บทที่ 401 จองเวรจองกรรม
ซ่งเสี่ยนเดินจากไปอย่างรีบร้อน ไม่ทันสังเกตเห็นเกี้ยวที่วางอยู่ในมุมหนึ่งของลานบ้านด้วยซ้ำ ฉะนั้นเหล่าผู้บรรเลงดนตรีสี่นายที่นั่งรออยู่ข้างเกี้ยวก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ซ่งเหล่าเกินมองดูซ่งเสี่ยนเดินพ้นประตูออกไป เนื้อตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อยด้วยความโมโห
ชี้นิ้วไปที่แผ่นหลังนั้น ความผิดหวังเพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “ไอ้หลานไม่รักดี แค่ความหมายที่แท้จริงในคำพูดยังแยกแยะไม่ออกเลย!”
เมื่อก่อนหลานชายเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ชาญฉลาดนี่? ไฉนยามนี้จึงกลายเป็นคนโง่เง่าเพียงนี้!
ซ่งอิงเดินออกมาจากเรือนด้านข้างแล้วมองผู้เฒ่าซ่ง “หากท่านนึกเสียใจตอนนี้ จะเรียกเขากลับมาก็ได้ เพียงแต่แม้ขายที่ของบ้านใหญ่จนหมด เอาเงินมารวมกันก็ยังไม่ถึงสามร้อยตำลึงเงินด้วยซ้ำ เกรงว่าท่านคงต้องพาท่านลุงออกไปปล้นชาวบ้านเพื่อรวบรวมเงินแล้วละเจ้าค่ะ”
ซ่งเหล่าเกินถลึงตาและพ่นลมรดหนวดเคราอย่างโมโหในทันใด “เขาอยากไปก็ไปสิ! ข้าก็แค่ไม่เข้าใจว่าตระกูลเผยใส่ยาเสน่ห์อะไรให้เขากิน!”
เมื่อซ่งอิงเห็นผู้เฒ่าซ่งเป็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ท่านปู่ ท่านคิดว่าพี่ใหญ่มีดีตรงไหนหรือ หากท่านเป็นคนตระกูลเผย จะยอมให้หลานสาวตนแต่งงานกับคนตระกูลชาวไร่ชาวนาหรือไม่” ซ่งอิงเอ่ยถาม
ซ่งเหลาเกินตะลึงงัน
นี่หมายความว่าอย่างไร
แต่เมื่อคิดตามคำพูดของซ่งอิง เขาก็เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างจริงๆ
ตระกูลเผยมีบ้านหนึ่งหลังกับร้านขายขนมหนึ่งร้านในตัวอำเภอ แม้ร้านขนมไม่ได้ขายดิบขายดี แต่ก็เป็นร้านเก่าแก่ ร้านค้าข้างๆ กันในซอยก็คอยเกื้อหนุนกันด้วยดี ไม่ว่าอย่างไรรายได้ตลอดปีก็มากกว่าตระกูลซ่งเป็นไหนๆ หรือแม้รายได้ไม่มากมาย แต่เขาก็มีหน้ามีตากว่าตระกูลซ่งอยู่ไม่น้อย…
หากเป็นเขา…
ซ่งเหล่าเกินจำต้องยอมรับว่า คุณสมบัติของซ่งเสี่ยนด้อยกว่าเหล่าบุรุษในอำเภอเป็นไหนๆ เผยซื่ออาศัยความมีหน้ามีตาของร้านขนมได้อย่างสบายๆ เพื่อให้บุตรสาวได้แต่งกับคนในตระกูลที่ดียิ่งกว่านี้
“บ้านที่ท่านซื้อให้เขาในตอนนั้นราคาไม่แพง ทั้งยังไม่ใหญ่โตมาก ครั้งนั้นตระกูลซ่งยังไม่แยกครอบครัวด้วยซ้ำ แม้เขาเป็นหลานชายคนโต แต่ก็มีน้องชายอีกห้าหกคน ในฐานะของคนเป็นพี่ชาย ย่อมมีความกดดันไม่น้อย อีกอย่างในตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในโรงย้อมได้ไม่นาน ไม่มีความสามารถโดดเด่นใดๆ ทั้งนั้น…”
“หลังผ่านการไปมาสู่กับตระกูลเผยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านก็น่าจะมองออกว่าตระกูลเผยรักพี่สะใภ้มาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องเลือกพี่ใหญ่ด้วยเล่า” ซ่งอิงเอ่ย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งเหล่าเกินก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ “นั่นเป็นเพราะอันใดหรือ”
นั่นน่ะสิ เมื่อคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าช่างประหลาดจริงๆ ด้วย
ตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าตระกูลตนมอบสินสอดให้ได้มากพอ มิหนำซ้ำยังซื้อบ้านให้อีกด้วย ซึ่งเท่านี้ก็เป็นอะไรที่ไม่น้อยหน้าแล้ว!
แต่เมื่อย้อนมาคิดดู แม้ซื้อบ้านแล้ว แต่ตอนนั้นสถานภาพของตระกูลซ่งก็ยังต่างกับตระกูลเผยมากอยู่ดี!
“เหตุผลที่เผยเหล่าเอ้อร์ทำอย่างนี้ ไม่ใช่เพิ่งตัดสินใจแค่วันสองวัน ไม่แน่ว่าเหล่าเพื่อนบ้าน สหายคนสนิท ต่างนึกดูถูกตระกูลเผยกันทั้งหมด รู้ว่าคนตระกูลนี้ไม่เอาไหน ตระกูลเผยชื่อเสียงเสื่อมเสีย พี่สะใภ้ย่อมไม่อาจแต่งงานในตระกูลสูงส่งได้ เราอยู่บ้านนอก ไม่ค่อยรู้เรื่องในเมืองนัก ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งสะใภ้เข้าไม่เหมือนการแต่งบุตรสาวออก โดยการแต่งสะใภ้เข้าต้องสนใจนิสัยใจคอของลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามาเสียยิ่งอะไรดี ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญสถานภาพของตระกูลดองเท่าไหร่นัก…”
“เจ้าหมายความว่า ตระกูลเผยคิดว่าตระกูลเราต่ำต้อย ไม่มีสิทธิ์รังเกียจตระกูลพวกเขาอย่างนั้นหรือ” ซ่งเหล่าเกินรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขันเหลือเกิน
ตระกูลซ่งของพวกเขาก็เป็นถึงตระกูลที่ไร้รอยด่างพร้อยเชียวนะ
หากเขารู้สถานการณ์ที่แท้จริงของตระกูลเผย ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมเห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกัน!
“ท่านปู่ แม้ข้าพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ยังมีหลักฐานอ้างอิงอยู่บ้าง แต่ละครั้งที่คนตระกูลเผยมาเยือน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่แสดงท่าทีหยิ่งยโส” ซ่งอิงยิ้มเยาะ “พวกเขาพอใจในตัวพี่ใหญ่ ก็เพราะรู้สึกว่าหลานคนโตจะได้ครอบครองสมบัติ อีกทั้งพวกเขาอาศัยในเมืองมานานหลายปี หากอยากหาคนช่วยสืบความเป็นไปของโรงย้อมก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่นานก็รู้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนชอบความมีหน้ามีตา แค่เอ่ยยกยอปอปั้นเพียงเล็กน้อย พี่ใหญ่ก็รู้สึกว่าตระกูลเผยดีต่อเขาอย่างจริงใจ…”
“ไม่หรอกๆๆ…นี่เป็นการรวมตระกูลไม่ใช่การจองเวรจองกรรมเสียหน่อย จะมีเล่ห์เพทุบายมากเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” ซ่งเหล่าเกินส่ายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บทที่ 402 กฎเกณฑ์
ซ่งเหล่าเกินรู้สึกเพียงคล้ายมีกรงเล็บเสือข่วนลงกลางใจ
“เผยเหล่าเอ้อร์มีลูกชายคนเดียว ปีนี้ก็เพิ่งจะอายุสองสามขวบเองมิใช่หรือ ตอนที่สองตระกูลเป็นดองกัน เด็กคนนั้นยังอายุไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ เด็กเล็กเพียงนี้…ไม่อาจช่วยเหลือค้ำจุนกิจการใดในครอบครัวได้อยู่แล้ว…หากเผยเหล่าเอ้อร์เป่าหูพี่ใหญ่ด้วยถ้อยคำดีๆ มากหน่อย ก็เท่ากับตระกูลเผยจะมีคนช่วยงานเพิ่มอีกคน นี่ช่วยเบาแรงไปได้ตั้งเท่าใด” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งเหล่าเกินได้ยินก็นึกสะดุ้งในใจ
เขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลเผยอยู่บ้าง
เผยเหล่าเอ้อร์ยังมีพี่ชายอีกคน แต่พี่ชายคนนี้มิใช่บุตรชายของหญิงชราเผย หากแต่เป็นบุตรที่เกิดกับอนุภรรยา!
ตามระเบียบปฏิบัติแต่โบราณ บุตรชายคนโตต้องปกครองครอบครัว ดังนั้นร้านจึงตกอยู่ในมือเผยเหล่าต้า เผยเหล่าเอ้อร์ก็นับเป็นเจ้าของร่วม ทว่าอย่างมากก็แค่เสนอวิธีทำการค้า ไม่อาจมีอำนาจตัดสินใจได้
ผู้เฒ่าตระกูลเผยเสียชีวิตไปหลายปีก่อนแล้ว บุตรชายของเผยเหล่าต้าจึงเข้าไปทำงานในร้าน…
เมื่อคิดอย่างนี้…
“บุตรชายของเผยเหล่าเอ้อร์ยังเด็กเพียงนี้ หากรอเขาโต บุตรชายของเผยเหล่าต้าคงได้ดูแลตระกูลต่อแล้ว ถึงตอนนั้นสมบัติของเผยเหล่าเอ้อร์ยิ่งร่อยหรอลงไป ดังนั้นเผยเหล่าเอ้อร์คิดอยากให้หลานเสี่ยนไปทำงานให้เขา ปูทางไว้ให้บุตรชายตนเอง หากช่วยเขาหาเงินได้ด้วยเล็กน้อย เช่นนั้นหญิงชราตระกูลดองก็จะหาเหตุผลในการให้บุตรชายคนรองรับช่วงกิจการต่อได้มากขึ้น” จู่ๆ ซ่งเหล่าเกินก็คิดได้กระจ่างแจ้ง
ซ่งอิงพยักหน้า “ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ละ”
“…” จู่ๆ ซ่งเหล่าเกินพลันรู้สึกว่าเสียแรงที่ตนมีชีวิตอยู่ตลอดหลายปีมานี้ “เช่นนั้นหากให้หลานเสี่ยนแต่งเข้าตระกูลนั้น จะไม่ยิ่งดีต่อพวกเขาหรือ…”
หลานชายของเขาก็ยิ่งได้ใจใหญ่สิ!
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ คนอย่างเผยเหล่าเอ้อร์เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว สิ่งที่เขาอยากได้คือลาโง่ที่แม้ไม่ให้กินหญ้าก็วิ่งได้ไม่หยุดเท่านั้นเอง” ซ่งอิงเอ่ยตอบทันควัน
เมื่อซ่งเสี่ยนกลายเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูลของเขา หากซ่งเสี่ยนแสดงออกอย่างดีงาม เขาก็จะนึกระแวง หากซ่งเสี่ยนแสดงออกอย่างไม่ดี เขาก็จะรู้สึกเสียเปรียบ นี่ก็คือนิสัยของคนเรา
ใครใช้ให้บุตรชายของเขายังเด็กเล่า
ซ่งเหล่าเกินนึกเดือดดาลในใจจนหนวดกระดิกเบาๆ “เช่นนั้นเขาจะเขียนหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อแสดงถึงการรับประกันเรื่องดังกล่าวน่ะสิ”
“ใช่สิเจ้าคะ ตระกูลเผยรู้ว่าท่านรักหลานชายมาก ไม่มีทางเชื่อว่าท่านจะกล้าไล่เขาออกจากตระกูลจริงๆ ดังนั้นเขาย่อมยอมเขียนหนังสือทางการก็เพียงเพื่อข่มขู่ท่านไปอย่างนั้น หากซ่งเสี่ยนได้เงินสามร้อยตำลึงเงินกลับมายังตระกูลเผย เขาย่อมยินดีทำให้เป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว” ซ่งอิงเอ่ยพูด
เมื่อพูดจบ ซ่งอิงก็รินน้ำชาให้ตนเองดื่ม
ผู้เฒ่าซ่งสงบอารมณ์อยู่พักหนึ่ง
“เจ้า เจ้าเด็กคนนี้…ไปเรียนรู้อะไรมาจากทางด้านนั้นแล้วรึ” ซ่งเหล่าเกินอดถามขึ้นมาไม่ได้
ที่นั่นที่เขาหมายถึง แน่นอนว่าเป็นจวนโหวนั่นเอง
เขาจำได้ว่าหลานสาวตนไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมเพียงนี้ ตอนที่ยังไม่ได้ไปจวนโหว หญิงวัยกลางคนที่มีใจคิดร้ายบางส่วนจงใจพูดจาเหน็บแนมนาง นางยังฟังไม่ออกเลย แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงได้รู้ความนึกคิดของตระกูลเผยอย่างทะลุปรุโปร่ง!
แท้จริงแล้วซ่งอิงเข้าใจทุกเรื่อง เพียงแต่นางคร้านจะพูดก็เท่านั้น
ตอนนี้หากไม่ใช่เพราะอยากทำให้ผู้เฒ่าซ่งยืนหยัดแน่วแน่เสียหน่อย นางเองก็คร้านอธิบายเสียยาวเหยียด เพราะอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนที่ถูกตระกูลเผยหลอก
“ท่านปู่อยากรู้หรือเจ้าคะ?” ซ่งอิงยิ้มตาหยีถามกลับ
ผู้เฒ่าซ่งจ้องมองนางด้วยแววตาหนักแน่นปราดหนึ่ง
“ข้าอยู่ที่นั่นสองปี สิ่งได้เรียนรู้มันมากมายอย่าบอกใครเชียว หลังสรุปออกมาก็ได้ความสั้นๆ ว่า กฎเกณฑ์” ซ่งอิงยังคงยิ้มแย้มเช่นเดิม
ซ่งเหล่าเกินพลันตกใจ มักรู้สึกว่าไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่นางเอ่ยถึงเพียงนั้น
ตระกูลใหญ่โต แม้แต่บุตรสาวแท้ๆ ของตนยังทอดทิ้งได้ลงคอ ภายในยังมีเรื่องซับซ้อนอะไรก็ยากจะพูดได้ ตอนที่เด็กคนนี้อยู่ที่นั่น ไม่รู้เช่นกันว่าได้เจอะเจออะไรมามากน้อยเท่าใด
“เจ้าเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้มากเพียงนี้ ก็คงเดาออกเช่นกันว่าในภายภาคหน้าพี่ใหญ่เจ้าจะเป็นเช่นไรสินะ” ซ่งเหล่าเกินนึกหนักหน่วงในใจ เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
การให้ซ่งเสี่ยนเป็นเขยที่แต่งเข้าไปอยู่ตระกูลภรรยาคือความนึกคิดของซ่งอิง เช่นนั้น…ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร นางน่าจะรู้ดีที่สุด
“เจ้าช่วยบอกข้ามาให้สุขใจหน่อยสิว่า เจ้าหลานชายคนนี้ยังเป็นคนของข้าอยู่หรือไม่ เขายังเปลี่ยนนิสัยได้หรือไม่” ซ่งเหล่าเกินเอ่ยถามอีกครั้ง