ตอนที่ 1905 เพลิงพรหมเริงระบำ
หลังจากเงียบเชียบไปช่วงสั้นๆ ทั้งที่นั้นก็ฮือฮาไปหมด
หลังจากเงียบเชียบไปช่วงสั้นๆ ทั้งที่นั้นก็ฮือฮาไปหมด
ซูมู่หาน แพ้แล้ว!
อัจฉริยะชั้นเลิศที่ตั้งแต่เด็กก็เผยความโดดเด่น ถูกเจ็ดสำนักใหญ่แย่งชิงตัว สำแดงความสง่างามที่เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินในการต่อสู้ก่อนหน้า
ตัวเขาดุจดวงตะวัน ฉายเด่นเหนือใต้หล้า!
แต่สุดท้าย เขายังคงแพ้แล้ว
ไม่มีใครเห็นชัดว่าในการประมือครั้งสุดท้ายซูมู่หานแพ้ได้อย่างไร แต่ก็เพราะเป็นเช่นนี้ถึงยิ่งน่าตระหนก
จินตู๋อีคนนั้นแข็งแกร่งเพียงไหนกันแน่
อาจจะมีเพียงซูมู่หานที่ได้ประมือกับเขาจริงๆ ถึงรู้ซึ้งกระมัง
“หนำใจ หนำใจจริงๆ… ข้าคนแซ่ซูฝึกปราณถึงตอนนี้ คิดไปเองว่าผู้ที่สู้ด้วยได้ในแคว้นเมฆามีเพียงหยิบมือ แต่ตอนนี้ถึงพบว่าหนทางมหามรรคมีสีสันกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มาก”
บนสนามประลองซูมู่หานเผยสีหน้าทอดถอนใจ “พี่จิน สำหรับข้าแล้วศึกนี้เทียบได้กับการขัดเกลาที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่ง แม้พ่ายแพ้ในใจข้าก็ปรีดานัก ขอบคุณมาก”
เขากุมมือคารวะอย่างจริงใจ ท่าทางยินดีจากใจจริง
คนใหญ่คนโตบางส่วนยังหน้าเปลี่ยนสี
ได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แต่ไม่ท้อใจ กลับมีปณิธานและความห้าวหาญเช่นนี้ การแสดงออกของซูมู่หานทำให้พวกเขาเองก็ชื่นชมไม่หยุด
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
ซูมู่หานหนำใจนัก แต่ศึกนี้สุดท้ายก็ยังไม่ถึงกับหนำใจเขา
ความรู้สึกนี้ชอบกลนัก
อาจะเป็นเพราะสำหรับซูมู่หาน ศึกนี้เรียกได้ว่าถึงขีดสุดแล้ว ต่อให้พ่ายแพ้ก็ได้ซึมซับประสบการณ์และหยั่งรู้ไปมาก
แต่สำหรับหลินสวินกลับไม่มีอะไรน่าเอ่ยถึง สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การลิ้มลองก็อาจจะมีแค่เขตแดนมรรค ‘สุริยันฉายเด่น’ ที่ซูมู่หานครอบครอง
……
ศึกแรกของการแข่งขันสิบผู้แข็งแกร่ง จินตู๋อีได้รับชัยชนะ!
เมื่อหลินสวินเดินลงมาจากสนามประลองก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้นทันที ไม่ว่าใครต่างก็เกิดความรู้สึกเดียวกันในใจ
ขีดจำกัดที่แท้จริงของจินตู๋อีคนนี้… อยู่ที่ไหนกันแน่
จะมีใครสั่นคลอนเขาได้อย่างแท้จริงหรือไม่
ไม่ว่าอย่างไร หลังจากศึกนี้จินตู๋อีก็กลายเป็นหนึ่งใน ‘หกผู้แข็งแกร่ง’ มีสิทธิ์ไปเข้าร่วมงานชุมนุมถกมรรคแล้ว!
ต่อไปสิ่งที่รอเขาอยู่ ก็คือการช่วงชิง ‘สามอันดับแรก’!
……
รอบที่สอง ลู่ตู๋ปู้สู้กับโหยวเทียนซิง
ลู่ตู๋ปู้ชนะ โหยวเทียนซิงแพ้
ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่คราวนี้สร้างความกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วงให้โหยวเทียนซิงอีกครั้ง
แต่เขายังมีโอกาสครั้งสุดท้ายในการชิงสิบอันดับแรก ยังไม่ได้ถูกคัดออกจากการแข่งขันโดยสิ้นเชิง นี่ยังถือว่าโชคดีในความโชคร้าย
รอบที่สาม อู่หวงสู้กับหวังถู
ศึกนี้เรียกได้ว่าเกิดอันตรายไม่ว่างเว้น ดุเดือดหาใดเทียบ ดึงดูดความสนใจของทั้งที่นั้น
อู่หวงพลังต่อสู้เหนือโลกา องอาจหาใดเทียบ ลักษณะการต่อสู้พิสดารสุดหยั่ง ประหนึ่งเทพสังหารที่เดินออกมาจากชายขอบรัตติกาลผู้หนึ่ง แข็งแกร่งจนทำให้ทั้งที่นั้นสั่นสะท้าน
ด้านหวังถูที่รูปลักษณ์เหมือนเด็ก แบกกระบี่ยักษ์ไว้ข้างหลังก็แกร่งกล้าจนพาให้คนตะลึงอ้าปากค้าง มรรคกระบี่ของเขาทรงพลังน่าสะพรึงกลัว เป็นมรรคที่พลิกผันหยินหยาง แปรผันถึงที่สุด
ยามทั้งสองประมือกัน คนใหญ่คนโต ณ ที่นั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่ว่างเว้น แต่พวกเซี่ยอวี่ฮวา ลู่ตู๋ปู้ต่างสีหน้าเคร่งเครียด
การคัดเลือกดำเนินมาถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนไม่เก็บงำอีกแล้ว สำแดงวิชาต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเลิศล้ำออกมา
ภาพเช่นนั้นใช้คำว่าสะท้านโลกมาบรรยายได้โดยสมบูรณ์
แต่สุดท้าย หวังถูก็พ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย!
แม้มรรคกระบี่ของเขาจะกร้าวแกร่งยิ่งยวด แต่พลังของอู่หวงยังกล้าแข็งกว่าเล็กน้อย
ตอนที่แพ้ ดวงหน้าเล็กอ่อนเยาว์ของหวังถูเต็มไปด้วยความอึมครึม ออกจากสนามประลองไปโดยไม่พูดสักคำ เห็นได้ชัดว่าในใจไม่ยินยอม
ด้านอู่หวงกลับยิ้มหยันส่ายหัว
หลังจากศึกนี้ อู่หวงก็เข้าไปอยู่ในหมู่หกผู้แข็งแกร่งได้อย่างราบรื่น มีสิทธิ์เข้าช่วงชิงสามอันดับแรก
รอบที่สาม เซี่ยอวี่ฮวาสู้กับกุยซานสิง
เซี่ยอวี่ฮวาเป็นบุคคลในตำนานของลัทธิเทพดาราเมฆคนหนึ่ง บุคลิกยากจับต้องดุจภาพฝัน สง่างามเหนือโลกา ที่หายากก็คือพรรสวรรค์ล้ำเลิศ
กิตติศัพท์ของนางเลื่องลือทั่วแคว้นเมฆาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
ส่วนกุยซานสิง เป็นผู้สืบทอดสายตรงของหอกระบี่เอกปฐม ศิษย์แห่งจักรพรรดิ ผู้ฝึกกระบี่ระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ในการคัดเลือกรอบที่สองอยู่อันดับหก
ว่าด้วยชื่อเสียง รากฐานพลัง หรือพลังต่อสู้ล้วนไม่ด้อยกว่าคนอื่น
การประลองระหว่างพวกเขาก็ดึงดูดให้ทั้งที่นั้นจับตามอง
แต่ที่ทำให้ทุกคนสะท้านก็คือ ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้นกุยซานสิงก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอ แต่เป็นเพราะพลังที่เซี่ยอวี่ฮวาสำแดงออกมาน่าตะลึงเกินไป
เขตแดนมรรค ‘แหล่งสถานยอดยุทธ์’ ที่นางครอบครองสำแดงโลกแห่งการฝึกยุทธ์อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งออกมา วิชาลับฝึกยุทธ์นับหมื่นพันแผ่พุ่งอยู่ในนั้น ไม่ว่ากุยซานสิงจะต้านทานหรือโต้กลับอย่างไรก็จะถูกกำราบและตีพ่ายทุกครั้งไป!
ในที่สุดกุยซานสิงก็ไม่อาจไม่ยอมแพ้เอง
และก็เป็นศึกนี้ที่ทำให้เซี่ยอวี่ฮวากลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้น คนใหญ่คนโตบางคนยังสูดหายใจเย็น หวาดผวากับความสง่างามของนาง
ในช่วงเวลาต่อมาก็มีการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าดำเนินบนสนามประลองเก่าแก่นั้น
บ้างสมน้ำสมเนื้อกัน ดุดันหาใดเทียบ
บ้างอันตรายสุดหยั่ง ชวนระทึกใจ
จนกระทั่งในที่สุด รายชื่อของหกผู้แข็งแกร่งก็ได้รับการคัดเลือก ได้แก่หลินสวิน ลู่ตู๋ปู้ อู่หวง เซี่ยอวี่ฮวา เถิงอี๋เฉิน เหลิ่งซิวเจีย
ในกลุ่มนี้เถิงอี๋เฉินมาจากเขาวิญญาณประกายหงส์หนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ เป็นลูกหลานเผ่าเถาวัลย์ทองดึกดำบรรพ์ มีพรสวรรค์ประหลาด รากฐานทรงพลัง
เหลิ่งซิวเจียมาจากสำนักธรรมคานาอัน เป็นผู้ฝึกฌานคนหนึ่งที่ศักยภาพแกร่งกล้า มีกายเหล็กกล้าไม่ทลาย
“พวกเจ้าหกคนจะจับฉลากอีกครั้งหนึ่ง เพื่อคัดเลือกสามคนแรก”
ก้วนซวียืนขึ้นมาแล้วเอ่ยปากประกาศ “อีกหกคนที่แพ้ก็ต้องจับฉลากเพื่อคัดเลือกอันดับที่แปด เก้า และสิบเช่นกัน”
เขาหยุดไปแล้วเอ่ยต่อว่า “จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่จับฉลากโชคดีได้ไม่ต้องเข้าคัดเลือก อยู่อันดับเจ็ดได้เลย”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งที่นั้นก็งุนงง
จินเทียนเสวียนเยวี่ยนิ่วหน้าเอ่ย “ผู้อาสุโส ข้ายินดีทิ้งฉลากโชคดีนี้ แล้วอาศัยพลังต่อสู้ของตัวเองไปชิงสิบอันดับแรกเสียดีกว่า”
ก้วนซวีพูด “นี่ก็คือโชค กฎกติกาไม่อาจไม่ทำตาม เจ้าจับฉลากโชคดีได้ สามารถเข้าไปอยู่ในอันดับเจ็ดทันที แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงไม่มีโอกาสเข้าคัดเลือกต่อ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกำลังจะพูดอะไรอีกก็ถูกก้วนซวียับยั้ง
กฎก็คือกฎ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
นี่ทำให้จินเทียนเสวียนเยวี่ยหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง บางทีการได้อันดับเจ็ดทันที สำหรับคนอื่นก็เป็นเกียรติที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งแล้ว
แต่สำหรับนาง อันดับนี้กลับไม่อาจทำให้นางพอใจได้ ทว่าเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว นางก็ทำได้เพียงรับการจัดแจงเช่นนี้
ต่อมาก็เป็นช่วงจับฉลาก
ที่เริ่มขึ้นก่อนคือการช่วงชิงอันดับแปด เก้า และสิบ
ซูมู่หานสู้กับโหยวเทียนซิง
หวังถูสู้กับกุยซานสิง
เวินจวิ้นไจสู้กับอวี้เสี่ยวเฟิง
สุดท้ายหลังจากผ่านการประลองครั้งแล้วครั้งเล่า หวังถูอยู่อันดับแปด ซูมู่หานอยู่อันดับเก้า เวินจวิ้นไจอยู่อันดับสิบ
โหยวเทียนซิง กุยซานสิงและอวี้เสี่ยวเฟิงถูกคัดออกจากการแข่งขัน
ณ ตอนนี้ รายชื่อสิบอันดับแรกประกาศออกมาโดยสมบูรณ์แล้ว!
ที่ควรค่าแก่การพูดถึงก็คือ เวินจวิ้นไจที่ได้อันดับสิบ มาจากสำนักยุทธ์เสวียนจี
……
“ตอนนี้เริ่มการชิงชัยสามอันดับแรก!”
เมื่อเสียงของก้วนซวีเงียบลง พวกหลินสวินทั้งหกก็จับฉลากทีละคน
หลินสวินจับได้เหลิ่งซิวเจีย
ลู่ตู๋ปู้จับได้เถิงอี๋เฉิน
อู่หวงจับได้เซี่ยอวี่ฮวา
เมื่อได้เห็นคู่ประลองเช่นนี้ ทั้งที่นั้นต่างก็ผินหน้ามอง เต็มไปด้วยความตั้งตาคอย
หกคนนี้ แต่ละคนต่างมีความแข็งแกร่งยิ่งยวด ถือเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับเดียวกัน ทั้งยังเป็นตัวแทนของมาตรฐานสูงสุดของระดับมกุฎราชันในแคว้นเมฆา
ตอนนี้ สามอันดับแรกก็ปรากฏขึ้นในหมู่พวกเขาหกคน ใครจะไม่สนใจได้
“รอบที่หนึ่ง จินตู๋อีสู้กับเหลิ่งซิวเจีย!”
บนสนามประลอง หลินสวินลอยล่องแผ่วพลิ้ว สายตาทอดมองเหลิ่งซิวเจียที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไกลๆ
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่เงาร่างผอมบาง กลิ่นอายเปี่ยมชีวาอิ่มเอิบ นัยน์ตาดุจทะเลลึก พลังกฎเกณฑ์คล้ายงูมังกรเป็นริ้วๆ แผ่ออกมาจากร่าง
เหลิ่งซิวเจียมาจากสำนักธรรมคานาอัน ฝึก ‘คัมภีร์คลื่นสยบนภา’ ครอบครองเขตแดนมรรค ‘เพลิงพรหมเริงระบำ’ ในการต่อสู้คัดเลือกก่อนหน้านี้ สำแดงพลังต่อสู้โดดเด่นเป็นที่สุดออกมา
“สหายยุทธ์จิน ข้ารู้ว่าเจ้าออมมือมาโดยตลอด ถ้าทำได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้พลังที่แท้จริงในตอนต่อสู้”
เหลิ่งซิวเจียสีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วบริสุทธิ์ “เช่นนี้ต่อให้แพ้แล้ว ข้าก็จะไม่เสียใจเช่นเดียวกับสหายยุทธ์ซูมู่หาน”
ทั้งที่นั้นเงียบเชียบ ใครก็คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเปิดศึกเหลิ่งซิวเจียก็ขอร้องแบบนี้เสียแล้ว
นี่จะหมายความว่าลึกๆ ในใจเขาไม่ค่อยคาดหวังว่าจะเอาชนะจินตู๋อีได้อยู่แล้วใช่หรือไม่
หลินสวินก็อึ้งไปเช่นกัน คิดๆ แล้วเอ่ยว่า “ได้”
เหลิ่งซิวเจียยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าจะแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดทันที ขอให้สหายยุทธ์ชี้แนะด้วย”
เมื่อเสียงเงียบลง
ตูม!
บุคลิกของเหลิ่งซิวเจียเปลี่ยนไปทันที ราวกับพระโพธิสัตว์ผู้น่าเกรงขามองค์หนึ่งแปลงกายเป็นร่างพระเวทเหล็กกล้าที่จับจ้องสรรพชีวิตด้วยความโกรธองค์หนึ่ง!
รอบกายเขามีเงามายาของโลกเพลิงเริงระบำปรากฏออกมา ภายในมีเสียงแห่งสวดท่องธรรม แสงเงาสามพันมุนินทร์อุบัติขึ้นกำราบสิบทิศ แสงธรรมสาดส่องไปทั่ว
ชั่วขณะเดียวบนสนามประลองก็อบอวลไปด้วยแสงธรรมสีทองอันไร้ขอบเขต ตระการตาไม่มีที่สิ้นสุด!
กลิ่นอายน่ากลัวไร้รูปร่างแผ่ขยายดั่งกระแสธาร
พลังเช่นนั้น ต่อให้เปลี่ยนเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับเดียวกัน เกรงว่ายังต้องรับแรงกดดันใหญ่ยิ่ง หวาดหวั่นเป็นที่สุด
แต่หลินสวินกลับคล้ายไม่รู้สึกอะไร
เขาก้าวออกมา เงาร่างสันโดษ ทุกที่ที่ผ่าน แสงธรรมสีทองซึ่งถาโถมออกมาราวกับจู่โจมศิลาที่ไม่ขยับหมื่นกาล ไม่อาจสั่นคลอนหรือขัดขวางหลินสวินได้สักนิด
กลับกันพอหลินสวินก้าวเดิน แสงธรรมที่ซัดโถมนั้นคล้ายระเหยหาย แตกกระจายมลายไปภายใต้ฝีเท้าของเขา!
ตูม!
ในขณะเดียวกันยิ่งมีเสียงสวดท่องธรรมต่างๆ ดังขึ้น เหมือนอสนีบาตเป็นสายๆ สั่นคลอนจิตวิญญาณและสภาวะจิตของหลินสวิน
ชั่วพริบตาเดียวประหนึ่งมุนินทร์นับหมื่นพันกำลังสวดคัมภีร์สั่งสอน เกิดเป็นยอดพลังธรรม!
พลังเช่นนี้สามารถทำให้สรรพวิญญาณศิโรราบในพริบตา เกิดใจฝักใฝ่ นับจากนี้ก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาในสำนักพุทธคนหนึ่ง เคร่งครัดในศาสนาหาใดเทียบ
แม้แต่ผู้ฝึกปราณยังต่อสู้กับพลังน่ากลัวในเชิงจิตวิญญาณเช่นนี้ได้ยากยิ่ง
เพียงแต่ทุกอย่างนี้สำหรับหลินสวินแล้ว ยังเปลืองแรงเปล่าเหมือนเดิม
เสียงธรรมที่แฝงนัยเร้นลับชั้นยอดนั้น ตั้งแต่เริ่มจนจบล้วนไม่อาจทำให้สภาวะจิตและจิตวิญญาณของหลินสวินหวั่นไหวได้สักนิด
เขาสีหน้าสงบนิ่ง ก้าวเดินไปในทะเลแห่งแสงพุทธ แดนแห่งเสียงธรรมต่อไป ตลอดทางเหมือนเดินเล่นในสวน
เหลิ่งซิวเจียสีหน้าเคร่งเครียดหาใดเทียบในทันใด
ตูม!
พอเขาพนมมือทั้งสอง ปากเปล่งฉายาธรรม แสงพุทธสีทองเต็มฟ้ากับเสียงธรรมก็แปลงเป็นเพลิงกรรมเผาผลาญไร้สิ้นสุด ส่องสว่างทั้งฟ้าดิน
ผู้แข็งแกร่งที่ได้เห็นภาพนี้ทุกคนต่างรู้สึกแสบตา จิตวิญญาณร้อนผ่าว หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
ไฟแห่งการชำระน่าหวาดหวั่นนัก!
——