ตอนที่ 295 คนเรามีฐานะยากจน ย่อมใช้ชีวิตไปตามอัตภาพ
ซ่งอิงพ่นลมหายใจ ซ่งอู่อาศัยอยู่บ้านนางมาระยะหนึ่งแล้ว นางไม่เคยซักเสื้อผ้าให้เขาเลย ทุกครั้งเขานำเสื้อผ้าตัวเองส่งกลับบ้านซ่งให้เจียวซื่อซักทั้งหมด หรือไม่ก็ใช้ถุงสัมภาระห่อเอาไว้แล้วฝากนางเอากลับไปยามนางไปบ้านซ่ง
ดังนั้นนางจึงไม่ได้สังเกตจริงๆ ว่าเสื้อผ้าด้านในที่ซ่งอู่สวมใส่มีสภาพเช่นไร
ส่วนเสื้อผ้าชั้นนอก กล่าวได้เพียงว่าค่อนข้างเก่า อย่างไรเสียเจียวซื่อก็รู้จักรักษาหน้าอยู่เช่นกัน หากชายชราเห็นเสื้อผ้าตัวนอกของหลานชายซอมซ่อชวนขายหน้าก็คงเอะอะไม่พอใจเช่นกัน
“อาสี่ พอท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็จำเป็นต้องหาคนงานให้ท่านแม่ข้าใหม่เสียแล้ว” ซ่งอิงถอนหายใจ
“ดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าชักชวนอาสะใภ้สามเจ้าแล้วมาเสียใจภายหลัง” ซ่งหม่านซานกล่าวอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “เอ้อร์ยา หลานอู่ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า เจ้าเองก็คงสงสารเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงได้คิดช่วยให้ชีวิตครอบครัวพี่สามข้าสุขสบายขึ้นมาหน่อย ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า ภายหน้าหากกิจการร้านเราดำเนินไปได้ดีเยี่ยม ให้พี่ชายข้ามาทำงานส่วนการจัดซื้อก็ย่อมได้ เขาเป็นคนซื่อตรง เชื่อถือได้ แต่อาสะใภ้สามน่ะเจ้าอย่าเลย”
ตระหนี่ถี่เหนียวเกิน ใครจะรับไหว
ซ่งอิงไม่มีความรู้สึกที่รังเกียจเสียเหลือเกินต่อเจียวซื่อ
คนเราเมื่อมีฐานะยากจน ย่อมใช้ชีวิตไปตามอัตภาพ
อาสะใภ้สามภูมิหลังก็ไม่ค่อยสุขสบาย เคยชินกับความยากจนมาตั้งแต่เด็ก ความตระหนี่ถี่เหนียวจึงเป็นชีวิตของนางไปแล้ว จะว่านางผิดก็ไม่ได้ อย่างไรเสียหากนางไม่กระดูกขัดมันเข้าไว้ ต่อไปในอนาคตจะยิ่งลำบาก
แน่นอนละว่าซ่งอิงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการใช้ชีวิตเช่นนี้
“ไว้ค่อยว่ากันวันหน้าเถอะเจ้าค่ะ หากมีโอกาส มอบงานที่สร้างรายได้ให้อาสามบ้างก็ย่อมได้ หรือไม่ก็รอเราได้ใช้ชีวิตสุขสบายก่อน แล้วค่อยหยิบยื่นน้ำใจให้คนข้างกายมากๆ หน่อย ถึงเวลาอาสะใภ้สามจะมัวตระหนี่ถี่เหนียวก็คงไม่สะดวกนัก อาสะใภ้สามก็เป็นหญิงคนหนึ่ง ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิงชอบชิงดีชิงเด่นกัน ท่านแม่ข้าหากดูแลตนเองดี เช่นนั้นป้าสะใภ้ใหญ่ต้องไม่ยอมน้อยหน้าแน่ นางต้องปรับปรุงตัวไม่มากก็น้อย” ซ่งอิงครุ่นคิดแล้วกล่าว
ซ่งหม่านซานมองนางแวบหนึ่งอย่างตกตะลึงปนประหลาดใจ
“เจ้าปฏิบัติต่ออาสะใภ้สามอย่างดีทีเดียว” ซ่งหม่านซานเอ่ยความจริง
“ก็แค่เรื่องเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลดีหรือร้ายต่อตัวข้าเองเสียหน่อย มีอะไรดีเยี่ยมหรือ เป็นญาติครอบครัวตัวเองทั้งนั้น หากข้าพูดจาไม่กี่ประโยคแล้วสามารถทำให้น้องชายและน้องเสียนสุขสบายได้ ก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย อาสี่คงไม่ได้คิดว่าข้าใจดีกระมัง นั่นเป็นเพราะท่านลืมนึกถึงซ่งเสี่ยนไปแล้วสินะ” ซ่งอิงส่งเสียงหัวเราะ
อาสะใภ้สามไม่ดี แต่น้องชายทั้งสามและน้องสาวหนึ่งคนจากครอบครัวอาสะใภ้สามล้วนไม่เลวทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้ที่หนิวซานซานพยายามทำร้ายลูกหลิน ซ่งเซิ่ง ซ่งอู่ ซ่งเวย ล้วนแสดงท่าทางกับให้ท้ายลูกตัวเองอย่างไรอย่างนั้น แล้วยังมีซานยาอีกคน อายุแปดขวบแล้วแท้ๆ แต่ดูเหมือนเด็กหกเจ็ดขวบ หน้าตาซีดเซียวผอมแห้งน่าสงสาร
จะพึ่งพานางดูแล? นางจะดูแลได้ไหวหรือ อีกทั้งไม่ใช่ลูกของนางเสียหน่อย จะให้จับจ้องสังเกตอยู่ตลอดคงเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นทำได้เพียงช่วยให้ชีวิตของบ้านสามดีขึ้นหน่อย
แต่นี่ก็อยู่ใต้กรณีที่ว่าบ้านสามไม่สร้างปัญหาให้บิดามารดานาง ดังนั้น…เปลี่ยนคนก่อนจะเปิดร้านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
“ข้ารู้จักหญิงภรรยาคนหนึ่ง เป็นคนที่ค่อนข้างเก่งกาจและซื่อสัตย์ดีทีเดียว เจ้าก็แค่อยากหาใครสักคนมาเป็นผู้ช่วยแม่เจ้าโดยที่จะไม่ถูกคนผู้นั้นรังแกไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่านางใช้ได้เลยละ” ซ่งหม่านซานครุ่นคิด ไม่ทันไรก็นึกสาเหตุที่ซ่งอิงลังเลใจออก
“ใครหรือ” ซ่งอิงเงยหน้ามองเขา
“มารดาของสหายคนสนิทข้า หลังคลอดสหายข้าไม่ถึงสองเดือนสามีก็เสียชีวิตไป นางเลี้ยงดูสหายข้าจนเติบใหญ่ท่ามกลางกลุ่มคนร้ายกาจ ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับคนหรือเรื่องใดล้วนเก่งกาจแน่นอน แต่นางไม่ใช่คนไม่ดี แม้ดูดุแต่ก็ไม่เคยด่าทอผู้คนมาก่อน ยากจนก็ไม่เคยลักเล็กขโมยน้อย มิหนำซ้ำตอนสหายข้าแย่งไข่ไก่มาหนึ่งฟองยังถูกนางตีเกือบขาหัก…”
ได้ยินถึงตรงนี้ซ่งอิงก็คิดว่าคนผู้นี้ยอดเยี่ยมทีเดียว
เลี้ยงลูกเป็น โดยพื้นฐานค่อนข้างมีเหตุมีผล อุปนิสัยใจคอก็ดีไม่น้อย
“ข้าจำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตาก่อน จะตัดสินใจจากสิ่งที่ท่านพูดเลยคงไม่ได้” ซ่งอิงขบคิดแล้วกล่าว
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ในเมื่อข้ากล้าแนะนำนางให้ คนผู้นี้ย่อมไม่มีทางทำให้ข้าเสียหน้าแน่ เจ้าตรวจสอบได้ตามสบาย หากพิจารณาแล้วมีข้อบกพร่องแม้เพียงเล็กน้อย ข้ายอมจมน้ำฉี่ตาย[1]ด้วยตัวเองเลย” ซ่งหม่านซานมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
ตอนที่ 296 ท่านปู่สี่
ซ่งอิงรู้สึกรังเกียจคำพูดของซ่งหม่านซาน แต่ก็ยังเก็บคำพูดของเขามาพิจารณา
“เช่นนั้นท่านว่าเมื่อไหร่ดี ให้นางมาพบข้าสักหน่อย หากเป็นการเชิญคนนอกมาช่วยงานก็ทำได้เพียงจ่ายเงินค่าแรงให้จำนวนหนึ่ง ท่านบอกนางให้เข้าใจด้วยว่า ทำงานให้ท่านแม่ข้า ประการแรกต้องรับประกันว่าจะไม่เอาเปรียบท่านแม่ ประการที่สองก็คือต้องปิดปากให้สนิท จะเอาตำรับอาหารของตระกูลเราไปบอกผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้น และต้องลงนามสัญญา หากปากสว่าง ไม่ว่านางเก่งเพียงใด ข้าก็ไม่เอาไว้ทั้งนั้น” ซ่งอิงกล่าว
“เจ้าวางใจได้” ซ่งหม่านซานมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
สหายของเขานั้นตามจริงนิสัยดีไม่น้อย เพียงแต่กำพร้าบิดาตั้งแต่เด็กจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกผู้อื่นรังแก แต่นานวันเข้าก็เรียนรู้ว่าควรปกป้องตัวเองอย่างไร ในสายตาคนนอกเขาจึงดูค่อนข้างดุดัน แต่มารดาของเขานั้นเป็นหญิงที่หาข้อตำนิติเตียนไม่ได้เลย
ซ่งหม่านซานพูดไปก็นำทางนางไปยังลานหลังร้าน
“ค่าเช่าเรือนหลังนี้ไม่ใช่ถูกๆ เดือนหนึ่งตั้งยี่สิบตำลึงเงิน ข้าต่อรองจนปากเปียกปากแฉะจึงได้จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเพียงสามเดือน ห้องบริเวณลานด้านหลังก็ไม่ได้ใหญ่โต ใครใช้ให้ตอนนี้พวกเราไม่มีเงินกันเล่า แต่ทำกิจการนี้ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่มากมายเช่นกัน เพียงแต่ห้องพักด้านหลังนี่พักอาศัยได้แค่สองห้องเท่านั้น เดี๋ยวเจ้าต้องไปหาโรงเตี๊ยมเองแล้วละ” ซ่งหม่านซานกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ยังต้องให้ท่านบอกที่ไหนเล่า เงินที่ให้ท่านน้อยนิดแค่นั้น ข้ารู้อยู่แล้วว่าเช่าร้านได้ไม่ใหญ่หรอก” ซ่งอิงสบถฮึ
สองร้อยตำลึงเงินไม่เพียงแค่ใช้จ่ายค่าเช่าร้าน แต่ยังต้องจ้างคนงานและซื้อหาวัตถุดิบ “อีกเดี๋ยวท่านอย่าลืมเอาบัญชีให้ข้าดูหน่อย”
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นเจ้าของร้านนี่ ระเบียบปฏิบัติพวกนี้ข้าเข้าใจดี” ซ่งหม่านซานไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
ปรายตามองต้าไป๋ พลันเกิดความสนอกสนใจขึ้นมา จึงกล่าว “เจ้าบอกว่ามันหัวเราะได้ไม่ใช่หรือ หัวเราะให้ข้าฟังสักหน่อยสิ?”
ซ่งอิงกลอกตาใส่เขา
นางก้าวเดินอย่างมั่นใจมาหยุดตรงหน้าต้าไป๋ ลูบขนบนหัวมัน จากนั้นหยิบหัวไชเท้าออกมาหนึ่งหัว “ต้าไป๋ แสดงให้ท่านปู่สี่เห็นสักหน่อยสิ”
“ท่านปู่สี่!?” ซ่งหม่านซานเกือบกระโดดโหยงขึ้น
เด็กสาวคนนี้ช่างเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว นั่นก็แค่ลาตัวหนึ่ง!
ความจริงแล้วซ่งอิงไม่ค่อยมั่นใจเช่นกันว่าต้าไป๋จะไม่ทำให้ขายหน้า นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “อาสี่ ท่านส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ ก่อน สอนมันหน่อย”
ก่อนหน้านี้ต้าไป๋เคยหัวเราะ แต่เกิดว่าเป็นความบังเอิญเล่า
ซ่งหม่านซานโกรธจนอยากจะตีลังกาสักตลบ
“โชคดีที่คนที่เจ้าพูดด้วยเป็นข้า หากเป็นลุงใหญ่เจ้าละก็ ได้ทุบเจ้าตายแน่” ซ่งหม่านซานกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญ
พี่ใหญ่เขารักในศักดิ์ศรีเป็นที่สุดเวลาอยู่ต่อหน้าเด็กๆ ทั้งนี้เป็นเพราะถูกบิดาสั่งสอนจนติดเป็นนิสัย
“หากเป็นลุงใหญ่ ข้าไม่ให้ต้าไป๋หัวเราะให้ฟังหรอก ต่อให้มันหัวเราะลุงใหญ่ก็ไม่ดีใจนี่? และใช่ว่าจะให้รางวัลอะไรข้าด้วย” ซ่งอิงสบถฮึเบาๆ
นางไม่ใช่คนชอบนินทาผู้อื่นลับหลัง เพียงแต่กำลังพูดเรื่องจริงก็เท่านั้น
ซ่งฝูซานนั้นดีแต่วางมาดใหญ่โต ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเด็กรุ่นหลัง
“ก็จริงอย่างว่า” ซ่งหม่านซานกล่าวขำๆ ชำเลืองมองลา ก่อนจะหันไปจ้องซ่งอิงอีกครั้ง “ข้าหัวเราะแล้วมันก็จะหัวเราะตามหรือ เจ้าไม่ได้หลอกข้ากระมัง”
“ท่านก็เสียงดังหน่อย ความเป็นไปได้ที่มันจะหัวเราะมีประมาณแปดส่วน ต้าไป๋ไม่ใช่พวกยอมขายหน้าเสียด้วย” ซ่งอิงครุ่นคิดแล้วกล่าว
น่าเสียดาย ข้ามภพมาไม่ได้พกกล้องมาด้วย หากอัดวิดีไว้ได้ก็คงดี
ในตอนนี้อาสี่นางดูกระตือรือร้นที่จะลองมาก เขาไล่เด็กช่วยงานในร้านไปคอยมองหน้าร้าน เมื่อเห็นบริเวณรอบๆ ไร้ผู้อื่นจึงเท้าสะเอวแล้วส่งเสียงหัวเราะลั่นขึ้นมา “ฮ่าๆๆๆ!”
ซ่งอิงเม้มปากยิ้ม
หัวไชเท้าของต้าไป๋ก็ถูกกัดกินไปพอประมาณแล้ว
นางมักรู้สึกว่าสายตาของเจ้าสัตว์ตัวนี้ค่อนข้างพิลึก ซ่งอิงครุ่นคิดจากนั้นหยิบออกมาอีกหัวส่ายไปมาตรงหน้ามัน
“ฮ่าๆๆ! ฮ่าๆๆๆๆ!” ต้าไป๋ขยับปากแล้วส่งเสียงออกมา
“…” ซ่งหม่านซานตระหนกตกใจ
ความจริงเขาก็แค่แกล้งเอ้อร์ยา หยอกเล่นเพื่อความสนุกสนานเท่านั้นเอง
จริงอยู่ที่เขาอาวุโสกว่า แต่ก็เพิ่งอายุยี่สิบสาม ถึงจะหน้าแก่ แต่ก็ไม่ได้อายุมากเหมือนพี่ชายทั้งสามคนในครอบครัว
แต่ก็ไม่คาดคิดว่าลาตัวนี้จะหัวเราะได้จริงๆ!
——————
[1] ยอมจมน้ำฉี่ตาย (撒泡尿淹) เป็นสำนวนเปรียบเทียบหมายความว่า อับอายหรือละอายใจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน