บทที่ 391 อายุยืนนาน
ผู้เฒ่าซ่งเผยท่าทีอับอายบนใบหน้าทันทีที่ถูกซ่งอิงเอ่ยล้อเช่นนั้น และรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“แก่แล้วเคลื่อนไหวลำบาก ก็อยากจะนั่งพักสักหน่อย” ผู้เฒ่าซ่งฝืนตอบหน้าตาเฉย
เมื่อสิบแปดปีก่อน แถบเมืองยงแห่งนี้ไร้ผลผลิตให้เก็บเก็บเกี่ยว เขาจึงหนีภัยพิบัติเข้าเมืองหลวงไปขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางเดินผ่านนักพรตลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง และถูกนักพรตลัทธิเต๋ารั้งให้อยู่ด้วยสองวัน ตอนนั้นก็เคยเห็นนักพรตเต๋าผู้สง่าดั่งเซียนสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่เช่นนี้ แสงอาทิตย์รุ่งอรุณสาดส่องลงบนร่างของนักพรตเต๋าผู้นั้น คล้ายว่าต้องการชักนำตัวเขาผู้นั้นเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเซียนก็ไม่ปาน
สองวันมานี้ เขาพลันนึกถึงภาพฉากนั้นขึ้นมาและอดสะดุดใจไม่ได้
เขาอยากลองดูเช่นกัน
ไม่แน่ว่าจะอายุยืนขึ้นอีกหลายปีหน่อย
ซ่งอิงอดรู้สึกอดอยากหัวเราะไม่ได้ “ท่านเอาแต่นั่งนิ่งอย่างนี้ ก็จริงอยู่ที่ได้พักผ่อน แต่เล่นไม่ขยับเขยื้อนกระดูกเลยนี่จะไม่ยิ่งเกียจคร้านหรอกหรือ”
ซ่งผู้เฒ่าซ่งไม่ได้เอ่ยแย้งอันใด
“ท่านอยากให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกหน่อยใช่หรือไม่” ซ่งอิงเอ่ยถาม
ผู้เฒ่าซ่งเงยหน้ามองนางปราดหนึ่ง คิดว่าซ่งอิงคงกำลังเหน็บแนมเขา จึงกล่าว “ข้าแก่แล้ว กลัวตาย ไว้เมื่อเจ้าอายุเท่าข้าในตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากข้าไปสักเท่าไรหรอก”
“เป็นคนย่อมต้องกลัวตาย คนที่ไม่กลัวตาย หากไม่ใช่วีรบุรุษ ก็เป็นพวกด้อยปัญญาเท่านั้นละเจ้าค่ะ” ซ่งอิงหัวเราะเบาๆ “หรือไม่…ท่านลองเรียนจากข้าดู? ข้า รู้จักการฝึกพลังสองชุดเพื่อรักษาสุขภาพร่างกาย…”
ซ่งอิงเอ่ยหน้าตาเฉย แม้แต่คำว่าฝึกพลังก็ยังเอ่ยออกมาได้
ปรากฎว่าผู้เฒ่าซ่งไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไร “แม่นางสาวน้อยอย่างเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ”
“จะไม่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าทำเป็นอยู่สองกระบวนท่า กระบวนแรกเรียกอู่ฉินซี่อีกกระบวนเรียกไทเก๊ก หากได้ฝึกทุกวัน วันละเล็กละน้อย ย่อมอายุยืนนานเป็นแน่!” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อภพชาติที่แล้ว เหล่าผู้สูงวัยต่างชื่นชอบยิ่งนัก!
สาเหตุที่นางรู้กระบวนท่าเหล่านี้ ก็เพราะหลังจากทำงาน ก็ถูกอาจารย์ที่ปรึกษาลากไปเรียนด้วยกัน อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ดีต่อการดูแลสุขภาพ นางจึงตั้งใจศึกษาอย่างละเอียดเอาไว้เสียหน่อย วิธีการเรียนในตอนแรกเริ่มล้วนฝึกไปตามระเบียบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และหาผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดความรู้ให้อีกด้วย
ปรากฎว่าก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ ผู้เฒ่าซ่งนึกสนใจขึ้นมาแล้ว “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าลองทำให้ข้าดูหน่อยสิ”
“สภาพร่างกายของท่านในตอนนี้ไม่เหมาะจะฝึกไทเก๊ก ดังนั้นข้าจะสอนอู่ฉินซี่ให้ท่านแล้วกัน ท่านต้องฝึกไปพร้อมกับข้าจึงจะทำได้” ซ่งอิงกล่าว
สองกระบวนท่านี้มีข้อดีต่างกัน แต่ว่าไทเก๊กต้องมีท่าจ้านจวง ซงเยาและอื่นๆ ซึ่งเป็นท่าพื้นฐาน หากไม่ได้ตั้งท่าเหล่านั้นให้ถูกต้องอาจทำให้หัวเข่าบาดเจ็บได้ แม้ภพชาติที่แล้วนางรู้มามากพอสมควร แต่ตัวนางกลับคร้านที่จะฝึกฝน เพียงแต่บางครั้งก็จะฝึกไปตามที่อาจารย์ที่ปรึกษาบอกกล่าวเอาไว้บ้าง
ส่วนอู่ฉินซี่ กระบวนท่าค่อนข้างสนุกกว่า นางจึงเล่นกระบวนท่านี้มากกว่าหน่อย
ผู้เฒ่าซ่งปัดอาภรณ์เบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนมั่นไปพร้อมกับซ่งอิง
“ท่าแรกคือการตั้งท่าและปรับลมหายใจ สองเท้าต้องชิดกัน ยืนตัวตรง…สายตามองไปเบื้องหน้า มือสองข้าง…” ซ่งอิงเอ่ยอธิบายอย่างชัดเจนมาก ผู้เฒ่าซ่งก็ทำตามด้วยความตั้งอกตั้งใจ
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่ยอมเสียหน้ามาทำอะไรเช่นนี้
ทว่าคราวนี้แตกต่างออกไป เขากับซ่งอิงมีเดิมพันอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เมื่อเห็นซ่งอิง ย่อมขาดความมั่นใจไปบ้างเป็นธรรมดา
อีกทั้งยาที่เขากินเป็นยาที่เอ้อร์ยาไหว้วานคนไปซื้อมาให้ เงินที่ใช้ซื้อยาก็เป็นเงินที่ยืมเอ้อร์ยา…
เมื่อเจ้าหนี้อยู่ต่อหน้า ผู้เฒ่าซ่งย่อมเอื้อนเอ่ยวาจาลดลงไปเล็กน้อยเป็นธรรมดา
ซ่งอิงสอนอย่างละเอียดมาก ผู้เฒ่าซ่งก็คอยเรียนตาม แต่ท่าปรับลมหายใจในตอนแรกยังนับว่าปกติ ครั้นถึงช่วงหลังๆ ก็ชักรู้สึกพิกลเสียแล้ว
“มือสองข้างคว่ำลง กางนิ้วออก แล้วค่อยงอนิ้วให้เหมือนกรงเล็บเสือ ตามองไปยังมือทั้งสองข้าง…” ซ่งอิงพูด พร้อมกับทำท่าทางที่ประหลาดอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าซ่งยู่ปากอย่างเสียอารมณ์เล็กน้อย คิดว่าเหมือนตนเองถูกแกล้งเสียแล้ว
แต่ซ่งอิงยังคงมีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนกำลังทำเป็นเล่นเลยจริงๆ เป็นผลให้เขาขมวดคิ้วแน่น เรียนรู้ตามอีกครั้งอย่างลังเลสงสัยอยู่อีกครู่หนึ่ง
บทที่ 392 วางมาดยกใหญ่
ท่า ‘เสือ’ และ ‘กวาง’ ในตอนแรก ผู้เฒ่าซ่งยังพอรับได้บ้าง แต่ยิ่งฝึกไปถึงช่วงหลังๆ ก็ยิ่งรู้สึกชอบกล
“หมีสลบหมีไสลคืออะไร…เจ้า เจ้าเด็กคนนี้ตั้งใจทรมานข้าใช่หรือไม่ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ดูสิฝึกจนกลายเป็นสภาพเช่นไรไปแล้ว!” ผู้เฒ่าซ่งทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
เสื่อมเสียภาพลักษณ์หมด!
โยกตัวไปมาเหมือนพวกซื่อบื้อ ท่าประหลาดนั้นช่างน่าขันเสียจริง!
ซ่งอิงกลอกตาด้วยความเอือมระอา “กระบวนท่าเหล่านี้โดยทั่วไปข้าไม่สอนคนอื่นหรอกนะเจ้าคะ! ท่านอยากสุขภาพแข็งแรงมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ฝึกตามข้า ยืดเส้นยืดสายทุกวัน หากสุขใจก็จะสุขกายตามไปด้วย ส่วนท่าพวกนี้…เป็นท่าที่สืบทอดมาจากหมอผู้มีชื่อเสียง หากท่านคิดว่ากระบวนท่าพวกนี้ไม่ดี เช่นนั้นท่านไปหาหมอแล้วถามดูสิเจ้าคะ”
สตรีอย่างนางยังไม่นึกเกี่ยงว่าท่าทางดูไม่งาม ผู้สูงวัยอย่างซ่งเหล่าเกิน อายุปูนนี้แล้วจะบ่นอะไรอีก
ต่อให้เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงไปมา นั่นก็ไม่ได้ดูสง่างามขึ้นมาเช่นกัน แล้วเหตุใดต้องนึกใส่ใจความสวยของท่าทางด้วยเล่า
ผู้เฒ่าซ่งได้ยินนางพูดเหน็บแนมดังกล่าวก็หน้าแดงขึ้นด้วยความหงุดหงิดทันที
กลับตาลปัตรเสียแล้ว
ในเรือนนี้ ปัจจุบันก็มีเจ้าเด็กสาวคนนี้ละที่ใจกล้าอาจหาญเหลือเกิน ซ่งเหล่าเกินกวาดตามองภายในลานบ้าน เห็นเพียงเจียวซื่อที่กำลังตากผ้ารีบร้อนก้มหน้าก้มตาลง ทางด้านบ้านสี่ก็มีเสียงดัง ‘ปึง‘ พร้อมกับบานหน้าต่างปิดลง
“…” ซ่งเหล่าเกินรู้สึกตงิดๆ ในใจ
เหล่าลูกสะใภ้คงแอบหัวเราะกับท่าทางของเขายกใหญ่แล้วกระมัง?
“เช่นนั้นก็ทำต่อเถอะ” ไหนๆ ก็ขายหน้าแล้ว จะขายหน้าต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไร
อีกทั้งเอ้อร์ยาคงไม่ถึงขั้นใจดำจงใจแกล้งให้เขาทรมานเล่น กระบวนท่าอู่ฉินซี่ น่าจะมีประโยชน์จริงๆ
ทำอย่างไรได้เล่า ซ่งเหล่าเกินซื่อเหมือนหลานชายคนหนึ่ง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกตาม กระทั่งฝึกถึงช่วงท้ายๆ ดวงหน้าหมองคล้ำของเขาก็ปรากฏสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
เขามองว่า ‘ท่าลิง’ และ ‘ท่านก’ ท่าหนึ่งช่างดูน่าขัน อีกท่าหนึ่งดูหน่อมแน้มอย่างกับเด็กๆ ครั้นนึกถึงว่าตนเองอายุปูนนี้แล้วแต่ยังต้องมาทำท่าเลียนแบบนก ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปหมด
โชคดีที่มีเพียงห้าท่วงท่าก็กลับมาที่ท่าตั้งต้นแล้ว หากยังมีมากกว่านี้อีก คนแก่อย่างเขาคงทนทำไม่ไหวจริงๆ
แต่เพียงรอบเดียว ผู้เฒ่าซ่งก็ยังจำท่าไม่ได้
ซ่งอิงจึงเริ่มสอนโดยละเอียดอย่างใจเย็นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าชายชราเหนื่อยแล้วจริงๆ จึงได้บอกให้หยุดพัก
ในที่สุดซ่งเหล่าเกินก็ได้หายใจหายคออย่างโล่งอก แต่แล้วกลับได้ยินซ่งอิงกล่าวอีกว่า “ท่านเรียนได้ช้า วันสองวันก็ยังฝึกไม่ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในช่วงหลายวันนี้ข้าจะมาทุกเช้า เรียนสักสามวันห้าวันก็คงทำได้แล้ว ท่าพวกนี้ แต่ละวันจะฝึกหนักก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการหักโหมเกินไป”
“มาทุกวันเลยหรือ” ซ่งเหล่าเกินขมวดคิ้ว นึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยในใจ “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก เจ้ายังต้องเลี้ยงลูกแล้วยังต้องหาเงินอีก มีเวลาว่างเพียงนั้นเสียที่ไหนกัน…”
ท่าพวกนี้ไม่สง่างามเอาเสียเลย เขาไม่อยากลองฝึกฝนอีกแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อได้เอ่ยแล้วย่อมไม่อาจคืนคำ วันนี้เรียน พรุ่งนี้ล้มเลิก เขาก็ดูคล้ายผู้ใหญ่ที่เสียสัจจะ
ซ่งอิงคลี่ยิ้มคล้ายยิ้มขณะมองผู้เฒ่าซ่ง “ท่านปู่พูดอะไรอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ เมื่อหลายวันก่อนท่านล้มหมอนนอนเสื่อ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าท่านมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตและเลี้ยงดูข้าเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ในใจเต็มไปด้วยความตื้นตัน อย่าว่าแต่หลายวันต่อจากนี้เลย ต่อให้มาหาท่านทุกวันข้าก็ยินดีทำ”
“…” ผู้เฒ่าซ่งหนังหน้ากระตุกเล็กน้อย
เพ้อเจ้อ!
ด้วยนิสัยของเจ้าเด็กสาวคนนี้ เป็นไปได้หรือว่าเพราะเขาอยู่ระหว่างความเป็นความตายก็เลยนึกระลึกถึงอดีตขึ้นมา
เห็นๆ อยู่ว่าก็เพราะคิดว่าตนเองเอาชนะเดิมพันได้แล้วอยู่เหนือกว่า ยามนี้จึงได้จงใจอยากจะมาวางมาดยกใหญ่ต่อหน้าเขาเสียมากกว่า!
แต่ถึงกระนั้น ผู้เฒ่าซ่งก็เอ่ยคำพูดดังกล่าวไม่ออกอยู่ดี ทำได้เพียงแต่มองซ่งอิงทำทีเหมือนกตัญญู ในใจเขายามนี้เต็มไปด้วยความอัดอั้น สุดท้ายก็ไร้ทางรับมือ จึงพยักหน้าและเอ่ยด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ “มาก็มาเถอะ มาฝึกเป็นเพื่อนข้าสักสองสามวัน อ้อ จริงสิ…นี่ใกล้ฉลองเทศกาลแล้ว เถ้าแก่ของลุงเจ้าก็น่าจะมอบเงินขวัญถุงให้จำนวนหนึ่ง ถึงเวลาคงพอจะทยอยคืนให้เจ้าได้ส่วนหนึ่ง…”