Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1911 เหนือศีรษะสามฉื่อมีความตาย

ตอนที่ 1911 เหนือศีรษะสามฉื่อมีความตาย
ตอนที่ 1911 เหนือศีรษะสามฉื่อมีความตาย
เมื่อประกายแหลมเก้าชุ่นแดงสดนั้นปรากฏขึ้นในห้วงนิมิตของหลินสวิน พลังพิสดารก็แผ่กระจายออกมา
พลังนั้นอหังการและดุดัน น่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ!
เพียงแต่หลินสวินเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว โคจรเคล็ดมหาเวทบริกรรมโดยไม่ลังเล รูปจำลองจิตวิญญาณมั่นคงแน่วนิ่ง เปล่งแสงสว่างเหลือประมาณ
ไตรวิถีมกุฎ รวมวิถีมหามรรคทั้งสามสายอันได้แก่หลอมจิต หลอมปราณและหลอมกาย
ตั้งแต่ตอนที่หลินสวินยังไม่บรรลุระดับราชันก็ฝึกทั้งสามวิถีมกุฎไปพร้อมๆ กันแล้ว ความแข็งแกร่งในพลังจิตวิญญาณของเขาย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกจิตวิญญาณขอบเขตมกุฎในระดับเดียวกัน!
แต่เพียงพริบตาเดียว หลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เพราะแม้ประกายแหลมแดงสดนั้นถูกสกัดไว้ได้ แต่กลับฉายวาบพริบไหว แปลงเป็นเงาร่างพร่ามัวเหมือนว่างเปล่าร่างหนึ่งท่ามกลางความคลุมเครือ
เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ทำให้จิตวิญญาณของหลินสวินกดดัน รู้สึกหวาดผวาหาใดเทียบ
ก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินเข้าใจได้ในที่สุดว่าเหตุใดลู่ตู๋ปู้ถึงไม่ยินยอมขนาดนั้น บอกว่าชัยชนะของอู่หวงเป็นการอาศัยพลังจากภายนอก ไม่ใช่สิ่งของภายนอก!
เพราะพลังของประกายแหลมแดงสดนี้ไม่ได้เป็นของอู่หวงสักนิด!
ตูม!
ทันทีที่เงาร่างพร่ามัวนั้นปรากฏตัว ก็กลายเป็นแสงเลือดสายหนึ่งเหมือนกระบี่เทพสีแดงสด แทงใส่จิตวิญญาณของหลินสวิน
“กำราบ!”
ในสถานการณ์คับขันนี้ ความคิดหลินสวินขยับไหว
ประตูสวรรค์ที่ตั้งตระหง่านเงียบงันอยู่ในส่วนลึกของห้วงนิมิตมาโดยตลอดพลันส่งเสียงครืนครัน ราวกับตื่นจากการหลับไหลชั่วนิรันดร์
ที่ตามมาติดๆ คือพลังคลุมเครือสายหนึ่งกวาดออกมาจากประตูสวรรค์
ปึง!
แสงเลือดที่พุ่งมาสายนั้นระเบิดกระจุยเหมือนกระดาษเปื่อยทันที
“สมควรตาย…! นี่มันสมบัติชั้นไหนกัน!”
เสียงแหบแห้งโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่าเงาร่างพร่ามัวนั้นเหมือนตกใจเกินเหตุ ปลีกตัวหนีโดยไม่ลังเล
แต่เขายังประเมินความน่ากลัวของประตูสวรรค์ต่ำเกินไป
พร้อมๆ กับพลังคลุมเครือที่แผ่ออกมา เงาร่างพร่าเลือนนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา ถูกสังหารอยู่ในห้วงนิมิตของหลินสวิน!
เรื่องทั้งหมดนี้พูดไปเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
ตั้งแต่ที่ประกายแหลมแดงสดนั้นฝ่าเข้าไปในห้วงนิมิตจนถูกทำลายไปยังไม่ถึงชั่วพริบตา แต่ความอันตรายในนั้นมีเพียงตัวหลินสวินเองที่สัมผัสได้
และตอนนี้ อู่หวงได้ควบคุมจักระเทพนรกโลหิตทะลวงฟ้าฟันมาที่ศีรษะเขาแล้ว
ทุกคนในที่นั้นต่างจิตใจหดรัด
คนใหญ่คนโตอย่างเหิงเซียว ก้วนซวีเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือแล้ว
แล้วก็เป็นตอนนี้เอง หุบเหวเปลวเพลิงปากหนึ่งที่มีอานุภาพกลืนกินสิบทิศพลันอุบัติขึ้นรอบตัวหลินสวิน
ตูม!
จักระเทพนรกโลหิตที่มีแสงโลหิตมากมายไหลเวียนถูกหุบเหวเปลวเพลิงขวางเอาไว้ เสียงปะทะดังเลื่อนลั่น ครั่นครืนเหมือนฟ้าร้อง
และตอนนี้หลินสวินหมุนตัวกลับไปแล้ว ดวงตาดำลุ่มลึก
เขายกนิ้วขึ้นดีด
ปราณกระบี่ไท่เสวียนที่ประหนึ่งพายุฝนทะยานออกมา
อู่หวงจะคิดได้อย่างไรว่าการโจมตีที่ต้องได้ผลแน่ๆ กลับถูกสกัดไว้ได้ เรื่องนี้เดิมทีก็ทำให้เขาประหลาดใจแล้ว ตอนนี้พอหลินสวินลงมือจึงเล่นงานเขาชนิดตั้งตัวไม่ติดทันที
ในการโจมตีนี้ ก็เห็นว่าอู่หวงมาไวแต่ไปไวยิ่งกว่า ร่างกายเหมือนถูกหมื่นกระบี่ฟันผ่า ถอยกระเด็นออกไปเสียงดังโครม กระแทกห้วงอากาศจนยุบตัว
เขาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลือดออกทั้งปากจมูก ยับเยินเป็นที่สุด จักระเทพนรกโลหิตยังเกือบกระเด็นหลุดมือไป!
“เจ้า… ทำไมถึงสกัดไว้ได้”
เขาสีหน้าบิดเบี้ยว ทำใจเชื่อได้ยาก
หนามโลหิตเทพ!
นั่นเป็นถึงวิชาก้นกรุของเขา พิสดารและน่ากลัว ได้ผลทุกครั้ง
แต่ตอนนี้จินตู๋อีคนนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด นี่ทำให้เขาไม่กล้าเชื่อ
ทั้งที่นั้นเงียบเชียบ
ขณะนี้จิตใจที่หดเกร็งอยู่เดิมของทุกคนในสนามต่างปั่นป่วนจนไม่อาจสงบได้แล้ว
ประกายแหลมแดงสดที่เคยทำให้ลู่ตู๋ปู้พ่ายแพ้ยับเยินนั้นกลับทำอะไรหลินสวินไม่ได้ นี่ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึง ไม่อาจคาดคิดได้
ส่วนคนใหญ่คนโตอย่างเหิงเซียว ก้วนซวีที่เดิมคิดจะลงมือช่วยเหลือก็ถอนหายใจโล่งอกนัก และต่างหวั่นไหวไม่ว่างเว้น
“ไม่มีการช่วยเหลือจากพลังภายนอกเช่นนี้ เจ้า… จะดิ้นรนไปได้อีกถึงตอนไหนกัน”
ยามพูดจา หลินสวินพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด
ปราณกระบี่ไท่เสวียนแน่นขนัดอยู่ทั่วร่างเขาราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ ไหลเวียนไม่ว่างเว้น ส่งเสียงดังชิ้งๆ ปลดปล่อยคมประกายล้ำเลิศ สะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา
นี่ก็ทำให้อานุภาพของเขายิ่งโชติช่วงชวนพรั่นพรึง
ตูม!
หลินสวินบุกทะลวงไปข้างหน้า
เขาในตอนนี้ไม่ออมมืออีกแล้ว มาดที่แสดงออกมาก็ต่างจากเมื่อครู่นี้
ชั่วขณะหนึ่งปราณกระบี่ตัดสลับไปมาในสนามประลอง ฉีกทึ้งห้วงอากาศให้เป็นรอยขาดน่าตกตะลึงรอยแล้วรอยเล่า
พริบตาเดียวอู่หวงก็ถูกกดดัน เผยท่าทางเป็นรองอย่างชัดเจน ไม่นานนักก็ถูกเล่นงานจนโงหัวไม่ขึ้น เพลี่ยงพล้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แข็งแกร่งจริง!”
“จินตู๋อีโจมตีกลับแล้ว!”
ในที่นั้นมีเสียงอุทานดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตระหนก หวาดหวั่นกับท่วงท่าการต่อสู้อันโอหังไร้ศัตรูของหลินสวิน
พวกลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวา ซูมู่หานต่างรู้สึกซับซ้อน กระทั่งตอนนี้พวกเขาจะยังไม่รู้ได้อย่างไรว่าพอเทียบกับจินตู๋อี พวกเขาต่างดูหม่นแสงกว่าอยู่บ้างอย่างไม่ต้องสงสัย!
บุคคลผู้ปรีชาสามารถในโลกนี้ ใช้เกณฑ์ว่าบรรลุมกุฎมรรคาหรือไม่มาแบ่งแยกอยู่ร่ำไป
แต่ในหมู่ผู้เหยียบย่างขอบเขตมกุฎ ก็มีการแบ่งแยกระดับสูงต่ำเช่นกัน
อย่างเฮ่อเหลียนฉี หยวนเหอ หลันอวิ๋นเคอ พอจะถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งในระดับเดียวกัน
อย่างพวกซูมู่หาน หวังถู เซี่ยอวี่ฮวาก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับเดียวกัน เหมือนอัจฉริยะที่โดดเด่นในสายตาผู้คนในใต้หล้า
ส่วนลู่ตู๋ปู้ อู่หวง แต่ละคนเป็นดั่งผู้กล้าแห่งยุคที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับมหาโชควาสนา ส่องแสงหมื่นจั้งดั่งดวงอาทิตย์กันทุกคน
แต่พอพวกผู้มีพรสวรรค์ อัจฉริยะ และผู้โดดเด่นอยู่ต่อหน้าจินตู๋อี กลับย่อมดูหมอง!
เขาก็เหมือนปีศาจที่ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาเทียบได้ตนหนึ่ง มีบุคลิกเย้ยฟ้า มีรากฐานพลังอันล้ำลึกสุดหยั่ง มีความสง่างามเหนือปวงชน!
จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครดูออกว่าขีดจำกัดของเขาอยู่ตรงไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะในการต่อสู้กับลู่ตู๋ปู้ หรือการประลองกับอู่หวง ณ ขณะนี้
เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมาโดยตลอด ไม่เคยถูกสั่นคลอนหรือกำราบ!
เรื่องนี้ดูน่าหวาดหวั่นนัก
โครม!
บนสนามประลอง อู่หวงพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง ถูกหลินสวินกำราบด้วยพลังฝ่ามือ ร่างกายกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง เสียงทุ้มหนักนั้นทำให้หายคนรู้สึกเจ็บไปด้วย
อู่หวงพ่นเลือดออกปากออกจมูก สีหน้าคล้ำเขียว ตาแทบหลุดออกจากเบ้า
เขาคำรามลั่น เงาร่างกระโจนขึ้นมา หมอกสีเทาทั้งกายพ่นไอ ตัวเขาคล้ายเผาไหม้ถึงที่สุด พลานุภาพยิ่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงและหวาดกลัว
ตั้งแต่ฝึกปราณจนตอนนี้ เขามีฐานะเป็นทูตแห่งจักรพรรดิของสำนักโบราณจรัสเทพ เชื่อมั่นโอหังมาตลอด คิดว่าตนยิ่งใหญ่เท่าฟ้า ในระดับเดียวกันผู้ที่รับการต่อสู้ได้มีเพียงหยิบมือ ยังไม่เคยเพลี่ยงพล้ำขนาดนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้ ในขณะที่สู้กับจินตู๋อีผู้ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนคนหนึ่งในการประลองถกมรรคแคว้นเมฆาเท่านั้น กลับพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
นี่ทำให้เขาไม่อาจใจเย็นได้ โกรธจนแทบคลั่ง
“ฆ่า!”
เขากระตุ้นวิชาลับ ดวงตาทั้งสี่คู่ยิงปะทุแสงเทพ แสดงพลังเขตแดนมรรคของตัวเอง พลานุภาพน่ากลัวคับฟ้า
แต่เพียงครู่เดียว
หมัดเดียวของหลินสวินก็จู่โจมลงมาจากฟ้า ตัวอู่หวงถูกอัดลงไปกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมเสียงดังสนั่นทุ้มหนัก
กระดูกแผ่นหลังของเขาหักไปไม่รู้กี้ซี่ เกิดเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะๆ รอยเลือดแตกเป็นริ้วมากมายปรากฏตามร่างกาย ชวนสะพรึงเมื่อได้เห็น
“โหดเกินไปแล้ว…”
คนใหญ่คนโตบางคนยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ ร่างกายแข็งทื่อ
จินตู๋อีในขณะนี้ก็เหมือนผู้ไร้ศัตรูในระดับมกุฎราชันอริยะ เคลื่อนกวาดในสนามจนราบเป็นหน้ากลอง!
‘ที่แท้ตอนประลองกับข้า ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเลย…’
ลู่ตู๋ปู้รู้สึกขมขื่นในใจ
ตอนแพ้อู่หวง เขาไม่ยินยอมเพราะอู่หวงใช้กำลังจากภายนอก
แต่ตอนแพ้หลินสวิน และได้เห็นพลานุภาพของหลินสวินในตอนนี้อีก ลู่ตู๋ปู้อยากจะไม่พอใจคงทำไม่ได้!
‘เดิมข้ายังออกจะเสียดายที่ไม่ได้ประมือกับจินตู๋อี แต่ตอนนี้ดูท่าต่อให้ได้สู้กันก็เกรงว่าจะมีโอกาสชนะไม่มากเท่าไร”
เซี่ยอวี่ฮวาก็รำพึงในใจเบาๆ
บุคคลแห่งยุคอย่างนางคนไหนไม่หยิ่งทระนงบ้าง คิดจะให้พวกเขายอมรับว่ามีคนที่แข็งแกร่งกว่าตน ยากยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินในตอนนี้เป็นข้อยกเว้น
ปึง!
บนสนามประลอง อู่หวงถูกเตะกระเก็น กระดูกคางแตกออก เลือดเนื้อเหวอะหวะ ส่งเสียงอู้อี้เจ็บปวด
กลับมาดูหลินสวิน เงาร่างเปล่งประกาย อานุภาพดุจสายรุ้ง ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่แปดเปื้อนฝุ่นละออง ไม่ได้รับความเสียหายสักนิด!
ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าศึกนี้ อู่หวงพลิกสถานการณ์อันย่ำแย่ไม่ได้แล้ว!
ดังคาด ไม่นานนัก อู่หวงก็ถูกปราณกระบี่แทงทะลุทรวงอก เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด สีแดงฉานร้อนระอุ
ถ้าไม่ใช่ว่าหลบได้ทัน กระบี่นี้จะแทงทะลุหัวใจเขาได้ด้วย
อู่หวงเดือดดาล กราดเกรี้ยวจนคลุ้มคลั่ง
เขาตั้งมั่นว่าต้องได้อันดับหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับถูกเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บไปทั่วเหมือนหมาตัวหนึ่ง ท่ามกลางสายตาจับจ้อง ทำให้เขาทั้งโกรธทั้งอายจนจะระเบิด
แต่ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนหรือต่อต้านอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์เสียแล้ว
จักระเทพนรกโลหิตไม่ได้
ประตูกระหายเลือดไม่ไหว
ต่อให้มิพักสนใจสิ่งใดปานจะเอาชีวิตเข้าแลกก็ยังไม่ไหว!
ท่าทางถูกหลินสวินเผด็จศึกเล่นงานยับเยินโดยสมบูรณ์
ความจริงแล้ว หลินสวินก็ไม่ได้ลงมืออย่างโหดร้ายอยู่แล้ว มิเช่นนั้นด้วยความสามารถของอู่หวง ไม่มีทางยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้สักนิด
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลินสวินรู้ดีว่านี่เป็นการคัดเลือกถกมรรค ต่อให้ในใจเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณจรัสเทพ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่มีโอกาสสังหารอีกฝ่าย
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นก้วนซวีหรือคนใหญ่คนโตคนอื่นที่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องถึงตายในการคัดเลือกถกมรรค
ฆ่าไม่ได้ ก็ทำได้เพียงเล่นงานอีกฝ่ายแรงๆ สักยกเพื่อระบายอารมณ์
โครม!
พอการต่อสู้ดำเนินไป ก็ยิ่งอู่หวงน่าอดสูตามไปด้วย เขาเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ผิวหนังแตกระแหงเลือดไหลไปทั้งตัว รอยแผลนับไม่ถ้วน
หลายคนยังแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจอย่างอดไม่ได่
เมื่อกี้ยังเหิมเกริมหยิ่งผยองได้ปานนั้น คล้ายตัวเองดีเลิศกว่าทั้งโลก แต่ตอนนี้ท่าทางน่าอดสูเจ็บปวดโดยสมบูรณ์
โดยเฉพาะนักพรตหลัน ตัวเขานิ่งเหม่อ ทุกครั้งที่อู่หวงถูกกำราบ เขาก็จะสีหน้าเหยเก
“หยุดนะ!!”
ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากออกไปจะยุติการแข่งขันครั้งนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะออกจะทนดูอู่หวงถูกทรมานต่อไปไม่ไหวแล้ว
หลินสวินทำเป็นไม่ได้ยิน
เมื่อแรกสุด อู่หวงเคยพูดว่าถ้าตนไม่ยอมแพ้ ก็จะไม่รามืออย่างเด็ดขาด
ที่หลินสวินอยากทำในตอนนี้ก็คือเอาคำพูดของเขาคืนสนองไปที่ตัวเขาเอง!
โครม!
ปราณกระบี่ไท่เสวียนหนาแน่นคำรามลงมา เปล่งรัศมีเจิดจ้าดุจธารดาราเทลงสู่เก้าชั้นฟ้า สะท้อนฟ้าดิน
ด้วยการกระตุ้นของกลิ่นอายดุดันน่ากลัวไร้สิ้นสุดนั้น อู่หวงที่บางเจ็บสาหัสมานานแล้วก็รู้สึกสยดสยอง รับรู้ได้ว่าถ้าตนไม่ยอมแพ้อีก ย่อมไม่มีทางมีชีวิตรับการโจมตีนี้ไว้ได้แน่
“ข้ายอมแพ้!”
เขาคำรามออกมา เสียงเหมือนเค้นลอดไรฟัน
สวบ!
ปราณกระบี่เต็มฟ้าหยุดอยู่ห่างจากศีระษะของอู่หวงไปสามฉื่อ
เหนือศีรษะสามฉื่อมีทวยเทพ
แต่ตอนนี้สำหรับอู่หวงแล้ว เหนือศีรษะสามฉื่อมีความตาย!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท