ตอนที่ 299 อยู่ในป่าเขาตามธรรมชาติ
หนิวต้าลี่เอ่ยจบ ซ่งอิงหนังตากระตุกคล้ายมีลางสังหรณ์บางอย่าง
เริ่มอดมองไปรอบๆ ไม่ได้
ในเมืองนี้ไม่ใช่ว่ามีปีศาจจำนวนไม่น้อยทำงานหาเงินอยู่กระมัง?
ทว่าหลังมองจนทั่วแล้ว ก็มีแค่หนิวต้าลี่คนเดียวที่ดูแปลกแยก คนอื่นดูปกติกันทั้งนั้น นางจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“พี่…พี่สาว ท่านเป็นคนดีจริงๆ วันนี้ข้าเห็นท่านก็รู้สึกได้ว่าท่านจิตใจดีงาม ไม่เช่นนั้นคงไม่ขวางรถเกวียนของท่านไว้” หนิวต้าลี่กล่าว
ซ่งอิงมุ่นคิ้ว “เจ้ารู้สึกว่าข้าจิตใจดี? ตอนนั้นข้าใส่หมวกอยู่ด้วยนะ? แล้วจะมองออกได้อย่างไร”
“ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ ก็แค่ได้กลิ่นหอม ทำให้หนิว…ต้าลี่อย่างข้ารู้สึกผ่อนคลายและเลื่อมใสในใจ” หนิวต้าลี่เสียงอ่อนลงในตอนท้าย
ซ่งอิงครุ่นคิด คาดว่าน่าจะเป็นเพราะช่องว่างระหว่างมิติ
“เจ้าต้องการหางาน? อยากหางานแบบไหน ต้องการเงินค่าแรงเท่าไร” ซ่งอิงหรี่ตามอง เอ่ยถาม
นางมีความรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นวัว
ไม่น่าจะถูกเลี้ยงตามบ้านเรือนผู้คน ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าจะอยู่ตามธรรมชาติในป่าเขา…
จากชื่อต้องพละกำลังไม่น้อยเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะไถพรวนดินได้หรือไม่ วันหนึ่งจะไถได้สักกี่หมู่…
นางอยากซื้อวัวสักตัวมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่การซื้อวัวไม่ใช่เรื่องง่าย นางมีที่ดินตั้งยี่สิบกว่าหมู่ จะอาศัยเพียงกำลังคนลากพรวนก็เหน็ดเหนื่อยเกินไป
“ข้ากินข้าวเก่ง หากมีอาหารการกินให้ด้วย เงินค่าแรงน้อยหน่อยก็ได้เช่นกัน เดือนหนึ่งให้ข้าครึ่งตำลึงเงินก็ได้ ไม่ว่างานอะไรข้าทำได้ทั้งนั้น ทำอาหาร ซักผ้า โม่ข้าว…”
“บ้านข้ามีต้าไป๋ลากหินโม่ข้าวแล้ว เจ้าไถพรวนดินได้หรือไม่” ซ่งอิงจ้องมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย
“ไถพรวนดิน?” หนิวต้าลี่ตะลึงงัน “ได้กระมัง…”
นางเคยเห็นเวลาวัวที่ตีนเขาทำงาน ดูไม่ยากแต่อย่างใด
“เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าทำงานแล้วกัน บ้านข้ามีที่ดินทั้งหมดยี่สิบแปดหมู่ มีคนช่วยข้าจับแมลงแล้ว แต่หาซื้อวัวไม่ได้ หากเจ้าทำงานได้ดี ไม่เพียงแต่มีอาหารให้กิน ข้ายังมีที่พักอาศัยให้ด้วย และจะให้เงินค่าขนมแก่เจ้าเดือนละหนึ่งตำลึง หากเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือ หมู่บ้านพวกเรามีที่ดินไม่น้อย เจ้าไปช่วยไถพรวนดิน คนในหมู่บ้านก็จะให้เงินเจ้าเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน เจ้าสามารถเก็บหอมรอมริบเอาไว้เป็นทรัพย์สินได้” ซ่งอิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
หนิวต้าลี่ตาลุกวาว “จริงหรือ เมื่อก่อนข้าเคยทำงานมาไม่น้อย แต่คนเขาเห็นข้าเป็นผู้หญิงจึงให้ค่าจ้างน้อยนิดเดียว งานที่เงินค่าแรงเยอะหน่อยก็หนีไม่พ้นการต้องขายตัวเอง แต่ทำแบบนั้นก็กลับบ้านไม่ได้…ข้าทำงานให้ท่าน ไม่ต้องขายตัวให้กระมัง?”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” ซ่งอิงรีบส่ายหน้ารัวๆ
มีวัวมาหาถึงที่ ต้องมีสัญญาซื้อขายตัวอะไรอีก ทำงานได้ก็ใช้ได้แล้ว
“เช่นนั้นก็ตกลง บ้านท่านอยู่ไหนล่ะ ข้าจะได้ไปหาท่านถูก” หนิวต้าลี่กล่าวถาม
“อำเภอหลี่ หมู่บ้านซิ่งฮวา ติดเขา เจ้าอยากกลับบ้านก็สะดวกสบาย” ซ่งอิงกล่าว
หนิวต้าลี่รีบพยักหน้า
ไม่ได้รู้สึกผิดปกติตรงไหน
“เจ้าไม่มีเงินพอซื้อยาสินะ?” ซ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขบคิดแล้วล้วงหยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากอก ในขวดบบรจุเมือกของเสี่ยวชิงเอาไว้ ห้ามเลือดและลดการอักเสบได้ เป็นของที่เตรียมไว้ใช้ในยามเดินทาง นางยื่นมันให้ต้าลี่ “เจ้าเอายานี้ไปทา แล้วบาดแผลจะหายไวขึ้น”
“ขอบคุณพี่สาว!” หนิวต้าลี่ดีใจเป็นพิเศษ รับของเอาไว้โดยไม่รู้สึกเป็นคนอื่นคนไกลเลยสักนิด
ซ่งอิงให้นางกลับไปคอยที่หมู่บ้านซิ่งฮวาก่อน
จะให้หนิวต้าลี่คอยติดตามนางเลยก็ได้เช่นกัน แต่ปีศาจตนนี้ไปมีเรื่องบาดหมางกับคนอื่นเขาแล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้น ให้นางหนีไปไกลๆ หน่อยจะปลอดภัยกว่า
และก็เป็นไปตามที่ซ่งอิงคาดไว้ หนิวต้าลี่เพิ่งเดินจากไปไม่ทันไร ตระกูลสวี่ก็ส่งคนมาตามหา
เมื่อสืบถาม พอกล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่ขุนนางปล่อยตัวไปแล้วก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อข้านะ นางเป็นปีศาจจริงๆ บนหัวนางมีเขาวัวงอกออกมาด้วย! กระทืบเท้าเดียวก็ไล่คนที่ตามจับข้าหนีเปิดไปเลย! อีกทั้งคนปกติได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นจะวิ่งและกระโดดได้อย่างไรกันเจ้าคะ” คุณหนูสวี่กลัวว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ จึงอธิบายไม่หยุด ยิ่งนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ก็ยิ่งเศร้าโศกในใจ
ตอนที่ 300 แหกกฎเกณฑ์
แต่คำพูดนี้มีคนเก็บไปใส่ใจจริงจังเสียที่ไหน
คนตระกูลสวี่จึงแจ้งให้หยาเหมินทราบว่า บุตรสาวผู้นี้เพิ่งหาทางกลับมาได้ ดูสงสารไม่น้อย คนในครอบครัวอยากปลอบใจนาง ดังนั้นไม่ว่านางพูดอะไรก็ต้องไปทำตามที่นางว่า
แต่พอสงบสติได้แล้วกลับรู้สึกต่างจากเดิม
“เรื่องปีศาจเป็นเพียงเรื่องเรื่อยเปื่อยไร้หลักฐาน เรื่องเช่นนี้อย่าได้เอ่ยขึ้นมาอีกเลย ระยะนี้ก็อยู่รักษาตัวในเรือนให้ดีๆ โชคดีที่แม่นางผู้นั้นไม่ผูกใจเจ็บ กล่าวเพียงว่าได้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ หากนางพูดใส่ร้ายเจ้าต่อหน้าฝูงชนเจ้าก็คงแปดเปื้อนไปแล้ว ต่อให้ตระกูลสวี่มีเป็นร้อยปากก็พูดแก้ไขให้กระจ่างไม่ได้หรอก คงทำได้เพียงโยนผ้าขาวให้เจ้าผูกคอตายไปเสีย!” บิดาสวี่ค่อนข้างเหนื่อยใจเช่นกัน
ลูกสาวคนนี้น่าจะตื่นตระหนกขวัญเสียเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่พูดเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ออกมา
แม้บุคคลคนภายนอกจะไม่คิดว่านางประสงค์ร้าย แต่บุตรสาวเขาก็ถูกมองว่าลืมบุญคุณคน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก!
ต้องโทษนางบ่าวสารเลวผู้นั้น บังอาจริษยาและเคียดแค้นผู้เป็นนายจนลอบหาคนมาแก้แค้น ช่างชั่วร้ายจริงๆ!
คุณหนูสวี่ได้ยินก็โกรธจนร้องห่มร้องไห้ ทำเอาทั้งตระกูลต้องพากันปลอบประโลมไปพักใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดต่างจากบิดาสวี่ จึงไม่มีคนเอ่ยถึงปีศาจเลยแม้แต่คนเดียว
ในวันเทศกาลจงหยวน เมืองยงครึกครื้นถึงขีดสุด
คนที่ซ่งหม่านซานติดสินบนมาอยู่หน้าประตูร้านเซียนเส้อ เริ่มทำการแสดงคู่ กล่าวชมยาสระชิงซือว่าหาได้แค่ในสรวงสวรรค์ ไม่มีให้เห็นบนโลกมนุษย์อะไรทำนองนั้น
จากที่ก่อนหน้านี้ร้านเงียบสงัด กลายเป็นว่าขายออกไปได้จำนวนไม่น้อยแล้ว
ซ่งอิงพูดคุยกับซ่งหม่านซานเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามุ่งไปวัดผู่หัว
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในละแวกเมืองยง ตั้งอยู่ตอนกลางของภูเขา ลำพังขั้นบันใดก็มีมากถึงพันกว่าขั้น เพื่อแสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาโดยแท้จริง บรรดาผู้แสวงบุญส่วนใหญ่จึงเดินเท้าขึ้นเขาไป
ซ่งอิงมาถึงบริเวณเชิงเขาซึ่งเป็นเส้นทางสายเดียวที่จะพาขึ้นไปได้ นางปรายตามองโดยรอบ ไกลออกไปเต็มไปด้วยรถม้าเรียงรายต่อแถวกันคันแล้วคันเล่า ดูค่อนข้างติดขัดไม่น้อย
ผู้คนที่มีรถม้าย่อมมีข้ารับใช้ติดตามมาด้วย จึงไม่ต้องกลัวว่ารถม้าจะหาย บริเวณนี้มีผู้ที่รับผิดชอบดูแลสัตว์เป็นการเฉพาะด้วยเช่นกัน จ่ายให้เงินนิดหน่อยและแลกตราสัญลักษณ์เอาไว้ก็ขึ้นเขาไปชมทัศนียภาพได้โดยไร้กังวล
ที่ขั้นบันไดชั้นล่าง ซ่งอิงมองเห็นฮั่วซื่อเซี่ยง
“ฮั่วฮูหยิน ใต้เท้าให้ข้ามารอแต่เนิ่นๆ เชิญท่านขอรับ” ฮั่วซื่อเซี่ยงเข้าประเด็นตรงไปตรงมา
เมื่อถึงเที่ยงวัน นักบวชแต่ละท่านต้องเริ่มสวดมนต์ ไม่อาจชักช้าเสียเวลาอยู่ได้
ซ่งอิงยังคงถือหลักฐานการเช่าโรงเตี๊ยมไว้ในมือ “ก่อนหน้านี้ฮั่วต้าเหรินเอ่ยไว้ว่าจะรับผิดชอบค่ากินและที่ค่าพักให้ข้า ยังยืนยันคำเดิมหรือไม่”
“ต้าเหรินพูดแล้วย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” ฮั่วซื่อเซี่ยงรีบกล่าวทันควัน
ต่อให้กลับคำกับคนอื่น แต่กับนาง…
ถือเป็นข้อยกเว้น ไม่แน่ว่าต่อให้ต้องแหกกฎเกณฑ์ก็ยอม
“เช่นนั้นก็ดี ห้าตำลึงเงิน ท่านขุนนางจะเป็นคนเอาให้หรือฮั่วต้าเหรินจะเป็นคนให้ข้า” ซ่งอิงถามขึ้น
สองตำลึงเงินค่าเช่าที่พัก ส่วนที่เหลือล้วนเป็นค่ากินค่าใช้จ่ายจิปาถะ สองวันนี้นางกินดีไม่น้อยเลยละ
ฮั่วซื่อเซี่ยงก็ไม่ต่างจากฮั่วเจ้ายวน เป็นขุนนางที่ไม่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ออกมาข้างนอกไม่เคยพกเงินติดตัวจำนวนมาก เงินห้าตำลึงมากพอจะเป็นค่าอาหารให้หนุ่มใหญ่ทั้งสองคนกินไปได้ครึ่งเดือน เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งอิง ฮั่วซื่อเซี่ยงแทบไม่อยากจะเชื่อ “เท่าไรนะ!?”
ห้าตำลึงเงิน? ค่ากินสำหรับสองวัน? เหตุใดไม่ไปปล้นเอาเลยเล่า
“ก็เป็นจำนวนเท่านี้ละ ท่านดูสิ ข้าให้ผู้ดูแลกิจการโรงเตี๊ยมเขียนหลักฐานไว้ให้ข้าด้วย ท่านเอาไปสอบถามดูได้” ซ่งอิงปั้นหน้าจริงจังแล้วบีบหว่างคิ้ว “นายท่านตระกูลพวกท่านเป็นคนให้ข้ามาที่นี่เอง คงไม่เสียดายเกินกว่าจะสละเงินค่ากินอยู่ห้าตำลึงให้กันหรอกกระมัง? หรือไม่…ข้ากลับเลยแล้วกัน…”
พูดจบก็หันหลังขวับเตรียมเดินจากไป
ฮั่วซื่อเซี่ยงยังจะทำเช่นไรได้อีก รีบเข้าไปขวางทางเอาไว้!
หยิบห้าตำลึงเงินออกจากซอกอกด้วยท่าทีอิดออด แล้วยื่นออกไปอย่างปวดใจ “เจอท่านรวมๆ แล้วไม่กี่ครั้ง แต่นี่ควักเงินให้เป็นครั้งที่สองแล้ว…”
หากเป็นใต้เท้าตระกูลอื่น อย่าว่าแต่ห้าตำลึงเงินเลย ต่อให้ห้าร้อยตำลึงเงินก็ไม่แน่ว่าจะรู้สึกเสียดาย
แต่ใต้เท้าตระกูลเขาแตกต่างออกไป ใต้เท้าไม่ขาดแคลนเงิน แต่ไม่เคยใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายมาก่อน เขาติดตามใต้เท้ามาเนิ่นนาน ย่อมเรียนรู้ที่จะประหยัดมัธยัสถ์เช่นกัน จู่ๆ เงินหายไปอีกห้าตำลึง ไม่รู้สึกแย่สิถึงจะแปลก