อบ๊ะจ่างอีก ก็ทำด้วยตนเองได้ เพียงแต่บ๊ะจ่างทองคำชั้นยอดจะไม่มีแล้ว เนื่องจากวัตถุดิบนั้นค่อนข้างหายาก คนทั่วไปจะหากันไม่ได้” ซ่งอิงกล่าว
“จริงหรือ!?” เจียวซื่อถูไถมือ “เช่นนั้นก็ดีไปเลย! เอ้อร์ยา เช่นนั้นเจ้าก็ถือเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลเราจริงๆ!”
“อาสะใภ้สาม ปีหน้าน่ะ อาจยังพอมีตลาดให้ขายได้บ้าง แต่ตำรับนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่พบเห็นได้ยากหรอก หรือบางทีอาจใช้ได้ไม่ถึงสองสามปีก็จะมีคนรู้กันทั่วแล้ว ดังนั้นพวกท่านก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยเช่นกัน” ซ่งอิงกล่าว
เจียวซื่อยังจะไม่ขานรับได้ที่ไหนกัน “โอ๊ย ทำเงินได้สักปีหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว! ยังจะกล้าหวังอาศัยสิ่งนี้ไปชั่วชีวิตได้ที่ไหนกัน! พอคำนวณดูเช่นนี้ ภายภาคหน้าครอบครัวเราก็ลืมตาอ้าปากได้แล้ว น้องชายเจ้าสองคนต่างก็ไปเรียนเดินคุ้มกันแล้ว ภายภาคหน้าก็จะมีรายได้เช่นกัน ครอบครัวเราจะได้ทุ่มเทแรงใจทั้งหมดไปที่การเรียนของลูกอู่! ชีวิตนี้จึงจะได้มีความหวังกับเขาเสียที!”
ซ่งอิงเม้มริมฝีปาก
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่มองซ่งอิง รู้สึกเพียงไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
ตระกูลมารดานางทางด้านนั้นเป็นคนร่ำเรียนหนังสือ เมื่อก่อนติดตามบิดานางก็ได้พบเห็นโลกภายนอกไม่น้อย พูดตามจริง ไม่เคยเห็นเด็กสาวอย่างซ่งอิงผู้นี้มาก่อน
ลำพังมองดูเช่นนี้ ดูนุ่มนวลอ่อนโยน ทั้งยังดูจิตใจดีทีเดียว แต่นางก็เข้าใจเช่นกันว่า เด็กสาวผู้นี้ภายนอกดูละมุนละไม ทว่าในใจอ้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม
เห็นนางท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ แล้วนึกถึงวันนั้นที่ดึงดันต้องการส่งลูกเสี่ยนไปที่ว่าการอำเภอให้จงได้ แล้วจะกล้าเชื่อได้ที่ไหนกันว่านี่คือคนคนเดียวกัน!
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่เป็นคนที่มีแนวทางเป็นแบบฉบับของนาง
นึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบุตรชายตนทั้งสองคน พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นในใจ จะต้องจัดซ่งอิงอยู่ในหมู่บุคคลที่หาเรื่องด้วยไม่ได้เป็นลำดับที่หนึ่ง
บุตรชายของนางทั้งสองต่างก็ศิโรราบแล้ว!
นางเองก็ล่วเกินไม่ได้อีก!
จำเป็นต้องสานสัมพันธ์ดีงามเอาไว้…
ทันใดนั้น เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ฉีกยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้ซ่งอิงตกใจแทบแย่
“ป้าสะใภ้ใหญ่ก็ขอขอบใจเจ้าล่วงหน้าตรงนี้เลยแล้วกัน ไว้วันข้างหน้าหาเงินได้แล้ว ค่อยตัดเสื้อผ้าให้เจ้าสักสองชุด ตอนแรกที่เจ้าออกเรือน ก็ไม่ได้ให้สิ่งของเจ้าสักกี่ชิ้น เอาไว้วันหลังค่อยชดเชยให้แล้วกัน!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เจียวซื่อมองนางเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
นี่นางสมองกลับไปแล้วกระมัง แม้ว่าการหาเงินได้จะเป็นเรื่องดี แต่ซ่งอิงก็เป็นคนส่งซ่งเสี่ยนไปที่ว่าการอำเภอ ตอนนี้ยังฉีกยิ้มออกมาให้คู่อริตัวฉกาจได้อีกหรือ
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนประเภทนี้นี่เอง!