ตอนที่ 457 คิดเพ้อเจ้อประหลาดๆ
ซ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังกล่าว
การที่จำนวนปีศาจเพิ่มขึ้น แม้ครึกครื้น แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี อย่างเช่นเกิดบนโลกนี้มีปีศาจกินคนอย่างปีศาจปลาดุกเพิ่มขึ้นมาเล่า
ทว่าเมื่อลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง ซ่งอิงก็ไม่วิตกกังวลแล้ว
กลิ่นอายอากาศที่เปลี่ยนไปนี้มีเพียงแถบหมู่บ้านซิ่งฮวานี้เท่านั้น และหากมีปีศาจอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกจริง นางก็จะมองออกได้
โดยเฉพาะหลังจากเพิ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติเมื่อครู่ การสัมผัสรับรู้กลิ่นอายปีศาจของนางรับรู้ได้ชัดยิ่งขึ้นแล้ว
เพียงแต่ว่าก็ไม่อาจเอาแต่ตั้งรับอย่างนี้เสมอไปได้เช่นกัน
หลังยุ่งกับงานทำไร่ทำนาครั้งนี้แล้ว ก็ไม่ถือว่ากลิ่นอายอากาศเปลี่ยนไปมากนัก แต่ภายหลังจากนี้หากนางมีที่ดินเพิ่มขึ้นอีกเล่า ถึงเวลาผลกระทบก็คงไม่ธรรมดาแล้ว
หากมีหมู่บ้านสวนเป็นของตัวเอง เช่นนั้นก็จะแตกต่างไป
เมื่อนึกถึงหมู่บ้านสวน ซ่งอิงก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย นางอยากเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ๆ เจ้าของที่ดินจะไม่มีเรือกสวนไร่นาและสถานที่เลี้ยงสัตว์ของตัวเองได้อย่างไรกันเล่า เพียงแต่ ณ ตอนนี้ที่ดินยี่สิบกว่าหมู่ไม่เพียงพอแก่การใช้งานเลยสักนิด!
นางยังต้องหาเงินอีก!
“วันนี้จะจ่ายเงินค่าแรงให้พวกเจ้า” ซ่งอิงคลี่ยิ้มแล้วล้วงเงินออกจากถุงใส่เงิน “ต้าลี่ เดือนนี้ลำบากเจ้าแล้ว และหลังจากนี้ก็ยังมีเรื่องต้องให้เจ้าช่วยอีกมากมาย นอกจากเงินค่าแรงหนึ่งเดือนนี้แล้ว ก็มีอีกหนึ่งตำลึงเงินถือเป็นรางวัล แล้วยังมีเสี่ยวชิงอีกคน หมู่บ้านเราได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์นั้นล้วนเป็นเพราะเจ้านำพวกกบเขียวตัวน้อยมาจับแมลง ให้เจ้าห้าตำลึงเงิน”
นัยน์ตาชิงเหลียนปรากฏประกายวาวแวบหนึ่ง เขารีบเอื้อมมือมาคว้าเงินไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเก็บเอาไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง
หมู่บ้านสือโถวยากจน เขาผู้เติบใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนั้นเลยได้รับผลกระทบของกระแสนิยมในสังคมหมู่บ้านแห่งนั้นเช่นกัน มักจะเก็บหอมรอมริบเงินไม่อยู่ แต่ดีที่เขาและหนิวต้าลี่แตกต่างกันตรงที่ เขาไม่กระตือรือร้นในเรื่องเก็บเงิน มิเช่นนั้นก็คงหงุดหงิดใจอกแตกตายไปนานแล้วเพราะเรื่องเงิน
แต่เงินเป็นสิ่งที่ดี มีมันย่อมดีกว่าไม่มี ฤดูหนาวมาเยือนแล้ว เขาจำเป็นต้องซื้อชุดคลุมหนาๆ สักตัวเพื่อที่ผิวหนังบนกายจะไม่ถูกความเย็นจนแข็งทื่อ
การจ่ายเงินครานี้ มีส่วนของภูตโสมด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ว่าในฐานะที่เป็นบุตรชายของซ่งอิง ช่วยครอบครัวตัวเองทำงานนั่นก็คือสิ่งที่พึงกระทำ ดังนั้นซ่งอิงคลำๆ หาดูครู่หนึ่ง ก่อนจะเอาให้ไปเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้น
แต่แม้เป็นเช่นนี้ ภูตโสมก็ยังสุขใจยิ่ง
หลังหนิวต้าลี่ผ่อนคลายสบายใจขึ้นแล้ว เริ่มจับมือชิงเหลียนไม่ปล่อย
ถามนู่นถามนี่สารพัดอย่างจึงได้เข้าใจเรื่องราวไม่น้อย
เพียงแต่น่าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มีโลกของปีศาจ และไม่มีปีศาจที่รวมกันเป็นกลุ่ม แรกเริ่มปีศาจกบเขียวยังพอพูดถึงเรื่องที่แปลกประหลาดได้บ้าง แต่หลังบอกเล่าไปมากๆ เข้า สิ่งที่ผ่านพบประสบเจอก็ถูกบอกเล่าไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ทำได้เพียงพูดถึงเรื่องของพวกมนุษย์ จึงเริ่มไม่น่าสนใจเท่ากับตอนแรกๆ เสียแล้ว
ตลอดค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่องว่างระหว่างมิติหรือไม่ ซ่งอิงจึงฝันประหลาดอย่างหนึ่ง
ในความฝัน เป็นภูเขาและลำธารขนาดใหญ่ เมื่อมองไปจะเห็นท้องนภาและผืนป่าอย่างไร้ขอบเขตสิ้นสุด บนท้องนภามีนก ในน้ำมีมัจฉาแหวกว่าย ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเจือไปด้วยความประหลาด เหมือนกับเข้าสู่โลกแห่งเทพนิยายอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนนาง ติดอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เหมือนเป็นไข่ใบหนึ่ง แต่จะว่าไปก็ดูเหมือนดักแด้เช่นกัน
หลังตื่นจากความฝัน ซ่งอิงรู้สึกว่าตัวเองอาจใกล้เสียสติเต็มทนแล้ว
ตอนนี้เพิ่งเลี้ยงปีศาจสามตัว ก็เริ่มคิดเพ้อเจ้อประหลาดๆ เสียแล้ว!
ที่นางถนัดคือการทำไร่ทำนาต่างหากล่ะ!
ซ่งอิงถอนหายใจ วันรุ่งขึ้นตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองวิสัยทัศน์ งานที่ยังคั่งค้างในที่ดินมอบหมายให้หนิวต้าลี่ ส่วนนางไปตัวอำเภอขายที่คั่นใบไม้ของนางต่อ
ที่ชวนให้ซ่งอิงประหลาดใจคือ ครั้งนี้เพิ่งมาถึงหน้าประตูสถานศึกษา นางก็ถูกผู้คนจำนวนไม่น้อยห้อมล้อมแล้ว
“แม่นาง สองสามวันมานี้ไฉนจึงไม่มาล่ะ ข้าเอาที่คั่นใบไม้สิบอัน”
“ข้าเอาสิบอันด้วยเช่นกัน…”
ซ่งอิงตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นไม่ทันไรก็รีบนำสิ่งของยื่นส่งไปให้ หลังรับเงินแล้วก็ยังเผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
ดีที่ผ่านไปไม่นานนัก ซ่งสวินก็มาหา
“ท่านพี่ คนของสถานศึกษาพวกท่าน…ไฉนจู่ๆ ก็สนอกสนใจที่คั่นหนังสือของข้า” ก่อนหน้านี้แม้ค้าขายได้ไม่เลวเช่นกัน แต่นักเรียนเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนแค่ประหลาดใจในตัวสินค้า ไม่เหมือนครานี้ จับจ้องรูปลักษณ์ที่คั่นใบไม้ของนางเหมือนกับกำลังมองดูสิ่งล้ำค่าหายากก็ไม่ปาน
ตอนที่ 458 ประจบเอาใจ
ซ่งสวินอดอิจฉาความโชคดีของซ่งอิงเล็กน้อยไม่ได้
“สองสามวันก่อน เว่ยกง[1]กลับบ้านเกิด ท่านนายอำเภอจึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อผู้มาจากถิ่นไกลด้วยตนเอง ทางด้านสถานศึกษาเรานี้ก็มีบัณฑิตมากวิชาความรู้ได้ไปเข้าร่วมคารวะทักทายเว่ยกงด้วยเช่นกันสามสี่คน ลู่ข่ายผู้ซื้อที่ขั้นหนังสือของเจ้าไปเมื่อหลายวันก่อนก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย นักเรียนเหล่านี้พบเจอเว่ยกงก็ย่อมต้องแต่งนำบทกวีที่เรียบเรียงด้วยตนเองมอบให้ด้วยเป็นธรรมเนียมปกติ ซึ่งตอนนั้นเล่มรวมบทกวีที่ลู่ข่ายมอบให้ก็ใส่ที่ขั้นหนังสือของเจ้าเอาไว้ด้วย…” ซ่งสวินอธิบายอย่างจริงจัง
ลู่ข่ายไม่มีแม้แต่เกียรติคุณถงเซิง เดิมทีไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
แต่ใครใช้ให้ให้ตระกูลลู่ข่ายมีคนเป็นขุนนางเล่า
เว่ยกงผู้นั้นเป็นตำแหน่งขุนนางที่มีความเอกเทศ แต่ก็เคยเป็นสหายร่วมงานของบิดาลู่ข่ายเช่นกัน จึงให้เขาไปร่วมคารวะทักทายด้วย
ตอนนั้นในสถานที่ดังกล่าวมีนักเรียนจำนวนไม่น้อย จวี่เหรินเหล่าเหยียในนั้นก็มีหลายคนทีเดียว แต่บังเอิญว่า ครั้นเว่ยกงพลิกเปิดหน้ากระดาษ ที่คั่นใบไม้นั่นก็ร่วงหล่นออกมา
“ตอนนั้นเว่ยกงรู้สึกแปลกตา จึงมองพินิจพิจารณาอยู่พักใหญ่ หลังมองดูแล้วก็เรียกลู่ข่ายไปถามไถ่ เว่ยกงชมเชยลู่ข่ายว่ามีความคิดที่ดีเลิศ กล่าวว่าบัณฑิตที่มาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ในโลกนี้ ส่วนมากใช้ที่ขั้นหนังสือเงินหรือหยก ทว่าเขากลับใช้ใบไม้ แม้ว่าเป็นใบไม้ที่เรียบง่ายใบหนึ่ง แต่กลับดูพิเศษจริงๆ เอ่ยชมยกใหญ่ว่าจะต้องได้คนที่เรียบง่าย มั่นคงหนักแน่นและไม่แยแสต่อชื่อเสียงอะไรพวกนั้นอย่างแน่นอน…” ซ่งสวินกล่าว
ซ่งอิงอดอยากหัวเราะไม่ได้
ความหยิ่งยโสของลู่ข่ายผู้นั้นเป็นความจริง ความมั่นคงหนักแน่นเป็นเรื่องลวงหลอกเสียมากกว่ากระมัง
“อำเภอหลี่ของพวกเราก็มีเว่ยกงแค่ผู้เดียวเท่านั้น ตอนนั้นเว่ยกงสุขใจ เอ่ยพูดถึงลู่ขายยกใหญ่ สองสามวันนี้ลู่ข่ายจึงมีชื่อเสียงกระฉ่อนขึ้นมา อย่าว่าแต่สถานศึกษาพวกเราเลย ก็แม้แต่ทางด้านเมืองยงยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาทางด้านสถาบันศึกษาเราเพื่อจะซื้อที่คันใบไม้ แต่น่าเสียดายที่หลายวันมานี้เจ้าไม่มาเสียที…”
“สองสามวันมานี้ไม่มีคนอื่นขายเลยหรือ” ซ่งอิงเอ่ยถาม
“แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว แต่ใบไม้เหล่านั้นเมื่อแตะมันก็จะกรอบแตกทันที ขายไม่ออกเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้…” ซ่งสวินเกิดอารมณ์ความรู้สึกสับสนเล็กน้อย “มีคนจำนวนไม่น้อยรู้ว่าลู่ข่ายซื้อที่คั่นใบไม้จากปากเจ้าไปหนึ่งร้อยใบ ดังนั้นตอนที่เจ้าไม่อยู่ เขาก็อาศัยที่คั่นใบไม้ของเจ้าผูกสัมพันธ์ได้สหายไปไม่น้อย”
ซ่งสวินไม่ใช่คนใจแคบแต่อย่างใด หากตอนนั้นลู่ข่ายไม่ได้เอ่ยว่าจาน่ารังเกียจใส่ซ่งอิง เขาก็จะไม่ชักสีหน้าเย็นชากับลู่ข่าย
เพียงแต่ยามนี้ นึกไม่ถึงว่าลู่ข่ายผู้นั้นเกาะกระแสน้องสาวของเขาจนได้รับความนิยมขึ้นมา ก็เลยรู้สึกเป็นห่วงน้องสาวอยู่ในใจว่านางจะหงุดหงิดใจเอาได้
แต่หลังซ่งอิงได้ยินดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่โกรธ มิหนำซ้ำยังดีอกดีใจอีกด้วย
“ลู่ข่ายผู้นั้นหยิ่งยโสเช่นนี้ ตอนนี้หากรู้ว่าข้ามาขายที่คั่นใบไม้แล้ว เช่นนั้นมิใช่ว่าต้องเดินอ้อมเพื่อเลี่ยงกันไปเลยหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงคลี่ยิ้ม “จะว่าไปแล้วข้ายังต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ถือว่าเขาได้ช่วยข้าโฆษณา ข้าก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าที่คั่นใบไม้เหล่านี้จะขายไม่ออก”
ซ่งสวินมองซ่งอิงอย่างตกตะลึงปนประหลาดใจ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยอย่างชื่นชม “น้องสาวพี่ใจกว้าง ข้าเทียบไม่ได้จริงๆ”
อย่างไรก็ตาม ซ่งอิงกลับยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านพี่ ในเมื่อที่คั่นใบไม้เหล่านั้นของลู่ข่ายล้วนถูกคนแย่งไปหมดแล้ว เช่นนั้น…ท่านก็เอาไปมอบให้เขาเพื่อแสดงการขอบคุณแทนข้าทีแล้วกัน? ก็บอกว่า…ได้ยินมาว่าคุณชายลู่ประสบความสำเร็จโดดเด่นแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยเป็นการพิเศษ!”
ซ่งสวินตะลึงงัน หัวใจพลันเต้นแรง เกือบสงสัยในความตั้งใจของน้องสาว
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที ซ่งสวินก็เข้าใจความหมายของซ่งอิง
นางให้ไปแสดงความยินดีเสียที่ไหนกันเล่า
ลู่ข่ายผู้นั้นนิสัยยโสโอหัง อาศัยที่คั่นใบไม้ที่เขาดูถูกโดดเด่นขึ้นมา จึงต้องขอป่าวประกาศให้ผู้คนรู้กันถ้วนหน้าเสียหน่อยว่าบัดนี้เจ้าของตัวจริงมาเยือนแล้ว ลำพังเรื่องนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะอับอายเพียงใด และเมื่อซ่งอิงไปแสดงความยินดีกับเขาอีก ก็จะมีแต่ทำให้ลู่ข่ายอยากขุดหลุมลงไปซ่อนเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
หนึ่งเค่อก่อนเพิ่งชมเชยซ่งอิงใจกว้าง หนึ่งเค่อหลัง…
“นิสัยเจ้านี่นะ หลังจากนี้ข้าคงไม่ต้องกังวลใจว่าเจ้าจะถูกเอาเปรียบเมื่ออยู่ภายนอกแล้วสินะ” ซ่งสวินเปลี่ยนการพูด แทนที่จะกล่าวชมต่อ คล้ายว่าคนที่เพิ่งชมเชยซ่งอิงเมื่อครู่ว่าใจกว้างไม่ใช่เขา
ซ่งอิงเคยเห็นรูปแบบการรักทะนุถนอมอย่างสุดซึ้งของสามพ่อแม่ลูกชายแห่งบ้านสองตระกูลซ่งมาแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงไม่ตกใจในทักษะการใช้ฝีปากประจบเอาใจเลยสักนิด
————————-
[1] เว่ยกง (卫公) เจ้าผู้ครองนครรัฐเว่ย ซึ่งรัฐเว่ยเป็นรัฐเล็กรัฐหนึ่งแทบภาคกลางของจีนในยุคชุนชิว