ตอนที่ 169 รถใหม่เคลื่อนไปตามเส้นทาง
ฮั่วซื่อเซี่ยงคิดว่านายท่านตระกูลตนช่างใจกว้างเกินไปแล้วจริงๆ
วันนั้นท้องนภามืดมิดเข้าป่าดงพงไพร คนรอบข้างอาจมองไม่เห็นลักษณะของสตรีผู้นี้ ทว่าเขาอยู่ใกล้ จึงเป็นธรรมดาที่จะเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
สตรีผู้นี้ใบหน้าเสียโฉม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเกิดจากคมอาวุธ รอยบาดแผลประเภทนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝีมือฝ่ายศัตรูทั้งนั้น เบื้องหลังจะต้องมีเหตุการณ์อื่นใดด้วยเป็นแน่ ก็อย่างพวกจอมโจรเจียงหยางเหล่านั้น ในสิบคนมีแปดเก้าคนล้วนรูปลักษณ์อัปลักษณ์เหี้ยมโหด ตามเนื้อตัวแต่ละคนเต็มไปด้วยแผลเป็น
ไม่แน่ว่าแม่นางสาวน้อยท่านนี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับหัวขโมยเหล่านั้นด้วยเช่นกัน…
น่าเสียดาย ไม่รู้เหตุใดทุกครั้งที่ใต้เท้าเห็นสตรีผู้นี้ ก็เป็นอันต้องใจกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย ถูกลักษณะที่น่าสงสารของนางหลอกลวงเข้าแล้ว
อีกอย่าง แม่นางผู้นี้ก็แปลกพิลึกนัก สตรีทั่วไปหน้าตาเสียโฉม มีที่ไหนกล้าออกมาเดิมตามท้องถนน นางกลับใจกล้า แม้จะใส่หมวกอยู่ แต่เจ้าสิ่งนั้นถูกลมพัดทีก็เผยใบหน้าครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างเขาที่สายตาดีเช่นนี้ มองไปปราดเดียวก็มองออกแล้ว ทว่านางกลับไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นบางครั้งยังจงใจถอดสิ่งที่ใช้บดบังออกด้วย ช่างเป็นอะไรที่ชวนเหลือเชื่อจริงๆ
ทว่า ความนึกคิดเหล่านี้ ฮั่วซื่อเซี่ยงไม่ได้พูดออกมาแต่อย่างใด
การติฉินนินทาผู้คนลับหลังคือเรื่องไม่ถูกต้อง จะทำให้ผู้เป็นนายไม่พอใจเอาได้
“ซื่อเซี่ยง” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยปากกะทันหัน ชี้นิ้วไปที่อาคารหลังหนึ่ง “สองคนผู้นั้น สะกดรอยตามแม่นางซ่งอยู่หรือไม่”
“แม่นางซ่ง?” ฮั่วซื่อเซี่ยงตะลึงงัน ใครคือแม่นางซ่งหรือ?
แต่ในนาทีถัดมาก็นึกขึ้นได้ ยิ่งทวีความงุนงงสับสนในใจ เขาไม่รู้แซ่ซื่อแม่นางผู้นั้นด้วยซ้ำ แล้วใต้เท้ารู้ได้อย่างไรกัน หรือว่าพวกเขารู้จักกันเป็นการส่วนตัว? เป็นไปไม่ได้กระมัง!
“มองดูไม่เหมือนคนดีจริงๆ ด้วยขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงมองไปตามทิศทางที่ฮั่วเจ้ายวนมองอยู่ “แม่นางท่านนี้ตัวคนเดียว ทั้งยังซื้อของมากมายขนาดนี้ ถูกคนหมายตาก็ไม่แปลกเช่นกัน”
“แจ้งขุนนางให้มาจับไปเสีย” ฮั่วเจ้ายวนเอ่ยเสียงเย็นชา ชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “รอพวกเขาลงมือแล้วค่อยจับ เช่นนี้จึงจะมีหลักฐานทั้งบุคคลและสิ่งของ”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปแจ้งที่ว่าการอำเภอให้ทราบเดี๋ยวนี้ขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงขานรับทันที
ขโมยกระจอกทั้งสองคนนี้ช่างโชคร้ายน่าดู
นี่เป็นเขตแดนของใต้เท้าตระกูลเขา ใต้เท้าไม่อาจยอมปล่อยให้มีเรื่องราวประเภทนี้ได้เป็นที่สุด ตั้งแต่เป็นเจ้าเมืองยงแห่งนี้ ก็เน้นการปราบปรามหัวขโมยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าสองคนนี้กลายเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาด้วยตนเองเสียได้
ซ่งอิงนำสิ่งของกลับไปยังบริเวณที่นางฝากลาน้อยเอาไว้ ลาน้อยลากรถไม้กระดานคันหนึ่งไว้ด้านหลัง บนลำคอห้อยดอกไม้ที่พันขึ้นจากผ้าไหมสีแดงสด มองดูเหมือนลาจอหงวนที่เตรียมไปต้อนรับเจ้าสาวอย่างไรอย่างนั้น
รถใหม่เคลื่อนไปตามทาง สีแดงที่ห้อยอยู่เป็นสัญลักษณ์แห่งความมงคล
ซ่งอิงไม่สนใจสายตาผู้อื่นที่มองดูอย่างแปลกประหลาด ขึ้นไปนั่งลงบนรถลาตัวนั้น แส้เส้นเล็กสะบัดเบาๆ ลาตัวน้อยก็ทะยานมุ่งหน้าออกไป
นางเพิ่งเคลื่อนออกไปไม่ทันไร ก็มีคนเช่าม้าไล่ตามมาติดๆ จากด้านหลัง
ขโมยกระจอกสองคน นึกเจ็บใจเช่นกัน
ลาตัวนั้นวิ่งไวไปหน่อย มองดูเกือบเทียบกับม้าได้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาไม่เช่าม้าขี่ เกรงว่าคงได้เพียงมองเหยื่ออันโอชะวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตา
คิดไม่ถึงว่าอยากจะปล้นแม่นางสักคนยังต้องเช่าม้าก่อนด้วย!
ม้าน่ะ! วันหนึ่งต้องจ่ายเงินไม่น้อยเลยนะ!
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าแม่นางผู้นี้ใช้จ่ายเงินเกือบๆ สามสิบตำลึงเงินภายในวันเดียว พวกเขาก็ไม่ยอมทุ่มทุนใหญ่โตเพียงนี้ได้จริงๆ!
หัวขโมยไร้ฝีมือทั้งสองคนขี่ม้าตัวเดียวกันไล่ตามอย่างยากลำบาก
อยู่ในตัวเมืองแห่งนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ที่ว่าการอำเภอมีกำหนดระดับความเร็ว นอกจากรถม้าของตระกูลขุนนาง ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นตระกูลพ่อค้าผู้ร่ำรวย ก็ควบรถม้า รถลาเร็วเกินไปในตัวเมืองไม่ได้ ดังนั้นตอนแรกเริ่ม ระดับความเร็วของซ่งอิงจึงยังยั้งไว้สักหน่อย
แต่หลังออกจากตัวเมืองไปแล้ว แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ขุนนางก็ไม่สนใจแล้ว ซ่งอิงสะบัดแส้เส้นเล็ก ส่งเสียง ‘ย่ะ’ ดังอยู่ในอากาศ
“ต้าไป๋วิ่งเร็วหน่อย ฮะเก๋ากุ้งกับซาลาเปาที่ซื้อมาจะเอาไว้นานไม่ได้” ซ่งอิงไม่ลืมพูดกับต้าไป๋สักหน่อย
นี่ก็คือความเคยชินของนางเช่นกัน
ใครใช้ให้ในครอบครัวนางมีเพียงโสมตนเดียวล่ะ? ดังนั้นด้วยจิตใต้สำนึก บางครั้งก็จะพูดคุยเหลวไหลกับไก่ เป็ด ลา รวมไปถึงดอกไม้ ต้นไม้ที่งดงามในบ้าน ไม่ว่าพวกมันจะฟังเข้าใจหรือก็ตาม
ตอนที่ 170 เป็นของหายากที่พอจะเอาไว้เก็งกำไรได้
ถึงอย่างไรตั้งแต่ตนรู้ว่าบนโลกนี้มีภูตผีปีศาจ ซ่งอิงก็ไม่อาจปฏิบัติต่อสัตว์และพืชทั้งหมดทั้งมวลอย่างไม่นึกคิดใดๆ ได้อีกเช่นกัน
พืชธรรมดาทั่วไปก็ไม่เท่าไหร่ ภูตโสมบอกไว้แล้วเช่นกันว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ง่ายที่จะบ่มเพาะสติปัญญาอันฉลาดเฉียบแหลมขึ้นมาได้ ดังนั้นซ่งอิงก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก แต่สัตว์จะแตกต่างออกไป
ในบ้านมีไก่และเป็ดจำนวนมาก หากนางจำเป็นต้องเชือดไก่เอามากิน ก็คงจะเลือกหนึ่งตัวนั้นที่มองดูแล้วไม่ฉลาดเอาเสียเลยจริงๆ อย่างต้าหวงนั่น ค่อนข้างมีลักษณะไก่ที่พิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ นางไม่มีทางเอาใส่ปากเด็ดขาด
เกิดว่าเป็นตัวหนึ่งที่กลายเป็นภูตขึ้นมาได้…กินเข้าไปในท้อง แล้วมันกลายร่างเป็นตัวใหม่ขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า
แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ซ่งอิงก็รู้สึกชวนสะอิดสะเอียนอยู่ดี
ครั้นซ่งอิงเอ่ยพูดดังกล่าว ต้าไป๋ก็เหมือนฟังเข้าใจอย่างไรอย่างนั้น ใต้เท้าเกิดสายลม พุ่งทะยานออกไปจนฝุ่นควันตลบในในทีทันใด
“…” หัวขโมยกระจอกทั้งสองคนที่ตามหลังถูกสลัดทิ้งห่าง
“นั่นเป็นลาจริงหรือ ลาตัวนี้ไฉนจึงวิ่งเร็วขนาดนี้!?” หัวขโมยกระจอกอ้าปากค้างจนคางแทบหลุด “เอาอย่างไรดี ยังจะไล่ตามต่อไหม”
“ตามสิวะ! หากไม่ตามม้าตัวนี้ไม่เท่ากับเช่ามาสูญเปล่าแล้วหรือ!” อีกคนหนึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นางพูดกับผู้ดูแลร้านเครื่องลายครามผู้นั้นเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า ให้ส่งไปยังหมู่บ้านซิ่งฮวาบ้านฮั่ว! เราไปตามหากันเองก็ย่อมได้! วันหนึ่งใช้จ่ายเงินมากมายขนาดนี้ ไม่แน่ว่าในบ้านยังมีเงินอีกมากโข!”
“แต่ว่า…ในบ้านจะต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยเป็นแน่น่ะสิ พวกเราจะรับมือไหวหรือ” หัวขโมยผู้เป็นน้องชายรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย
คนที่มีเงินขนาดนี้ โดยทั่วไปก็มีคนงานมากด้วยเช่นกัน ในเมื่อไม่มีคนงานแล้วจะหาเงินได้อย่างไรล่ะ?
“เจ้าโง่หรือ? เจ้ามองดูลาตัวนั้นสิ เจ้าเคยเห็นลักษณะเช่นนี้หรือไม่ สีขนดูดีกว่าม้าเราเสียอีก นอกจากตัวเตี้ยไปหน่อยก็แทบจะเทียบเท่าม้าพันลี้แล้วก็ว่าได้ ลาขาวตัวนี้ราคาแพงมากแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องสิบกว่าตำลึงเงิน แล้วนี่วิ่งได้รวดเร็วขนาดนั้น พวกเราขโมยมา พอเปลี่ยนมือก็จะขายได้ถึงยี่สิบตำลึงเงินเชียวนะ?”
ต่อให้ขโมยเงินมาไม่ได้ ขอเพียงได้ลาตัวนี้ก็ยังดีนี่!?
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา หัวขโมยกระจอกอีกคนตาลุกวาวทันที
นั่นสินะ ลาที่ดีงามขนาดนี้ จัดเป็นของหายากที่พอจะเอาไว้เก็งกำไรได้
สองคนกับม้าหนึ่งตัวมุ่งหน้าตามทางต่อไป
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว พวกเขาก็ถูกสลัดทิ้งท้ายอย่างราบคาบ มองไม่เห็นแม้แต่เงาร่องรอยของแม่นางผู้นั้นแล้ว ทันใดนั้นก็อดปวดใจไม่ได้
ที่พวกเขาเช่าเอามาเป็นม้าเชียวนะ คิดไม่ถึงว่าจะสู้ลาตัวหนึ่งไม่ได้!
หากไม่ใช่เพราะม้าเหล่านี้ควบคุมโดยสถานที่ทำการขุนนาง แต่ละตัวล้วนมีหมายเลขกำกับอยู่ ก็อยากจะเอาไอ้สัตว์เดียรัจฉานตัวนี้ไปย่างให้รู้แล้วรู้รอด!
รถลาธรรมดาๆ จากตัวอำเภอมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านซิ่งฮวา อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แต่ลาตัวนี้ของซ่งอิงกลับประหยัดเวลาไปเกือบครึ่งหนึ่ง ของกินเหล่านั้นถูกถือเอาไว้อย่างระมัดระวัง ครั้นถึงหมู่บ้าน ก็ยังหลงเหลือความอุ่นร้อนอยู่บ้าง
“ลำบากเจ้าแล้วต้าไป๋ ไว้เดี๋ยวจะเอาหัวไชเท้าโตๆ ให้เจ้าสักสามสี่หัวแล้วกัน” ซ่งอิงลูบหูยาวๆ ของลาต้าไป๋ แสดงถึงความพึงพอใจอย่างยิ่ง
ลาที่นางถูกใจ สมกับราคาที่สูงมากถึงสิบเจ็ดตำลึงเงินจริงๆ!
“โออะ ฮ่าๆๆ…” ต้าไป๋ชันคอยืดขึ้นแล้วส่งเสียง
ซ่งอิงตกใจจนกระโดดถอยหลัง
“ฮ่าๆๆ?” ซ่งอิงกระตุกมุมปาก “เจ้ามีความสามารถก็ส่งเสียงอีกสิ?”
“โออะ โออะ…” ลาต้าไป๋คล้ายว่าไม่เข้าใจ ทำเพียงเตะเกือกเท้าอยู่ตรงนั้น
ซ่งอิงโล่งอก เมื่อครู่นางต้องหูฟาดไปแล้วแน่ๆ แม้ว่า…ภพชาติก่อนก็เคยเห็นลาที่ยิ้มได้ทางอินเตอร์เน็ตมาก่อน แต่…ไม่ใช่ลาทุกตัวจะพิลึกพิลั่นเช่นนั้นกระมัง?
ต้าไป๋ของนางรูปลักษณ์องอาจสง่าผ่าเผยขนาดนี้ ขนขาวๆ นี้ก็ถูกนางเลี้ยงดูจนลื่นเงาวาว มองดูถือว่าเป็นราชันย์ลาขาวตัวหนึ่งก็ว่าได้ หากเปิดปากหัวเราะลั่น นั่นคงเป็นภาพที่น่าสะเทือนขวัญจริงๆ!
หลังนำลาปล่อยไว้ในคอกสัตว์ ซ่งอิงถึงได้พุ่งตรงไปยังห้องโถงกลางทางด้านนั้นแล้วกล่าว “เด็กๆ ข้ากลับมาแล้ว!”
ไม่มีเสียงขานรับ
ซ่งอิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า
มองดูตะวัน ก็ได้เวลาพอประมาณแล้วนี่ ยามนี้น่าจะเรียนหนังสือเขียนอักษรกันอยู่ในบ้านนางจึงจะถูก หรือว่ายากเกินจะเยียวยา หนีออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้ว?