บทที่ 403 โหดร้ายเกินไปแล้ว
ซ่งเหล่าเกินเห็นดีเห็นงามกับความคิดเห็นของซ่งอิงอย่างเต็มใจเสียขนาดนั้น ด้านหนึ่งก็เพราะโมโหจนใจด้านชาไปหมดแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เพราะอยากให้บทเรียนสักอย่างแก่หลานชายคนนี้ ทำให้เขาปรับเปลี่ยนความคิดไปในทางที่ดี
อย่างไรเสียก็เป็นลูกหลานของตน ต่อให้ถือขวานมาจามใส่เขาที่แก่เฒ่ารุ่นนี้แล้ว เกรงว่าในใจผู้เป็นปู่ก็ไม่อาจจงเกลียดจงชังหลานชายผู้นั้นได้ลงคอจริงๆ
“ท่านปู่ ขึ้นชื่อว่าหลานชาย ล้วนเป็นของท่านตลอดไปอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ นี่เป็นสายโลหิตของท่าน” ซ่งอิงเผยรอยยิ้มแล้วกล่าว “ส่วนที่ว่าอนาคตพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่อาจคาดเดาได้แม่นยำ เรื่องนี้อยู่ที่ตัวพี่ใหญ่เอง ต่อไปหากไปอยู่ตระกูลเผยจริงๆ ถูกฝ่ายนั้นเมินเฉย ไม่เอาใจใส่ แล้วเขาทนได้ ก็ไม่แน่ว่าอาจแซงขึ้นมาแทนที่น้องชายของพี่สะใภ้แล้วได้รับร้านค้าของตระกูลเผยขึ้นมาจริงๆ… แน่นอนละว่า ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นเดียวกับแม่ข้า ทำตัวเป็นลูกสะใภ้คนเล็กที่ซื่อตรงว่านอนสอนง่าย”
“หากทนแบกรับความคับข้องใจไม่ไหวก็คงหนีกลับมา ซึ่งนั่นก็มีความเป็นได้เช่นกัน” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่บุรุษแต่งเข้าบ้านภรรยา ไม่เหมือนสตรีแต่งไปอยู่บ้านสามี
บุรุษที่แต่งออกเทียบไม่ได้กับสะใภ้ที่แต่งเข้า หากมีเรื่องมีราวแตกหักกับตระกูลเผยขึ้นมาจริง เขามีแต่เสียกับเสีย
ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ไม่เหลืออะไรเลย
ต่อไปตระกูลซ่งก็แทบไม่อยากให้เขาอยู่ร่วมชายคาด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะ คำครหาจากผู้อื่นนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ก็เหมือนเมื่อครั้งที่ผู้เฒ่าซ่งบีบบังคับให้นางแต่งงาน ฉะนั้นหากเขามาอยู่ในครอบครัว คนทั้งตระกูลก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อีกทั้งหลังจาก ‘เขยแต่งเข้าตระกูลภรรยา’ ย่อมไม่นับว่าเขาเป็นคนวงศ์ตระกูลซ่งอีกแล้ว ผู้นำวงศ์ตระกูลซ่งจะใจกว้างถึงขั้นเปิดโถงบรรพบุรุษ เขียนชื่อเขาลงไว้ในตระกูลใหม่อีกครั้งหรือ
เรื่องพวกนี้ ซ่งอิงไม่ได้พูดออกไป
แต่เมื่อเอ่ยเป็นนัยถึงเพียงนี้ มีหรือที่ผู้เฒ่าซ่งจะไม่กระจ่างแจ้ง หลังได้ครุ่นคิด ใบหน้าชราก็สั่นเล็กน้อย และชี้นิ้วไปยังซ่งอิง “เจ้า ความคิดของเจ้านี้ก็ช่าง ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว…”
หลานชายของเขา หากไม่เป็นคนของตระกูลภรรยาต่อไป ก็จะกลายเป็นพ่อม่ายที่ไร้ญาติขาดมิตร!
ซ่งอิงวางหน้าเคร่งขรึม “ท่านปู่ ซ่งเสี่ยนเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ท่านก็เคยหมักซีอิ๊วมาก่อนเช่นกัน น่าจะรู้ว่าหากในโถมีขี้หนูตกลงไปแม้เพียงก้อนเดียว ซีอิ๊วโถนั้นก็จะพลอยเสียไปทั้งหมดด้วย หากท่านนึกเสียใจภายหลัง ยังอยากให้เงิน นั่นก็เท่ากับบังคับให้ลูกหลานที่เหลือกินซีอิ๊วเน่าโถนั้นเข้าไปด้วย!”
ระหว่างพูด ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย นำขนมจินเฉียนที่ตนซื้อไว้หยิบออกมา “คนอายุมากอย่างท่าน เหตุใดถึงคิดไม่ได้เพียงนี้ มีขนมจินเฉียนดีๆ ไม่กิน จะกินแต่อุจจาระให้ได้”
ซ่งเสี่ยนเอาแต่นึกถึงสมบัติของนางตลอดทั้งวัน หากให้อยู่ที่ตระกูลซ่งต่อไป รังแต่จะสร้างปัญหาให้นาง!
“ที่เจ้าพูดออกมาตอนนี้หมายความว่าอย่างไร?” ซ่งเหล่าเกินกล่าวเสียงสั่นเครือ
อย่างไรเสียตอนนี้หลานชายเขาก็ยังไม่ได้เป็นเขยแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง เขาจะนึกเสียใจภายหลัง และไม่ทำตามแผนการที่ซ่งอิงบอกกล่าวก็ย่อมได้!
“ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า เรื่องที่ซับซ้อนในนี้ข้าย่อมอธิบายให้ท่านฟังจนกระจ่างแน่นอนอยู่แล้ว เพื่อที่ท่านจะได้ไม่กล่าวโทษข้าในภายหลัง” ซ่งอิงทอดถอนใจ “ท่านปู่ ท่านมองดูหลานที่เหลือของท่านสิ ตอนนี้พี่ชายข้ากำลังก้าวหน้า ข้ามั่นใจในตัวเขามากว่าต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน แล้วยังมีน้องต๋า ข้าเป็นคนสอนเขาเองกับมือ ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนฉลาด น้องชายทั้งสามของบ้านสามก็เป็นเด็กซื่อสัตย์ โดยเฉพาะน้องอู่ ท่านไม่รู้อะไร ช่วงที่เขาอาศัยอยู่ในบ้านข้า ยังขยันกว่าซ่งต๋าด้วยซ้ำ เมื่อมีนิสัยอย่างนี้แต่เดิม ต่อไปไม่ว่าเขาจะทำอะไร ต้องทำได้ดีแน่!”
“ข้าไม่ได้บังคับให้ซ่งเสี่ยนขอเงินจากท่าน ก่อนหน้านี้ที่ท่านป่วย บรรดาบุตรชายท่านก็ต้องควักเงินเก็บของตัวเองออกมา โดยเฉพาะบ้านท่านอาสาม แม้จะมีที่นา แต่ก็ไม่มีเงินเก็บ ท่านอาสะใภ้สามข้าแทบใช้น้ำตาต่างน้ำล้างหน้า ท่านคิดว่าเท่านี้ยังไม่พอ ยังอยากให้ทุกคนต้องถลกหนังตามไปด้วยหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีก
ซ่งเหล่าเกินริมฝีปากสั่นระริก
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ!
เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้า คนเราแก่แล้วก็อยากเห็นลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่อยากทิ้งใครแม้แต่คนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับนี่คือการต้องสูญเสียหลานชายคนโตเชียวนะ!
บทที่ 404 มีแววประสบความสำเร็จ
ซ่งอิงเผยสีหน้าเรียบเฉย นางไม่ได้โหดร้าย เพียงแต่มองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งก็เท่านั้น
“ท่านโหวผู้เป็นบรรพบุรุษตระกูลซ่งผู้นั้น แม้ไม่ใช่ต้นสายตระกูลของพวกเราโดยตรงเสียทีเดียว แต่ก็มีต้นกำเนิดมาจากสายเลือดเดียวกัน เขายังอาศัยความสามารถตนเองจนได้รับแต่งตั้งเป็นโหวได้ ต่อไป พี่ชายข้า น้องต๋า น้องอู่ หรือแม้แต่น้องคัง เด็กๆ เหล่านี้เหตุใดจะมุ่งมั่นแตกแขนงตระกูลตนเองให้ใหญ่โตไม่ได้เล่าเจ้าคะ” ซ่งอิงเอ่ยต่อ
ผู้เฒ่าซ่งพลันสะดุดใจในคำพูดดังกล่าว
“นั่นเป็นต้นตระกูลแขนงเจ้าต่างหาก!” ผู้เฒ่าซ่งเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ
ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นโหวท่านนั้นก็คือบรรพบุรุษโดยแท้ของซ่งอิงไม่ใช่หรือ
“ข้าเป็นหลานสาวท่านต่างหาก” ซ่งอิงคลี่ยิ้มกว้าง
“เจ้าช่วยวาดฝันใหญ่โตให้ข้าหลงเชื่อน้อยๆ หน่อย ยังมีหน้านึกไปถึงขุนนางชั้นสูงอีก…พวกเราก็แค่ชาวบ้านธรรมดา!” ซ่งเหล่าเกินทอดถอนใจ “เจ้าอยากส่งซ่งเสี่ยนพ้นไปจากตระกูลเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“มีเพียงข้าคนเดียวเสียที่ไหนกัน หรือไม่ท่านลองเรียกเด็กๆ ในบ้านมาถามไถ่ดูสิว่าพวกเขาอยากหรือไม่” ซ่งอิงกล่าว
ซ่งเหล่าเกินเหลือบมองนางพริบตาหนึ่ง ก่อนจะเลือกเรียกพวกซ่งต๋ามาพบ
ช่วงนี้ซ่งต๋าขยันกลับบ้าน ดังนั้นวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็กลับมาบ้านซ่งพร้อมด้วยซ่งอู่และฮั่วหลิน
ผู้เฒ่าซ่งกวักมือเรียกพวกเขา มองดูหลานต๋าเป็นอันดับแรก ในใจรู้สึกสบายใจไม่น้อย จากนั้นกล่าว “หลานต๋า ปู่ขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าอยากให้พี่ใหญ่เจ้าแต่งเข้าไปเป็นคนตระกูลภรรยาเขาหรือไม่”
“หากแต่งเข้าตระกูลภรรยา ก็จะไม่ใช่คนตระกูลเราแล้วอย่างนั้นสินะขอรับ” ซ่งต๋าเอ่ยถามอย่างหน้าตาเฉยมาก “เช่นนั้นให้เขาไปเถอะขอรับ จะได้ไม่ต้องอยู่บ้านคอยทำให้ท่านแม่ข้าและท่านโมโห”
“…” ผู้เฒ่าซ่งตกตะลึง “นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้านะ หากเขาเข้าไปอยู่ในตระกูลฝ่ายหญิงแล้ว พ่อแม่เจ้าก็ขายหน้า ภายภาคหน้าอาจมีคนหัวเราะเยาะเจ้าด้วยก็ได้”
“ท่านปู่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ยังกลัวถูกหัวเราะเยาะอีกหรือ? อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พี่ข้าขโมยบ๊ะจ่างของพี่สาวคนรอง ข้าก็ถูกหัวเราะเยาะไปรอบหนึ่งแล้ว ฉะนั้นข้าไม่กลัวหรอก!” ซ่งต๋าตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง “เมื่อก่อนพี่รองก็เคยบอกว่า เราต้องมีศักดิ์ศรีในตัวเอง มิใช่รอให้คนอื่นมอบให้ ท่านพ่อท่านแม่ขายหน้า เช่นนั้นจากนี้ข้าก็จะตั้งใจทำดี เพิ่มเกียรติและศักดิ์ศรีให้พวกเขาก็สิ้นเรื่องแล้วขอรับ!”
ซ่งอิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
ผู้เฒ่าซ่งประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นคำพูดจากปากหลานชายตนเอง
“เจ้าเพิ่งจะอายุสิบขวบ ไม่ใช่เด็กน้อยได้อย่างไรกัน” ซ่งเหล่าเกินเอ่ยด้วยความตกตะลึง
เด็กที่อายุสิบขวบ ยังมีแววประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้แล้ว?
ซ่งเหล่าเกินปรายตามองซ่งอิงแวบหนึ่ง ต้องยอมรับว่าเจ้าเด็กสาวคนนี้ สอนเด็กได้เก่งกว่าที่เขาสอนอีก
ซ่งเหล่าเกินครุ่นคิด ก่อนจะแสร้งเป็นคนไม่ดีอีกรอบ โดยกล่าวว่า “หลานต๋า เจ้าพูดความจริงกับข้า เป็นเพราะพี่ใหญ่เจ้าอยู่ที่บ้านใช้เงินเยอะ ทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วยใช่หรือไม่?”
ครั้นซ่งต๋าได้ยินดังกล่าวก็เม้มปากเล็กน้อย
“ท่านปู่ ตอนนี้ท่านแม่ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว เงินที่พวกเขาเก็บหอมรอมริบเป็นการส่วนตัวล้วนสูญไปทั้งหมดแล้ว เดิมทีเขาก็เป็นตัวถ่วงคนหนึ่งนี่? ยอมให้เขาทำเรื่องเช่นนั้นได้ แต่จะห้ามไม่ให้ข้ารังเกียจเขาอย่างนั้นหรือ เมื่อก่อนท่านแม่ข้างดงามจะตาย หลายวันมานี้กลับดูแก่ลงไปไม่น้อย อีกทั้งท่านเองก็โกรธพี่ใหญ่ข้าจนแทบอกแตกตายอยู่แล้ว ข้าไม่มีพี่ชายลักษณะเช่นนี้หรอก หากท่านคิดว่าเพราะข้ากลัวว่าพี่ใหญ่จะมาแก่งแย่งข้า เช่นนั้นท่านก็ให้ท่านแม่ข้ามอบที่นาที่เหลือให้พี่ใหญ่ไปทั้งหมดได้เลย ขอแค่จากนี้อย่าให้เขามาทำให้พวกเราโมโหก็พอ จะยกสมบัติให้เขาทั้งหมดเลยข้าก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน” ซ่งต๋ากล่าว
เมื่อก่อนซ่งต๋าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวตนเองมีที่ดินกี่หมู่
เพียงแต่เมื่อได้อยู่กับซ่งอิง ซ่งอิงมักจะถามคำถามประหลาดเป็นครั้งคราว เมื่อตอบคำถามเหล่านี้ได้ถูกต้องก็จะมีดอกไม้แดงเป็นรางวัลให้ทันที
อย่างเช่น พี่สาวคนรองจะถามเขาว่า ที่ดินหนึ่งหมู่ปลูกธัญพืชได้เท่าไหร่ ถามเขาว่าไข่ไก่ราคากี่อีแปะ ข้าวสารธัญพืชราคากี่อีแปะ
ตอนแรกเริ่มเขาก็ไม่รู้เช่นกัน คนทั้งสามทำได้เพียงมองดูพี่สาวคนรองหยิบขนมออกมาแล้วเก็บไปซ่อนเอาไว้อีกครั้ง
ด้วยความจนปัญญา พวกเขาก็ต้องไปถามจากท่านอาจารย์
แต่โดยทั่วไปเมื่อพี่รองอยู่บ้านก็มักมีวิธีมาทดสอบพวกเขานับไม่ถ้วน ดังนั้นยามนี้ซ่งต๋าจึงไม่กลัวการถามกลับไปกลับมาของผู้เฒ่าซ่งเลยแม้แต่น้อย