ตอนที่ 361 ทำเงินได้แล้ว ทำเงินได้แล้ว
ซ่งอิงมองบิดาผู้พาซื่อคนนี้และกำลังถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างจริงจังในใจ
ไม่แปลกเลยที่ชายชราจะไม่เห็นความสำคัญของบิดานางและอาสาม ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ที่นิสัยทรงคุณธรรมเกินไป ใช้ชีวิตสงบเงียบเรียบง่าย เลี้ยงดูเอาไว้ก็น่าเบื่อเปล่าๆ
โบราณกล่าวไว้ว่าเด็กที่รู้จักร้องไห้จะมีลูกกวาดไว้กิน ยุคสมัยนี้เด็กที่รู้จักเอะอะโวยวายย่อมทำให้ผู้ชราแบ่งปันความสนใจออกไปให้มากหน่อย เมื่อผู้ชราทุ่มเทให้เด็กคนนั้นมากมาย ก็ย่อมเห็นความสำคัญยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา
ทว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่ ซ่งอิงตั้งใจว่าจะไม่ใช้คำพูดจากใจจริงมาทิ่มแทงจิตใจบิดาของนางเช่นกัน
ระหว่างญาติพี่น้อง หากนำความรู้สึกจำแนกแยกแยะชัดเจนเกินไป บางทีอาจเข้าใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะได้ผลประโยชน์หรือเสียผลประโยชน์อีกต่อไป แต่ก็สันนิษฐานว่าคงจะไร้เยื่อใยและรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยกว่าได้เช่นกัน
ดังนั้น ก็ปล่อยให้บิดาเขาคิดว่า ชายชราเข้าข้างและสนับสนุนเขาเช่นกันก็แล้วกัน!
ก็เหมือนเช่นตอนนี้ หลังผู้เฒ่าซ่งตอบรับคำ ซ่งจินซานก็ดีใจจนเกินบรรยาย ทำงานอย่างขะมักเขม้นและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างยิ่ง
ยามที่อาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้า ก็ขายอาหารหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตามจริงแล้วคนอย่างซ่งอิงที่วันหนึ่งกินข้าวสามมื้อและบางครั้งยังมีมื้อดึกเพิ่มอีกหนึ่งมื้อด้วยมีไม่มากนัก ถึงขั้นว่าคนส่วนใหญ่ วันหนึ่งกินเพียงสองมื้อเท่านั้น อาหารมื้อเช้าหลากหลายหน่อย จะได้มีเรี่ยวแรงไปทำงาน จากนั้นตอนบ่ายค่อยกินอีกมื้อก็เป็นอันใช้ได้
ดังนั้นตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่ทันโพล้เพล้ ซ่งอิงก็คำนวณรายรับของช่วงบ่ายอีกรอบหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย
กับข้าวราคาถูกและไม่ได้ค้าขายสะดวกเท่าซาลาเปา ดังนั้นรายรับอาหารมื้อเที่ยงจึงได้เพียงสองตำลึงเงินสองร้อยอีแปะเท่านั้น เมื่อหักต้นทุนแล้ว จะเหลือเกือบเจ็ดแปดร้อยอีแปะ
หากอยากทำเงินให้ได้มากๆ หน่อยก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ซ่งจินซานและหร่วนซื่อเป็นคนจริงใจ นี่จึงได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นไปมากมายเช่นนี้ มิเช่นนั้นยังจะเหลือเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อย
แต่ซ่งจินซานและหร่วนซื่อกลับพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ไม่น้อยแล้ว ไม่น้อยแล้ว…” ซ่งจินซานไม่รู้แล้วว่าควรพูดอะไร!
พรุ่งนี้อาหารเช้าไม่ลดราคา ต่อให้ลูกค้าน้อยหน่อย แต่ก็น่าจะทำเงินได้ไม่น้อยเช่นกัน
วันเดียวนี้ คิดไม่ถึงว่าจะทำเงินได้มากกว่าคนอื่นตลอดหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ!
นานวันไป ครอบครัวพวกเขาก็จะถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว หลังจากนี้ค่อยซื้อที่ดินไว้มากๆ หน่อย ชีวิตก็จะได้มั่นคง!
“ลูกแม่ ต้องขอบใจเจ้ามาก…” หร่วนซื่อซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง “เปิดร้านอาหารเช่นนี้ก็ไม่ได้มีเพียงร้านเราร้านเดียว แต่ร้านอื่นน่าจะไม่ได้ขายดิบขายดีเท่าร้านเรา หากไม่ใช่เพราะมีตำรับอาหารและเงินที่เจ้าให้ พวกเรามีหรือจะสบายได้เช่นนี้…”
หร่วนซื่อไม่คิดว่าเป็นความสามารถของตนเองแต่อย่างใด
นางก็แค่หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง กับข้าวที่ผัดก็ไม่ถือว่ารสชาติอร่อยเลิศเลออะไรมากมาย อย่างมากสุดก็แค่ไม่ขี้เหนียวน้ำมันและเกลือก็เท่านั้น
ขายได้ดีขนาดนี้ หลักๆ ยังเป็นเพราะความคิดที่ยอดเยี่ยมของบุตรสาว
เกี๊ยวอบ ซาลาเปาทอด น้ำแกงรสเนื้อสัตว์ แล้วยังมีผัดกับข้าวที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ นั่นเป็นความคิดของบุตรสาวทั้งสิ้น หลายวันนี้ที่ตระเตรียมเปิดร้าน นางก็ได้ทำอาหารหลายมื้อให้บุตรสาวลิ้มชิมรส ก่อนจะปรับเปลี่ยนรสชาติตามคำแนะนำของบุตรสาว
วันนี้ลูกค้าจำนวนไม่น้อยต่างพูดว่า กับข้าวของร้านนางทำได้ไม่ต่างจากภัตตาคารใหญ่ๆ มากนัก
แต่นางจะกล้าน้อมรับคำชมนั้นไว้เสียที่ไหนเล่า ฟังแล้วยังรู้สึกอายเลยด้วยซ้ำ
หากไม่มีบุตรสาว ต่อให้พวกเขาสามีภรรยาเปิดร้านค้าขึ้นมาแล้ว แต่กิจการจะต้องเงียบเหงาแน่นอน
“ท่านแม่ ท่านก็เห็นเป็นคนอื่นคนไกลกันอีกแล้ว” ซ่งอิงหัวเราะคิกคัก “หาเงินให้ได้มากๆ จะได้รีบแต่งภรรยาให้พี่ชายข้า แม้ว่าข้าอยากให้เขาตั้งใจสอบเรียน แต่เอาจริงเอาจังจนเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เดี๋ยวจะบำรุงร่างกายกลับมาไม่ไหว”
เมื่อก่อนทุกครั้งตอนที่เข้าอำเภอเอายาสระผมชิงซือไปส่ง นางก็จะไปเยี่ยมพี่ชายนางเสมอ และถือโอกาสเอาน้ำที่ภูตโสมอาบไปส่งให้ด้วย แต่ซ่งสวินกลับดูผอมวันผอมคืน
มือไม่ห่างตำรา ตำราไม่ห่างมือ ดีที่เขายังรู้จักถนอมชีวิตน้อยๆ อยู่บ้าง มิฉะนั้นหากอ่านหนังสือจนกลายเป็นคนโง่เง่าที่มีดวงตาดำโบ๋ เช่นนั้นไม่สู้กลับบ้านทำไร่ทำนาจะดีกว่า
“พี่ชายเจ้าไม่รีบหรอก” หร่วนซื่อสงบนิ่งอย่างยิ่ง
บุตรชายไม่ได้อายุสามสิบกว่าแล้วเสียหน่อย จะรีบร้อนไปไย
เงินที่บุตรสาวให้ จำเป็นต้องหาเงินส่วนนั้นเอามาโปะกลับคืนให้ได้ก่อนจึงจะถูก
ตอนที่ 362 แต่งงานใหม่
เมื่อก่อนหร่วนซื่อทะนุถนอมซ่งอิงมากเช่นกัน แต่ก็ยังมีเหตุมีผลอยู่บ้าง อย่างไรเสียตอนนั้นบุตรสาวก็อยู่ข้างกายตลอด ไม่ว่าลูกชายหรือลูกสาวล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสิ้น จึงไม่มีความลำเอียงแต่อย่างใด
แต่ภายหลังเจ้าของร่างถูก ‘แย่งตัวไป’ ตอนที่กลับมาอีกครั้ง หร่วนซื่อก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติไป
นางเป็นกังวลตลอดเวลา เกรงว่าข้างกายซ่งอิงจะมีคนปองร้าย ตอนที่ซ่งอิงยังไม่ได้ออกจากบ้านซ่ง หร่วนซื่อเห็นนางเป็นเสมือนลูกตาก็ไม่ปาน มิเช่นนั้นก็คงไม่นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีในบ้านจำนำไปจนเกือบหมดเพื่อรักษานางหรอก
ตลอดทั้งวันสรรหาน้ำแกงไก่และไข่ไก่มาบำรุง ยาก็ไม่เคยขาด ครอบครัวชาวนาทั่วไป ไม่มีผู้ป่วยคนใดที่โชคดีเท่าเจ้าของร่างปานนี้
เปิดร้านให้หร่วนซื่อและซ่งจินซานเป็นความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่หนึ่งของนาง ตอนนี้จัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว ซ่งอิงจึงกลับหมู่บ้านในเย็นวันนั้นเลย
ทางด้านร้านค้านี้ มีป้ากวนคอยดูแล ไว้เดี๋ยวค่อยจ้างคนที่ห่อซาลาเปามาสักคนก็จะไม่ยุ่งกันถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้วันใดฝนตกกิจการไม่ดี ก็ไม่มีทางขาดทุนเป็นแน่
ความกังวลใจเดียวก็คือ ระหว่างการเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย
เพียงแต่เรื่องนี้ นางก็มืดแปดด้านเช่นกัน เกรงว่าแม้อยากตรวจสอบก็ตรวจสอบไม่เจอ ตอนนี้กังวลใจขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์
หลายวันนี้ซ่งอิงงานยุ่ง ภูตโสมค่อนข้างหดหู่เล็กน้อย
มารดาเขาจะต้องไม่รักเขาแล้วเป็นแน่
วันๆ ไม่อยู่บ้าน ไม่เห็นแม้แต่เงา
“ท่านแม่ ท่านควรขอบคุณข้าที่ข้าไม่ใช่เด็กทั่วไป มิเช่นนั้นหากเลี้ยงลูกเช่นท่าน ลูกคงได้โกรธจนขาดใจตายไปแล้ว!” ภูตโสมกินข้าวที่หนิวต้าลี่ทำ แล้วส่งเสียงถอนหายใจ
หนิวต้าลี่มองภูตโสมแวบหนึ่ง อ้ำๆ อึ้งๆ
จากนั้นก็ปรายตามองซ่งอิงเล็กน้อย รู้สึกกระวนกระวายใจ
“มีของให้กินก็ไม่เลวแล้ว เจ้ายังเลือกกินอีกหรือ หนิวต้าลี่ทำอาหารอร่อยจะตาย แค่เรียนรู้ก็ทำได้ทันที! หากเจ้าไม่อยากกินก็ไปกินดินแล้วกัน ดินโคลนน่าจะมีคุณประโยชน์มากกว่า” ซ่งอิงไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา
ภูตโสมได้ยินดังกล่าว สบถฮึ จากนั้นเผยท่าทีเจ็บปวดหัวใจ “ท่านแม่ ท่านโหดร้ายกว่าต้าไป๋เสียอีก!”
“…” อะไรของเขา?
“ก่อนหน้านี้ท่านไปเมืองยงก็ไม่พาข้าไปด้วย ตอนนี้ไปทางด้านบ้านท่านยายก็ไม่พาเข้าไปอีกเช่นกัน! ท่านแบมือนับนิ้วดูสิ ครึ่งเดือนกว่าแล้ว! ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตัวเองมีข้าเป็นลูก ไม่ได้การละ ข้าต้องไปร้องไห้หน้าหลุมฝังพ่อข้า! ทั้งที่ท่านทำไม่ถูกก็ยังไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงอีก!” ภูตโสมระเบิดอารมณ์แล้วเดินไป
ซ่งอิงนวดๆ หว่างคิ้ว “หากพ่อเจ้าขานตอบเจ้าสักเสียงหนึ่ง ข้าก็จะดึงเขากลับมาด้วยแล้วกัน”
รู้จักร้องไห้ เอะอะและประชดประชันขึ้นมาแล้วหรือ
ไม่ธรรมดานี่?
ภูตโสมเม้มปาก “ท่านแม่ แง้…ท่านอยากแต่งงานใหม่ใช่หรือไม่ จะทิ้งข้าแล้วหรือ ไม่ได้นะ! หากจะแต่งงานใหม่ก็ต้องพาข้าไปด้วยสิ!”
ซ่งต๋าและซ่งอู่แสร้งไม่รู้ไม่ชี้ทันที ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวไปอย่างสงบ ทำเหมือนไม่ได้ยิน
กลัวพี่สาวคนรองเล่นงานโดยเหมารวมพวกเขาไปด้วย
“…” ซ่งอิงหนังตากระตุก คิดว่าเจ้าเด็กแสบตัวนี้ช่างคิดมากเกินไปแล้ว
หากเขาเป็นเด็กลักษณะเช่นซ่งต๋าผู้นั้น ไม่แน่ว่านางยังพอเข้าใจได้สักหน่อย แต่ในฐานะภูตโสม มีอายุมาเป็นพันปีแล้ว จะรักษาภาพพจน์หน่อยไม่ได้หรือไร
“ใครบอกเจ้าว่าข้าจะแต่งงานใหม่” ซ่งอิงปวดหัว
“ไม่มีใครบอก แต่ข้าคิดขึ้นมาเองได้” ภูตโสมเงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ “พ่อของซวนจื่อตายไปแล้ว แม่ของเขาก็กลับบ้านฝั่งมารดาบ่อยครั้ง แต่ไม่นานนางก็แต่งงานใหม่แล้ว ซวนจื่อก็ถูกทิ้งให้ปู่ย่าเขา!”
“ข้าไม่มีแม้แต่ปู่กับย่า ข้ามีเพียงท่านเท่านั้น แต่ข้าได้ถามซวนจื่อแล้ว ซวนจื่อบอกว่า ตอนที่แต่งงานใหม่น้อยครั้งมากจะพาลูกผู้ชายติดไปด้วย เพราะพ่อเลี้ยงผู้นั้นไม่ยินดี!” ภูตโสมกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าจะไม่เป็นเด็กผู้ชายก็ไม่ได้แล้วเช่นกัน…”
ซ่งอิงอยากจะโกรธจนแทบควันออกหูแล้วจริงๆ
สติปัญญามากจนไม่มีที่ให้ใช้แล้วกระมัง มิเช่นนั้นจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้มากขนาดนี้หรือ
แต่เมื่อเปลี่ยนมุมมอง ดูเหมือนเป็นพัฒนาการของนิสัยมนุษย์เช่นกัน
“เจ้าคิดว่าจะมีคนถูกตาต้องใจแม่เจ้าอย่างข้าหรือ ต่อให้ชอบข้า หากไม่ใช่พวกไม่เอาไหน ก็เป็นพวกไม่สมประกอบ หรือไม่ก็เป็นพวกขาด้วน ต้องเลี้ยงดูเด็กๆ ในครอบครัวกว่าสิบชีวิตอะไรทำนองนั้น” ซ่งอิงถอนหายใจ
เมื่อเอ่ยพูดเยี่ยงนี้ ซ่งอิงนึกถึงใต้เท้าฮั่วผู้นั้นขึ้นมา
ใต้เท้าฮั่วแตกต่างออกไป นั่นเป็นพ่อพระคนหนึ่ง
พ่อพระในสายตานางไม่มีงดงามหรืออัปลักษณ์ แม้ว่าเงื่อนไขตัวเขาไม่เลวทีเดียว แต่ในฐานะคนหนึ่งที่มีอำนาจ และเป็นคนของตระกูลขุนนาง ควรอยู่ให้ห่างไว้หน่อยจึงจะดี