ตอนที่ 259 แจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางเถอะ
ซ่งอิงมองไปอย่างตกตะลึง “ท่านแม่…ท่านบอกว่าพ่อแม่แท้ๆ ของลูกชายข้ามาเช่นนั้นหรือ”
โสมแก่หรือ?
ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
“ก็ใช่น่ะสิ คนผู้นั้นมาแล้วพร่ำพูดว่าเจ้าขโมยเด็กไป ข้าย่อมปฏิเสธแทนเจ้าไปอยู่แล้ว แต่เขาก็พูดว่าหากพวกเราไม่มอบตัวเด็กให้ ก็จะไปแจ้งทางการขุนนาง กล่าวว่าเจ้าเป็นหัวขโมยลักพาตัวเด็ก! พ่อเจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าทำได้เพียงไปหาท่านปู่กับป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าให้ช่วยเหลือ แต่พวกเราก็ห้ามไว้ไม่ได้…” หร่วนซื่อร้องห่มร้องไห้กล่าว
สามีภรรยาคู่นั้นมุ่งไปที่โรงเรียน อาจารย์ที่โรงเรียนไม่กล้าปล่อยตัวเด็กไป คนเหล่านั้นก็ต้องการแย่งชิง แต่ดีที่ทางโรงเรียนมีคนคอยเฝ้าดูอยู่ และด้วยความที่เกรงกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำให้เด็กบาดเจ็บจึงเจรจากับอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง
ซ่งต๋าอาศัยจังหวะนี้วิ่งมาบ้านซ่งและนำเรื่องราวมาบอกกับนาง
นางจึงเชิญพ่อเฒ่ารวมไปถึงเหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ ทั้งสามสี่คนรีบพากันมุ่งหน้าไป อีกด้านหนึ่งก็ให้คนไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาด้วย
แต่วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านไม่อยู่ เขาไม่ได้เป็นหัวหน้าของหมู่บ้านนี้เพียงแห่งเดียว ปกติตอนกลางวันต้องไปตรวจดูตามหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย ครอบครัวซ่งจึงทำได้เพียงจัดการกันเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้ชายตระกูลซ่งมีเพียงพ่อเฒ่าเท่านั้นที่อยู่บ้าน
ซ่งฝูซานอยู่โรงย้อมสีในตัวอำเภอ ซ่งจินซานตอนนี้รับเหมางานอยู่ด้านนอก ซ่งอิ๋นซานไปหมู่บ้านข้างๆ ทำเครื่องเรือนอย่างโต๊ะเครื่องแป้งให้คนอื่นเขา ซ่งหม่านซานยิ่งไม่ต้องพูดถึง…
หร่วนซื่อหน้าตาเศร้าโศก หยาดน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย
“อาอิง จากนี้เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ…”
เมื่อก่อนมีหลานชายคนหนึ่ง ภายภาคหน้าก็ยังมีคนคอยเลี้ยงดูบุตรสาวยามแก่เฒ่าได้ แต่บัดนี้ ไม่เหลืออะไรแล้ว!
ซ่งอิงกลับรู้สึกไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด
ลูกชายนางไม่มีพ่อแม่ มีหรือนางจะไม่รู้!
ซ่งอิงลงมาจากหลังลาตัวน้อยแล้วกล่าว “ท่านแม่ ท่านหยุดร้องไห้ก่อนแล้วเล่าสถานการณ์หลักๆ ให้ข้าฟังหน่อย คนที่มาลักษณะเป็นเช่นไร แล้วพูดไว้ว่าอย่างไรบ้าง ถึงอย่างไรก็คงไม่อาจเชื่อได้เพียงเพราะพูดว่าเป็นพ่อแม่แท้ๆ ของลูกข้ากระมัง”
การจะเอาตัวเด็กไปจากหมู่บ้านได้ค่อนข้างลำบากไม่น้อย
หร่วนซื่อปาดน้ำตา “เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ผู้ชาย…ผู้ชายรูปร่างอ้วนกลมมาก ดูลักษณะมีเงินไม่น้อย ส่วนผู้หญิงกลับผอมแห้งผิวเหลืองซีด มองดูน่าเวทน่าเล็กน้อย เอ่ยว่าหลังลูกชายหายไปก็ร่างกายไม่แข็งแรง…พวกเขาพาผู้คุ้มกันประจำเรือนมาด้วยอีกหกคน”
“ชายผู้นั้นกล่าวว่าตนเองเป็นคนเมืองยง บอกว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรชายคนโตของคู่ครองเดิมในครอบครัว และเอ่ยว่าผู้ทำนายดวงชะตากล่าวว่าจะมีเคราะห์ครั้งใหญ่ก็เลยให้มาเลี้ยงดูในหมู่บ้านตามชนบท ไม่กล้าแม้แต่จะเอาขึ้นสู่ลำดับวงศ์ตระกูล ตอนนี้มั่นคงแล้ว กำลังเตรียมพาเข้าสู่วงศ์ตระกูล ใครจะรู้ว่าออกจากบ้านคราเดียวก็ถูกลักพาตัวไปเสียแล้ว!” หร่วนซื่อปาดน้ำตากล่าว
“เหอะ” ซ่งอิงแสยะยิ้ม “ท่านแม่หยุดร้องได้แล้ว ไปแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางก่อนเถอะ!”
นางคิดว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้มองตัวตนที่แท้จริงของภูตโสมออก เช่นนั้นก็เป็นความจงใจลักพาตัวเด็กไปขาย
แม้ว่าภูตโสมจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้โจมตี แต่ทักษะการวิ่งหนีเป็นเลิศ ขอเพียงให้เขาได้แตะดิน ตอนที่ปลอดคนก็จะหนีกลับมาได้เป็นแน่
แต่การหนีกลับมาไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ก็จะจบ จำเป็นต้องจับตัวคนเหล่านั้นให้ได้ด้วยจึงจะใช้ได้
“แจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนาง? แต่…นั่นเป็นเด็กที่พวกเราเก็บมา…” หร่วนซื่อลังเลใจ
เพราะเก็บกลับมา ดังนั้นนางจึงไม่เคลือบแคลงในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“ท่านแม่ ข้าอยู่กับลูกหลินมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว เขามีพ่อแม่หรือไม่เหตุใดจะไม่บอกกล่าวข้าเล่า ข้าเคยถามเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เขาบอกกับข้าไว้ตั้งนานแล้วว่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว อีกอย่างตอนนี้เขาเป็นเด็กที่อยู่ในทะเบียนบ้านข้า ไม่ว่าใครหน้าไหน ไม่บอกกล่าวข้าสักคำก็พาตัวเด็กไปเสียดื้อๆ นั่นคือการลักพาตัว สมควรแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนางสิ!” ซ่งอิงกล่าว
หร่วนซื่อสติเตลิดเปิดเปิงหมดแล้ว ครั้นซ่งอิงพูดอะไรนางย่อมคิดเช่นนั้นไปด้วยเป็นธรรมดา
“ตกลง เช่นนั้น เช่นนั้นข้าไปขอให้คนในหมู่บ้านช่วยไปแจ้งความแล้วกัน…” หร่วนซื่อพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ท่านปู่เจ้า…เมื่อครู่เขารั้งตัวเด็กไว้เลยถูกผลักล้ม”
ตอนที่ 260 ไม่ได้โกหกท่าน
ซ่งอิงได้ยินดังกล่าวก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย “ท่านปู่เป็นอะไรหรือไม่”
“ก็โกรธอยู่ เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นในบ้านมีแต่ผู้หญิง ท่านปู่เจ้าแม้อายุมากแล้ว แต่ก็ไม่อาจมองดูพวกเราบรรดาลูกสะใภ้สามสี่คนไปต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ ทำได้เพียงทำใจกล้าไปเผชิญหน้า ใครจะรู้ว่ากลับถูกพวกเขาผลักเต็มแรง ตอนหงายหลังลงไปบนพื้น คนพวกนั้นจึงฉวยโอกาสพาตัวหลานหลินไปทันที ล้มไม่แรงมากนัก แต่เดือดดาลไม่เบา” หร่วนซื่อกล่าว
ซ่งอิงกลับบ้านซ่งไปดูอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ชายชรานั่งยองอยู่หน้าประตูบ้าน สีหน้าโรยแรงเล็กน้อย
ครั้นเห็นนางมาเยือนก็รีบลุกขึ้น เพียงแต่สองขาสั่นเทาชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าเหน็บชากินเสียแล้ว
“เอ้อร์ยาโถว เจ้ารู้เรื่องหมดแล้วใช่หรือไม่” ชายชราเอ่ยปากถาม
ซ่งอิงมองดู ยามนี้ตามเนื้อตัวชายชรายังคงมีฝุ่นติดประปราย สองมือเปรอะเปื้อน สันหลังโค้งงอเล็กน้อย
ซ่งอิงเข้าใจความคิดของพ่อเฒ่าในยามนี้เช่นกัน
พ่อเฒ่าคงรู้สึกติดค้างนางไม่มากก็น้อย ก่อนหน้านี้นางหาเงินได้ก็รู้จักช่วยเหลือคนในครอบครัวซ่ง ต่อมาตระกูลซ่งกลับมีหัวขโมยอย่างซ่งเสี่ยนขึ้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับชายชราเพิ่งคลี่คลาย เรื่องเห็ดหลินจือนั่นก็ทำให้ชายชราประทับใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่สงบสุขอยู่ได้ไม่กี่วันกลับมาเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นอีก!
เมื่อซ่งอิงไม่อยู่ ตระกูลซ่งถือเป็นที่พึ่งพิงอันยิ่งใหญ่ ในมุมมองของพ่อเฒ่า เขามีหน้าที่ช่วยนางจับตาดูฮั่วหลิน
ซ่งอิงถอนหายใจ
ตอนที่ซ่งเหล่าเกินพูดจาอย่างมีเหตุมีผลนับเป็นผู้อาวุโสที่ดีเยี่ยมคนหนึ่ง ถึงขั้นว่าทั่วทั้งหมู่บ้านหาผู้ชราที่มีจิตใจใสดุจกระจกเช่นเขาได้เพียงไม่กี่คน
“ท่านปู่วางใจได้ ลูกหลินจะต้องไม่เป็นไรแน่” ซ่งอิงรีบก้าวเข้ามาประคอง “เมื่อครู่ได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านหกล้มหรือ เป็นอันใดมากหรือไม่”
ชายชราส่ายหน้าเล็กน้อย ปากพร่ำความทุกข์ระทมไม่ออก “ข้าไม่เป็นไร กระดูกเก่าจะกลัวอะไร แต่…เหลนหลินเด็กขนาดนั้น จะทำอย่างไรดีล่ะ! ข้าดูสองสามีภรรยาคู่นั้นหน้าตาไม่มีส่วนไหนเหมือนกับเหลนหลินเลยสักนิด อีกทั้งก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยบอกว่าเหลนหลินไม่มีพ่อไม่มีแม่ เจ้าก็คงไม่ถึงขั้นโกหกข้าเช่นกัน…”
“ท่านปู่ ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ” ซ่งอิงกล่าว
หากมีบิดามารดาและมีคนคอยกำกับดูแล ชายชราต้องบ้าไปแล้วสถานเดียวจึงจะยินยอมให้นางรับลูกเขามาเลี้ยงดูไว้ได้
“ใช่แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนรู้จักใคร่ครวญ…แต่ผู้เฒ่าคนนี้ไม่เอาไหน ไม่อาจช่วยเหลนหลินเอาไว้ได้ ตอนนั้นตะวันยังไม่ทันตกดิน ในหมู่บ้านก็กำลังขะมักเขม้นกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทุกคนล้วนออกไปทำงานแล้วจึงเรียกคนมาช่วยเหลือไม่ได้เลย…” ชายชราตัวสั่นเทาเล็กน้อย กล่าวขึ้นอีกครั้ง
ต่อให้เรียกมาได้ คนอื่นก็ไม่กล้าช่วยเหลือเช่นกัน
ใครๆ ต่างรู้ว่าฮั่วหลินเป็นเด็กที่ถูกเก็บมา เด็กที่เก็บมาเลี้ยง หากบิดามารดาแท้ๆ มาตามตัวจริงๆ แล้วจะรั้งเอาไว้ได้ที่ไหนกันล่ะ
ดังนั้นทุกคนจึงทำได้เพียงมองดูและกลัวเช่นกันว่าจะเกิดปัญหาขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนั้นดูดุดัน ผู้คุ้มกันประจำเรือนตัวสูงใหญ่น่าเกรงกลัวยิ่งนัก…
“พี่รองจะต้องช่วยหลานหลินกลับมาให้จงได้นะ!” ซ่งต๋าและซ่งอู่ต่างตระหนกลนลาน ดวงตาแดงก่ำ
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ได้ยินเสียงก็พากันเดินออกมา มองแววตาของซ่งอิงด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “เอ้อร์ยา เจ้าก็เผื่อใจเอาไว้หน่อยละ…”
“นี่จำต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ขุนนาง ข้ารอเจ้ากลับมาก็เพื่อเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” ซ่งเหล่าเกินกล่าว
“เมื่อครู่แม่หาคนให้ช่วยนำคำไปบอกกล่าวแล้วเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี” ซ่งเหล่าเกินถอนหายใจโล่งอก “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเพิ่งนั่งลง มองเห็นบัณฑิตหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่ง บัณฑิตผู้นั้นหน้าตาดูจิตใจดีทีเดียว เขาเอ่ยปากถามไถ่ ตอนนั้นข้ายังไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังจึงบอกกล่าวเขาไป บัณฑิตผู้นั้นก็เป็นคนดีเหลือเกิน กล่าวว่าตนวิ่งเร็ว จะไปไล่ตามให้ ข้าคิดว่าต่อให้นำตัวกลับมาไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะรู้ว่าถูกพาไปทิศทางไหน…”