ตอนที่ 239 สั่งสอนหลานไปในทางที่ผิด
ซ่งอิงเผยทัศนคติเช่นนี้ แขกเหรื่อคนอื่นๆ ล้วนคิดว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ของสิ่งนี้บางทีอาจต้องกัดฟันกลั้นใจจึงยอมสละให้ได้ นั่นไม่ใช่ของห้าตำลึงเงินหรือสิบตำลึงเงิน หากขายออกไปจะทำเงินได้หลายสิบตำลึงเงินเลยนี่?
ช่างกตัญญูรู้คุณยิ่งนัก!
“ความโชคดีของท่านยังคอยอยู่หลังจากนี้ต่างหากล่ะ! ดูบุตรชาย หลานชาย และหลานสาวที่กตัญญูเพียงนี้สิ! แม้แต่เหลนก็รู้ความเช่นนี้ด้วย จะเห็นได้ว่าท่านสั่งสอนแต่ละครอบครัวได้ดียิ่งนัก!”
“นั่นสิ สิ่งของล้ำค่าไม่ล้ำค่าไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความจริงใจ! ครอบครัวท่านเลี้ยงดูเด็กสาวผู้นี้ได้ดีจริงๆ!”
“ดูอย่างหลานหลินคนนี้สิ รูปลักษณ์นั่นราวกับเด็กที่อยู่ข้างกายพระโพธิสัตว์ หน้าตางดงามผุดผ่อง! ภายภาคหน้าจะต้องโดดเด่นมีหน้ามีตาเป็นแน่!”
“…”
ผู้คนพากันพูดจาประจบสอพลอกันจนชายชราตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
เขา…ไม่ได้สั่งสอนหลานๆ จนไปในทางที่ผิดแล้วหรอกหรือ…
ไฉนยามนี้จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้วล่ะ…
“เหล่าโซ่วซิง[1] ท่านเลิกคิดในแง่แย่ๆ ได้แล้ว หลานเสี่ยนตระกูลท่านไม่เอาไหน แต่ยังมีลูกหลานคนอื่นอยู่นี่? ดูอย่างหลานสวินแล้วยังมีคนอื่นๆ อีกหลายคน เลือกคนใดคนหนึ่งออกมาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มดีๆ ที่ไม่มีใครทัดเทียมได้อยู่ดี! ขนาดสุนัขขาวหนึ่งคอกยังให้กำเนิดลูกหลากสีสันเลย เรื่องของท่านก็ไม่ถือเป็นปัญหาอะไรเลยนี่?”
“…” ชายชรายังคงค่อนข้างตะลึงงัน ทั้งยังรู้สึกร้อนผ่าวที่ดวงตาเล็กน้อย
หลังหลานชายถูกส่งไปหยาเหมิน ในใจเขาทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอด
คิดว่าตัวเองทำให้บรรพบุรุษอับอาย สั่งสอนบุตรคนโตและหลานคนโตได้ไม่ดี ไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คน
ทว่าตอนนี้…
“ก็ได้ ก็ได้…” พ่อเฒ่าซ่งนำสิ่งของห่อเอาไว้อย่างดี “เจ้าสั่งสอนลูกได้ดี! ของสิ่งนี้…ข้าจะเก็บเอาไว้ให้เจ้า รอภายภาคหน้าตอนที่เหลนหลินเติบใหญ่ต้องการแต่งภรรยาค่อยเอาไปใช้!”
ตระกูลเผยได้ยินดังนั้นก็เดือดดาลจนแทบกระอักเลือด
นั่นเป็นเหลน! แซ่ฮั่ว! เป็นคนนอก!
ไม่คำนึงถึงบุตรคนโตและหลานชายคนโต หากแต่คำนึงถึงคนนอก ผู้เฒ่าคนนี้เกรงว่าจะสมองมีปัญหาแล้วกระมัง!
แม่ลูกตระกูลเผยทั้งสองคนไม่อยากอยู่อีกแล้ว เกรงกลัวว่าจะโกรธเกรี้ยวจนขาดใจตาย ณ ตรงนั้น ถึงขั้นไม่อยากแม้แต่จะร่วมรับประทานอาหารในงานเลี้ยงแล้วด้วย
ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจัง
ของที่ให้พ่อเฒ่าไปแล้ว เขาจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
อีกทั้งเกรงว่าบุตรชายจะหาภรรยาไม่ได้ด้วยเช่นกัน
แต่ละฝ่ายมอบของขวัญเป็นที่เรียบร้อย งานเลี้ยงจึงเริ่มขึ้น ตอนกินเลี้ยงบรรดาชาวบ้านล้วนพูดคุยกันอย่างสนุกปากเพราะเรื่องของเห็ดหลินจือ ชายชรายังคงมึนงงตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดอยู่ตลอดว่าไม่ใช่ความจริง กระทั่งงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดอายุครบหกสิบปีสิ้นสุดลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป บรรดาลูกสะใภ้จัดการเก็บกวาดลานบ้าน บรรดาบุตรชายดื่มกันจนมึนเมา เขาจึงได้กลับเข้าไปในห้อง
จ้องมองของห่อนั้นอย่างเหม่อลอย
ชั่วชีวิตของเขาเคยเก็บหอมรอมริบได้เงินมาจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นราคาของเห็ดหลินจือนี้ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาตื่นเต้น ที่ทำให้เขาสะดุดใจจริงๆ คือการปฏิบัติของเอ้อร์ยาและเหลนหลิน
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าหลานชายคนโตของเขาก็คือผู้ที่จะเคารพและกตัญญูต่อเขาเช่นนี้…
แต่ว่ากันตามจริง หากเขานำของขวัญชั้นเยี่ยมที่ได้รับจากเด็กน้อยไปมอบต่อให้บุตรชายหรือหลานชายคนโต เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ใช่อย่างตอนนี้
บรรดาลูกสะใภ้ย่อมต้องพากันชักสีหน้าหมายนำสิ่งของกลับไปอย่างแน่แท้ และบรรดาบุตรชายก็คงเสียดายอย่างยิ่งเป็นแน่
หากไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งรับเห็ดหลินจือก็รีบพูดว่าจะเอาของสิ่งนี้ไว้ให้ฮั่วหลินใช้สู่ขอภรรยา เกรงว่าตอนนี้บรรดาลูกสะใภ้ต่างก็คงไม่มีกะจิตกะใจเก็บข้าวของ แต่จะรีบมาทวงถามว่าเห็ดหลินจือนี้จะแบ่งกันอย่างไร…
บุตรชายกตัญญูหรือไม่?
ว่ากันตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นกระมัง เคารพระบบระเบียบไม่ได้กระทำผิดอะไร แต่พวกเขาล้วนเป็นบุตรของตนทั้งนั้น ตราบใดที่มีเสี้ยวหนึ่งกตัญญูกตเวที เขาก็รู้สึกเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงแล้ว
แต่เอ้อร์ยา…
ตราชั่งในใจชายชราเกิดความเอนเอียงไม่น้อย
บัดนี้ซ่งอิงไม่รู้เลยว่าเห็ดหลินจือที่ฮั่วหลินมอบให้ ตลอดจนทัศนคติของตัวนาง ทำให้ซ่งเหล่าเกินยากที่จะข่มตาหลับได้
ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลใจยิ่งกว่าเรื่องกิจการค้าขายก็คือปัญหาของเด็กๆ
ยังต้องสร้างความรู้ทั่วไปให้ฮั่วหลินต่อไป
แล้วก็ซ่งต๋า…
เจ้าเด็กคนนี้หลายวันมานี้เริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“พี่รอง พรุ่งนี้ข้าไม่มาแล้วนะ…” ตอนกินมื้อเย็น ซ่งต๋าจับชามข้าวพลางกล่าวเสียงบางเบา
ตอนที่ 240 คิดถึงแม่แล้ว
ซ่งต๋าพูดจบก็ก้มหน้าคอตกอย่างละอายใจ
ซ่งอิงมองเขาแวบหนึ่ง “ได้สิ”
ซ่งต๋าชะงักงัน เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึงปนประหลาดใจ “พี่รอง ท่านไม่ถามสาเหตุจากข้าเลยหรือ”
เขาคิดว่าวันนี้หลังเอ่ยปาก พี่สาวคนรองจะเกรี้ยวกราดหยิบไม้บรรทัดออกมาแล้วตีเขาอย่างดุดันเสียอีก อย่างไรเสียปกติแล้วตอนที่พี่รองตีเขาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยลังเลใจใดๆ ทั้งสิ้น
ซ่งอิงรู้สึกขบขัน
“ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้พูดไว้ชัดเจนแล้วเสียอีก เจ้าอยู่ทำการบ้านกับข้าที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อตัวข้า หากเจ้าไม่อยากอยู่ ข้าก็ไม่อาจถือมีดบีบบังคับเจ้าได้ อีกทั้งเจ้าอายุสิบปีแล้ว กว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในหมู่บ้านก็อายุเท่านี้ ทั้งยังมีเด็กสองสามคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าแต่กลับไร้พ่อไร้แม่ คนเขาก็สามารถทำไร่ไถนาและขึ้นเขาตัดฟืนได้ แล้วอย่างเจ้ายังต้องให้ข้าสอนอีกหรือ ต่อให้เจ้าเข้าใจเหตุและผล แต่หากไม่เก็บเอาไปใส่ใจ ข้าจะทำอย่างไรได้”
“อีกอย่าง การเล่าเรียนหนังสือฝึกหัดตัวอักษรก็ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับข้าที่นี่เท่านั้นจึงจะทำได้ จะว่าไปแม้เจ้าเป็นน้องชายข้า แต่ก็ไม่ได้ออกมาจากท้องเดียวกัน ข้าจะบังคับเจ้าไปทำไมกัน” ซ่งอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ซ่งต๋าเด็กคนนี้ เขาค่อนข้างทำอะไรไม่ค่อยคิดและค่อนข้างดื้อรั้น
ว่ากันตามตรงเขาเป็นเด็กดื้อคนหนึ่งที่สมกับวัย ไม่ได้รู้ความมากมาย ถูกครอบครัวบุตรคนโตเลี้ยงดูอย่างค่อนข้างเห็นแก่ตัว เมื่อก่อนกระโดดน้ำจับปลาปีนต้นไม้จับนก อยู่ไม่นิ่ง
หลายวันมานี้ กลายเป็นว่าแสดงออกได้ไม่เลวทีเดียว
แต่นิสัยความเคยชินของเขาก็ยังคงแก้ไขไม่ได้โดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนที่จะลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนแล้วเท่านั้น ให้ทำการบ้านก็จำเป็นต้องหยิบยกผลประโยชน์ออกมาเสนอ เขาจึงจะเชื่อฟัง
จริงอยู่ที่ซ่งต๋าชาญฉลาด แต่ความฉลาดนั้นไม่ค่อยถูกใช้ในทางที่ถูกที่ควร
นางก็ถือว่าพยายามสุดความสามารถแล้วเช่นกัน หากซ่งต๋ายังไม่ตั้งใจแน่วแน่ในการเรียน นางจะทำอะไรได้ หรือว่าต้องให้ทำเหมือนเหล่าหม่าจื่อ[2]ที่คอยจับตาดูเขา?
เรื่องอะไรล่ะ?
ซ่งต๋าแววตาหมองหม่นลง
ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว ไม่หือไม่อือ
“อาหก พวกเราตกลงกันไว้แล้วมิใช่หรือว่าจะพยายามไปด้วยกัน ภายภาคหน้าจะได้เล่นงานหนิวซานซานให้หมอบมิใช่หรือ ไฉนท่านจึงล้มเลิกความคิดแล้วล่ะ” ฮั่วหลินไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
“ข้ากลับไปเรียนที่บ้านก็เหมือนๆ กัน…” ซ่งต๋าพูดเสียงแผ่วเบา
ฮั่วหลินขมวดคิ้ว มือน้อยๆ นั่นเอื้อมออกไปวางบนหน้าผากซ่งต๋า “ท่านดูแปลกไปนะ ปกติไม่ใช่เช่นนี้นี่…”
อาห้าและอาหกสองคนนี้ ตามจริงเขาชอบอาหกมากกว่า เพราะซ่งต๋านิสัยร่าเริง รอบตัวเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา พูดจาเสียงดังฟังชัด ทำเรื่องราวอะไรก็กระฉับกระเฉงมาก ถึงขั้นว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อถูกรังแกก็กล้าที่จะแหกปากลั่นร้องหาพ่อหาแม่
อาห้าต่างออกไป เขาเป็นคนสุขุม แม้ว่าเป็นเรื่องดีแต่ขาดความน่าสนใจไปหน่อย
“ปกติข้าก็เป็นแบบนี้!” ซ่งต๋าปัดมือฮั่วหลินร่วงไปด้านข้าง “เจ้าอย่าสนใจข้าเลย ข้าบอกว่าไม่มาก็ไม่มา เจ้ามีแม่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนตลอดทั้งวัน แล้วข้าจะกลับบ้านไปหาแม่ข้าบ้างมิได้หรือ”
“…” ฮั่วหลินสะเทือนใจ พลันรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เหมือนมีคนกระตุกรากฝอยของเขาและต้องการหั่นเขาเป็นแว่นๆ อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกเช่นนี้นี่?
“หากน้องหกอยากกลับบ้าน ก็กลับไปพักผ่อนสักสามสี่วันก่อนได้…ไว้สองสามวันหลังจากนี้ค่อยคิดดูอีกที” ซ่งอู่กล่าวเสียงเบา
ซ่งอิงไม่เอ่ยคำใด
นางเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งจะเจ้ากี้เจ้าการเด็กๆ ก็ไม่ดีนัก เดิมทีเด็กๆ ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนใจง่าย วันนี้มีปากมีเสียงกัน พรุ่งนี้ขัดแย้งกัน นั่นก็เป็นเรื่องปกติ
“น้องอู่พูดถูก เจ้ากลับไปครุ่นคิดดูที่บ้านด้วยตัวเองแล้วกัน ทว่ากลับบ้านไปกี่วันก็ต้องหักดอกไม้แดงเท่าจำนวนวัน หลังหักหมดแล้ว เจ้าคิดจะกลับมาอีกก็ไม่ได้แล้ว น้องอู่ก็เช่นเดียวกัน” ซ่งอิงกล่าว
ซ่งต๋าอัดอั้นตันใจจนหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าเขาไม่มาจริงๆ อย่างที่คาดการณ์ไว้
ซ่งอิงไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก อย่างไรเสียในแต่ละวัน เด็กทั้งสามคนนี้แม้แต่ตอนที่เขียนอักษรอยู่ก็จะส่งเสียงโหวกเหวก ส่งผลให้บรรยากาศในบ้านครึกครื้นไม่น้อย ทว่ายามนี้ฮั่วหลินกลับมีสีหน้าหม่นหมอง ซ่งอู่ก็ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
——————————
[1] เหล่าโซ่วซิง (老寿星) คือเทพเจ้าในตำนานแห่งความโชคดี เป็นสัญลักษณ์ของความอายุยืน ภายหลังต่อมาใช้เป็นคำเรียกอย่างให้เกียรติแด่ผู้เฒ่าผู้มีอายุยืนยาว
[2] เหล่าหม่าจื่อ (老妈子) หมายถึงแม่บ้าน หรือคำเรียกขานภรรยาของครอบครัวที่ค่อนข้างมีอายุแล้ว