ตอนที่ 389 ไม่ขอสู้เพื่อให้ได้หมั่นโถว ขอสู้เพื่อบรรลุเป้าหมาย
ผู้เฒ่าซ่งได้ยินดังกล่าวก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ซ่งฝูซานก็ตะลึงงันเช่นกัน
“ท่านปู่ ท่านคิดว่า พี่ใหญ่อยากจะเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงด้วยใจจริงหรือแสร้งพูดไปเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” ซ่งอิงเอ่ยถามอีกครั้ง
ซ่งเหล่าเกินสงบอารมณ์ขบคิดอย่างละเอียด “บุรุษใต้หล้านี้ จะมีก็แต่บุรุษที่มีความรักอันลึกซึ้งโดยแท้จริง หรือตระกูลของภรรยามีทายาทน้อยคนเท่านั้นจึงจะยอมแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง นอกเหนือจากสองปัจจัยนี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง”
“ก็ใช่น่ะสิเจ้าคะ ลูกผู้ชายรักในศักดิ์ศรี เรื่องอย่างการที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงประเภทนี้จะเป็นความปราถนาโดยแท้จริงได้อย่างไรกันเล่าเจ้าคะ” ซ่งอิงหัวเราะเบาๆ
“แต่…แต่นี่หากยกให้ไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นเจ้าเด็กนี่จะไม่กลายเป็นของคนอื่นแล้วหรอกหรือ” ซ่งฝูซานกล่าว
“ท่านลุง แม้ท่านไม่จับคนขึ้นเกี้ยวแบกไปให้ถึงที่ คนผู้นี้ก็เป็นคนตระกูลเผยไปแล้วละเจ้าค่ะ” ซ่งอิงเอ่ยด้วยความอ่อนใจ “ตระกูลเผยวางมาดแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ ก็มิใช่เพราะเห็นว่าพวกเราให้ความสำคัญกับพี่ใหญ่หรอกหรือ หากเราแสดงท่าทีไว้ชัดเจนแล้ว เช่นนั้นภายภาคหน้า ท่าทีที่ตระกูลเผยปฏิบัติต่อพี่ใหญ่ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกันใช่หรือไม่ล่ะเจ้าคะ ตอนนี้เขาเป็นลูกเขย ภายภาคหน้ากลายเป็นภรรยาที่แต่งเข้าตระกูล จะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ ถึงตอนนั้นเขาก็จะรู้เองว่า แท้จริงแล้วตระกูลเผยหรือตระกูลซ่งกันแน่ที่ดี”
“หากตระกูลเผยปฏิบัติต่อเขาโดย…ไม่เปลี่ยนไปเล่า” ซ่งฝูซานกล่าว
ซ่งอิงยังไม่ทันเอ่ยวาจา ผู้เฒ่าก็พูดขึ้นมาก่อนเสียแล้ว “เช่นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดี เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าได้เจอตระกูลดองที่ดี ได้แต่งสตรีที่ดีงามคนหนึ่ง! จากนี้เป็นต้นไป พวกเราก็ไม่ต้องคอยห่วงชีวิตของเขาอีกหลายสิบปีข้างหน้าแล้ว และควรดีใจแทนเขา!”
“…” ซ่งฝูซานยังคงตะลึงงัน
ดังนั้น…
เขาต้องมองบุตรชายคนโต เป็นเหมือนบุตรสาวที่แต่งออกเรือนอย่างนั้นหรือ
จู่ๆ ก็จะขาดทายาทไปหนึ่ง เขาทำใจยอมรับไม่ค่อยได้เลยน่ะสิ
แต่ถึงกระนั้น ที่เอ้อร์ยาพูดก็ถูก
ต้องเป็นคนรุก จะเอาแต่ตั้งรับไม่ได้เด็ดขาด…
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ไม่ขอสู้เพื่อให้ได้หมั่นโถว ขอสู้เพื่อบรรลุเป้าหมาย[1] ตระกูลเผยบีบคั้นตระกูลซ่งเพียงนี้ จะยอมให้พวกเขาได้ใจไม่ได้เด็ดขาด!
“เอ้อร์ยา เห็ดหลินจือนั่น…” ผู้เฒ่านึกละอายใจ “คงยากจะทวงกลับคืนมาแล้วละ”
“นั่นเป็นสินเดิมที่เราทุกคนมอบให้พี่ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องปิดบังเช่นกัน ตระกูลเผยน่าเวทนาถึงเพียงนี้ บุตรชายเพียงคนเดียวของเผยเหล่าเอ้อร์ก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ตระกูลเราให้สินเดิมแก่พี่ใหญ่มากหน่อยจะเป็นไรไป”
ซ่งอิงคลี่ยิ้ม “ท่านปู่ ตระกูลเผยเห็นแก่ทรัพย์สินครอบครัวเรา เช่นนั้นตระกูลเรา ไยจะเห็นแก่ทรัพย์สินของพวกเขาบ้างไม่ได้เล่าเจ้าคะ?”
“ใครอยากได้ของของพวกเขากัน!” ซ่งเหล่าเกินปฏิเสธทันควัน
“พวกเราไม่เอา แต่ต้องทำให้ตระกูลเผยคิดว่าพวกเราจะเอา ด้วยการเที่ยวป่าวประกาศกับคนนอกว่า บุตรชายของเผยเหล่าเออร์อายุสั้น ท่านคิดว่าในใจพวกเขาจะไม่เกลียดชังกันหรือ และเมื่อถึงตอนนั้นจะไม่คิดว่าพี่ใหญ่มีเจตนาแอบแฝงได้หรือ พวกเราเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาผู้ต่ำต้อย ตระกูลเผยจะไม่มองว่าพวกเรามักใหญ่ใฝ่สูง จากนั้นก็อยากสลัดเราทิ้งหรอกหรือ?”
“โดยเฉพาะ…บัดนี้บ้านใหญ่ เพื่อสรรหายามาให้ท่านจึงหมดเนื้อหมดตัว จากสินเดิมอันน้อยนิดเพียงเท่านั้นของพี่ใหญ่ จะมีอะไรมากพอทำให้พวกเขาพึงพอใจได้อีกหรือ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงรู้สึกว่า ตนเหมาะรับมือกับศึกในตระกูลจริงๆ
ได้ทั้งความสนุกและเร้าใจ
ผู้เฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ยังไม่ทันพยักหน้าตอบ เหยาซื่อซึ่งอยู่ข้างนอกก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้าเห็นด้วย! ก็ทำอย่างนี้ละ!”
“เจ้าพูดแทรกอันใดของเจ้า…” ซ่งฝูซานรีบกล่าวขึ้นมาทันที
เขายังคงรู้สึกไม่ดี อย่างไรเสีย ไม่ว่าอย่างไร ก็จะเท่ากับไม่มีบุตรชายแล้ว
“ข้าไม่เอ่ยแทรกขึ้นมาแล้วเจ้าจะมีวิธีการใดหรือ เจ้าตัดสินใจได้หรือไม่! ครั้งแรกที่ต้าหลางขโมยของก็ไม่ได้เห็นแก่ความเป็นพ่อแม่ของเราด้วยซ้ำ ครั้งที่สองก็ยังไม่เห็นแก่หน้าพวกเราอีก! เห็ดหลินจือบทเขาจะหยิบไปก็หยิบไปเสียดื้อๆ ทั้งที่รู้ว่าพวกเราใช้จ่ายเงินกันไปแล้ว ทว่าเขาไม่นึกเสียดายแทนเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังเหยียบคนหัวหงอกอย่างพวกเราไปเอาใจตระกูลเผยอีก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาไปเป็นลูกหลานที่แสนดีของตระกูลเผยเสียเถอะ! ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตระกูลเผยจะเชิดชูเขาไปทั้งชีวิตหรือไม่!”
“อีกอย่าง วันนี้เขาอยากได้สามร้อยตำลึง แม้พวกเราขายเรือน ขายที่ และเอาดาบไปพาดบนคอเอ้อร์ยาเพื่อขู่เอาเงินมาให้เขา หากพรุ่งนี้เขายังไม่รู้จักพอ ยังอยากได้เงินอีกเล่า!? ท่านพ่อพูดถูก เราไม่ควรตามใจเขาจนเสียคน!” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่โมโหขึ้นมาจริงๆ
ถึงอย่างไรบุตรชายนางก็เพียงไปอยู่กับคนอื่น ไม่ได้ถึงกับล้มหายตายจากเสียหน่อย
นางจึงทำใจยอมรับได้!
ตอนที่ 390 อยู่ได้นานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
ความแตกต่างที่สุดระหว่างซ่งฝูซานกับผู้เฒ่าก็คือ…เขาไม่อาจควบคุมภรรยาได้
คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันไปมา หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งเหล่าเกินก็พยักหน้า “ที่ภรรยาเหล่าต้าพูดก็มีเหตุผล ตระกูลเผยละโมบโลภมากไม่มีที่สิ้นสุด เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเต็ม ก็ทำตามที่ว่าแล้วกัน! พวกเจ้าจำเอาไว้ให้ดี จากวันนี้เป็นต้นไป เมื่อใดก็ตามที่มีคนถาม ก็ให้ตอบอย่างที่เอ้อร์ยาบอก!”
เจียวซื่อรีบพยักหน้ารับคำ ไม่ได้มีท่าทีไม่ยินดีแต่อย่างใด
จำเป็นต้องระบายความขุ่นเคืองออกจากปากเสียบ้าง!
เงินเก็บของครอบครัวนางหมดเกลี้ยงไปเพราะเจ้าเด็กนิสัยเสียผู้นั้น แค้นนี้ต้องชำระให้จงได้!
เสี่ยวเหยาซื่อพยักหน้าเป็นอันเข้าใจได้เช่นกัน นึกกระหยิ่มยิ้มย่องและคิดอยู่ในใจว่า เมื่อสามีนางกลับมา จะต้องถ่ายทอดคำพูดเหล่านี้ให้เขาฟังเสียหน่อย หม่านซานไม่ถูกชะตากับต้าหลางมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ว่าเขาจะต้องดีใจเป็นพิเศษเช่นกัน
ไม่นานนัก ทุกคนก็แยกย้ายไปทำกิจของตนเอง
ผู้เฒ่ามองเห็นชิงเหลียน ยังไม่ลืมที่จะเรียกเข้ามาขอบคุณยกใหญ่ ทั้งยังบอกกับคนตระกูลซ่งว่า นี่ก็คือคนดีที่ช่วยตามหาเหลนหลินเมื่อครั้งก่อนนั้น ทั้งยังออกปากชวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ปีศาจกบไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
กระทั่งตกเย็น
ผู้เฒ่าซ่งจึงได้หันเหความสนใจไปยังตัวหม่าซื่อ
หม่าซื่อตัวสั่นเทาเล็กน้อยทันทีที่สบเข้ากับสายตาของผู้เฒ่าซ่ง นางไม่กล้าหืออือใดๆ ทั้งสิ้น
ณ ขณะนี้ ซ่งเหล่าเกินพลันรู้สึกหวงแหนชีวิตขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบมิได้
เมื่อก่อนเขาคิดว่า มีอายุอยู่มาจนปูนนี้ ทำงานหาเงินไปวันๆ และได้เก็บหอมรอมริบเล็กๆ น้อยๆ ตอนยังมีชีวิตเอาไว้ให้บรรดาลูกหลานก็พอแล้ว…
แต่ครานี้ เขารู้แล้วว่า เท่านั้นมันยังไม่เพียงพอ
เขาจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ อยู่ได้นานเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
เขาจำเป็นต้องตายหลังหญิงแก่ผู้นี้ให้จงได้
แต่งภรรยาไร้คุณธรรม มีแต่ทำให้ตระกูลเสียหายถึงสามรุ่น โชคดีที่เขายังกุมอำนาจเหนือภรรยาแก่ผู้นี้ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มีเพียงต้าหลางคนเดียวที่ออกนอกลู่นอกทาง แต่ลูกหลานคนอื่นก็คงพลอยเสียผู้เสียคนไปด้วย
หากเขามาด่วนตายจากไป หม่าซื่อคงไม่ต่างจากเหล่าต้าที่แม้จนก็แสร้งว่ามั่งมี ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงตอนนั้นทั้งครอบครัวคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในแต่ละวันเป็นแน่
วันแรก มีแขกมาเยี่ยมซ่งเหล่าเกินที่บ้านตระกูลซ่งไม่ขาดสาย
“ฮะ ป่วยได้อย่างไรน่ะหรือ โถๆ นี่…นี่ก็เพราะว่าผู้เฒ่าของพวกเราจิตใจดีเกินไปน่ะสิ! เมื่อวานได้รู้ว่าบุตรชายของเผยเหล่าเอ้อร์ป่วยเป็นอะไรสักอย่างที่คงอยู่ได้อีกไม่นาน หรือไม่ก็ดวงชะตาไม่ดีหรืออย่างไรนี่ละ ตระกูลเผยจึงอยากให้บุตรสาวตนไปเป็นหัวหน้าครอบครัว พ่อเฒ่าจึงไตร่ตรองอยู่นานสองนาน ก่อนจะกลั้นใจยอมให้ต้าหลางไปกับเขาเสีย”
“แค่ไปอยู่ตระกูลเผยหรือ เช่นนั้นเข้าใจผิดแล้ว พ่อเฒ่าบอกว่าตระกูลเผยดีกับต้าหลาง ทางตระกูลนั้นต้องการให้บุตรสาวไปรับช่วงดูแลครอบครัวต่อ เช่นนั้นจะกลับไปก็ไม่ว่าอะไร ทางตระกูลเราลูกหลานมากมาย ขาดไปสักคนเดียวจะเป็นอันใดไป ดังนั้น…จะเป็นเขยที่แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิงก็เอาเถอะ…” เจียวซื่อพูดอย่างออกอรรถรส
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อนัก
ใครๆ ก็รู้ว่าซ่งเหล่าเกินให้ความสำคัญกับซ่งต้าหลางอย่างยิ่งนี่? บทจะยกให้ก็ยกให้ง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือ?
แต่เมื่อมองดูทางด้านตระกูลซ่งนี้อีกครั้ง…
ซ่งฝูซานทอดถอนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากบ่นว่าลูกชายคนนี้เลี้ยงเสียเปล่าเสียแล้ว
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่นอนอยู่บนเตียงอย่างกับคนนอนไม่เต็มอิ่ม
ผู้เฒ่าซ่งก็พร่ำเอ่ยว่าต้องมีเมตตาต่อผู้อื่น ลูกหลานมีชีวิตอยู่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น…
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครบ้างยังจะไม่เชื่ออีก
ส่วนตระกูลเผยอยู่ไกลถึงตัวอำเภอ ย่อมไม่รู้ข่าวคราวของตระกูลซ่งเป็นธรรมดา ซ่งเสี่ยนคิดไว้ดิบดีแล้วเช่นกันว่า ปล่อยให้บิดาและมารดาอารมณ์เย็นลงก่อนสักระยะ ด้วยเหตุนี้จึงหลบอยู่ที่บ้านตระกูลเผยไม่ออกไปไหน รวมถึงไม่ไปร้านค้าด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีอาหารการกินไม่อดอยาก
เขาก็แค่รอให้บิดามารดาส่งเงินมาให้ก็พอแล้ว
ส่วนเรื่องอาการป่วยของท่านปู่…
ต้องมีการแต่งเรื่องหลอกเขาแน่ๆ กลัวว่าเขาจะขอเงินไปมากถึงขั้นต้องแกล้งป่วยแล้ว แต่คิดว่าเขาโง่อย่างนั้นหรือ ยาอะไรต้องจ่ายเงินมากมายเพียงนั้น เขาไม่เชื่อหรอก!
ในยามที่ซ่งเสี่ยนไม่รู้เรื่องรู้ราว คนตระกูลซ่งถึงขั้นหาคนทำชุดแต่งงานไว้เรียบร้อยแล้ว
ชุดแต่งงานแบบเจ้าบ่าว แต่มีผ้าคลุมศีรษะ หากซ่งเสี่ยนกล้ากลับบ้านมาขอเงินอีก พวกเขาก็กล้าที่จะจับคนขึ้นเกี้ยวเสียเลยเช่นกัน
ในตอนแรกผู้เฒ่าซ่งยังปรากฏแววลังเล แต่เมื่อเห็นท่าทีของคนในหมู่บ้านก็รู้สึกว่านี่เป็นวิธีการที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ป้ายสีตระกูลเผย แต่ยังคงไม่นำมาซึ่งคำครหาให้ตนเองรู้สึกขัดหูขัดตา
ส่วนลูกหลานตระกูลซ่ง ก็พบความเปลี่ยนแปลงของผู้เฒ่าซ่งแล้วเช่นกัน
ในเช้าตรู่ของแต่ละวันก็จะไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้าน คล้ายต้องการบำเพ็ญตบะเพื่อกลายเป็นเซียน ชวนตระหนกตกใจไม่น้อย พวกเขาทนดูอยู่หลายวันจนทนไม่ไหว จึงได้ไปขอให้ซ่งอิงมา
ตอนนี้ผู้เฒ่าฟังคำพูดของนางและไม่มีปากมีเสียงกับนาง ดังนั้นมีเพียงซ่งอิงที่กล้าไปถามเขาว่าเป็นอะไรไป
“ท่านฝึกตนเป็นเซียนอยู่หรือเจ้าคะ” ซ่งอิงนั่งขัดสมาธิพลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
[1] (“不争馒头争口气) เป็นคนต้องเชื่อมั่นในตนเอง อย่าได้เกรงกลัวอำนาจและการข่มขู่ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งคนอื่นว่ากล่าวเราว่าทำเรื่องที่ไม่ดี เราก็ยิ่งต้องทำให้ดี!