ตอนที่ 589 ฆ่าสามีเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการฝึกตนเป็นเซียน / ตอนที่ 590 บริการรับใช้
ตอนที่ 589 ฆ่าสามีเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการฝึกตนเป็นเซียน
ฮั่วเจ้ายวนเป็นคนที่เคยผ่านความลำบากตรากตรำมาเช่นกัน ย่อมรู้ว่าสิ่งที่ครอบครัวสามัญชนทั่วไปกินควรเป็นรูปแบบไหน
โดยสรุปคือไม่ใช่มีทั้งปลาและเนื้อสัตว์เช่นที่อยู่ตรงหน้านี้
ที่ผ่านมาเขานึกว่าซ่งอิง บุตรสาวคนหนึ่งของจวนโหวผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อกลับมายังหมู่บ้านชนบทก็น่าจะลำบากแสนเข็ญ ถึงขั้นเห็นใจและสงสารนางจนเป็นฝ่ายมอบเงินให้ถึงที่หลายตำลึงเงิน…
แต่บัดนี้เพิ่งรู้ว่าตนมองคนผิดไปแล้ว!
น่าสงสาร?!
ดูเรือนที่กว้างขวางนี้สิ ถูกนางจัดระเบียบออกมาราวกับแดนสวรรค์ โดยเฉพาะเหล่าดอกไม้ที่ปลูกไว้ในลานบ้าน ตอนนี้ผลิบานอย่างดงาม กลิ่นหอมชวนให้คนหลงใหล แค่หยิบยกกระถางใดกระถางหนึ่งออกไปก็ขายได้หลายตำลึงเงิน
ครั้นเขามองไปอีกครั้งก็เห็นงานปักดอกไม้บนอาภรณ์ที่ซ่งอิงสวม
เสื้อผ้าของนางดูเรียบง่าย ปักเพียงลวดลายเล็กๆ เอาไว้สามสี่รูป มิหนำซ้ำยังดูมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างยิ่ง แต่งานปักนั่นกลับให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา หากปักลงบนของอย่างอื่นบ้าง เกรงว่าจะเป็นมูลค่าไม่น้อยเช่นกัน
แล้วยังมี…
ยาสระผมและสบู่หอมนั่นอีก เขาก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้างแล้วเช่นกัน
เพียงแต่ว่าที่ผ่านๆ มาเขาไม่ได้คิดมากมายนัก รู้สึกเพียงแค่กิจการเหล่านี้น่าจะพอเลี้ยงปากท้องได้เท่านั้น แต่ตอนนี้มองเห็นซ่งอิงกินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เกรงว่าผลกำไรของร้านค้าเหล่านั้นจะไม่ธรรมดา…
ฮั่วหรงกินข้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เริ่มขบคิดในสมองว่าจะหาเงินอย่างไรจึงจะทำให้ตนไม่เหมือนหนุ่มน้อยผู้อ่อนต่อโลกคนหนึ่ง
ความสามารถของเขา…
มีฐานะตัวตนเป็นอุปสรรค ดังนั้นทำได้เพียงทำเรื่องอย่างที่ชาวชนบททำกัน ซึ่งก็คือ…ล่าสัตว์?
ฮั่วหรงสีหน้าเคร่งเครียด ก็มีเพียงวิธีการนี้แล้วเช่นกัน
“อีกเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปบนเขาสักหน่อย” ฮั่วหรงกล่าว
“เอาสิ เซียงกงช่วยเก็บเอาโสมป่ากลับมาให้ข้าสักหนึ่งกอด้วยสิ ข้าอยากปลูกไว้ในลานหลังบ้าน ไม่เอาขนาดใหญ่โตมากมายหรอก ขนาดหนาแค่นิ้วก้อยก็พอแล้ว” ซ่งอิงไม่ให้ความเกรงใจเลยสักนิด “แต่หากเอามาได้หลายกอก็ยิ่งดี ให้ลูกหลินไปเป็นเพื่อนท่านด้วยก็แล้วกัน”
“…” ฮั่วหรงจ้องมองนาง กลับเห็นใบหน้างดงามสดใสของซ่งอิงดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยสักนิด“เก็บ…โสมหรือ” ฮั่วหรงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว” ซ่งอิงกล่าวหน้าตาเฉย
มีฮั่วหลินติดตามไปด้วย การจะหาโสมเจอสักสี่ห้ากอจึงเป็นเรื่องง่ายดายมาก แน่นอนว่านางเอ่ยถ้อยคำนี้ออกไปตามตรงไม่ได้!
ทางหมู่บ้านที่นางซื้อไว้เลี้ยงสัตว์จำนวนมากขนาดนั้น แล้วจะขาดตกบกพร่องพืชชนิดนี้ไปได้อย่างไรเล่า
“หรือไม่ท่านเอาตะกร้าไม้ไผ่ติดไปด้วย นอกจากโสม หากมีสมุนไพรจำพวกเห็ดหลินจือ เหอโส่วอู หวงฉี สือหูและตังกุยก็ขุดเอากลับมาให้ข้าสักหน่อยด้วยแล้วกัน ลานหลังบ้านเราพื้นที่กว้างขวางมาก ข้าเตรียมพื้นที่เอาไว้แล้ว เอาทั้งหมดมาปลูกไว้เสีย” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
คำพูดนี้ตามจริงแล้วเป็นการบอกกับภูตโสม
ชนิดพืชที่นางปลูกไว้ในช่องว่างระหว่างมิติล้วนเป็นจำพวกแตงและผักใบเขียวทั่วไป นางไม่กล้าเสี่ยงปลูกสมุนไพร
หลักๆ ก็เพราะเกรงกลัวว่าพลังงานหลิงชี่จะมากเกินไป เป็นผลให้พืชพันธุ์เกิดสติปัญญาอันฉลาดเฉียบแหลมถึงขั้นบรรลุได้อย่างรวดเร็วเกินไป แม้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ตอนนี้นางตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องช่องว่างระหว่างมิติ อย่างไรเสียนางก็ยังไม่รู้ว่าสรุปแล้วหากปีศาจอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติจะปลอดภัยหรือไม่
ได้แต่ปล่อยให้ช่องว่างระหว่างมิติของนางมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ เมื่อนางเข้าใจเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างมิติลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นหากมีความจำเป็นค่อยเลี้ยงปีศาจเอาไว้ในช่องว่างระหว่างมิติก็ยังไม่สายเช่นกัน
ส่วนสมุนไพรเหล่านั้น หากปลูกไว้ในลานหลังบ้าน ฮั่วหรงจะมองเห็นในไม่ช้าก็เร็ว
ไม่สู้ให้ตัวเขาไปเอามันมาด้วยตัวเอง เช่นนี้จะได้ลดความสงสัยไปด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง นางในตอนนี้เป็นคนที่มีสามีแล้ว!
สามีเอาไว้ใช้ทำอะไรเล่า หากไม่ใช่หลับนอนเช่นนั้นก็ใช้งาน ซึ่งข้อแรกไม่ได้อยู่ในการวางแผนของนาง เช่นนั้นก็ย่อมต้องทำข้อหลังให้เต็มที่สักหน่อย หากข้อหลังยังไม่ทำ เช่นนั้นจะหวังให้นางพลอดรักกับฮั่วหรงหรืออย่างไร
ไม่มีทาง!
อารมณ์ทั้งเจ็ดและกิเลศทั้งหก[1] ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญตนเป็นเซียน
หากให้นางฆ่าสามีเพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นในการฝึกตนเป็นเซียน นางก็จะหยิบมีดยาวมาสับฮั่วหรงเป็นเนื้อบดเสียตอนนี้เลย
ฮั่วหรงไม่รู้เช่นกันว่าซ่งอิงคิดอะไรอยู่ รู้สึกเพียงแค่แววตาของนางช่างอวดดีอย่างยิ่ง
แต่จะทำอย่างไรได้ เขาจึงทอดถอนใจออกมา “ข้าจะลองดู เพียงแต่…สมุนไพรเหล่านี้ล้วนไม่ใช่หญ้าที่จะอยู่ทั่วตามพื้นดิน เกรงว่า…อาจไม่สมดังใจปราถนาของเจ้า”
อย่างไรก็ตาม หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทัศนคติสามด้าน[2]ของฮั่วหรงก็ถึงกับป่นปี้
ตอนที่ 590 บริการรับใช้
ตอนที่เขากลับบ้านเกิด นำมาเพียงผ้าที่ห่อของไว้อย่างเรียบง่าย
เป็นเพียงแค่พวกเสื้อผ้าเท่านั้น นอกจากนี้ก็มีเพียงอาวุธแหลมคมประจำกายหนึ่งชิ้นอย่างกริชที่ทำจากเขี้ยวหมาป่า
เดิมทีอยากใช้กริชเขี้ยวหมาป่านี้ไปล่าสัตว์ แต่ท่ามกลางขุนเขาลึกเต็มไปด้วยความอันตราย ด้วยความที่ต้องพาฮั่วหลินบุตรชายคนนี้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เขาจึงคิดอยู่ว่าจะขุดหลุมกับดักไว้รอบนอกก็เป็นอันสิ้นเรื่อง หากโชคดีคงจับกระต่ายได้สามสี่ตัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฮั่วหลิน เจ้าเด็กน้อยคนนี้จะวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
“ท่านพ่อ ตรงนี้มีหลินจือ ท่านเก็บมันสิขอรับ” ฮั่วหลินชี้ไปบริเวณใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วกล่าว
ฮั่วหรงตะลึงงันชั่ววูบ เห็ดหลินจือที่เด็ดเอามาแล้วนี่…ยังจะปลูกขึ้นอีกหรือ
“ท่านพ่อ ตรงนี้มีหวงฉีหย่อมเล็กๆ อยู่ด้วยขอรับ” เด็ดเห็ดหลินจือมาได้ไม่นานนัก ฮั่วหลินก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
ฮั่วหรงเบิกตาโต รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
แต่สมุนไพรอย่างหวงฉีที่ว่านี้…เขาเองก็รู้จัก หย่อมตรงหน้าที่เห็นอยู่ เป็นหวงฉีจริงๆ“ท่านพ่อ ตรงนั้นมีโสมสองกอเล็กๆ ท่านขุดระวังหน่อยนะขอรับ อย่าได้ขุดรากฝอยของมันขาดเชียวนะขอรับ!” หลังจากเดินไปอีก ภายในครึ่งเค่อ ฮั่วหลินก็ชี้นิ้วไปบริเวณที่ห่างออกไปสามเมตรแล้วกล่าว
ฮั่วหรงมองไป ก็เห็นเป็นโสมต้นเล็กๆ จริงด้วย เล็กขนาดที่ว่าแทบมองไม่เห็น ไม่รู้เช่นกันว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้เห็นได้อย่างไร“ท่านพ่อ เราไปทางด้านป่าสนผืนนั้น หาเห็ดตีนใหญ่เอามาทำกินกันเถอะ ของสิ่งนั้นเอามาตุ๋นกับไก่อร่อยมากเชียวละ ต่อให้ไม่ตุ๋นไก่ แค่เอามาผัดก็รสชาติดีมากยิ่งเช่นกัน” ภูตโสมกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
ฮั่วหรงอยากปฏิเสธอย่างยิ่ง หากเขาตัวเดียว อยู่ท่ามกลางป่าเก่าแก่ในส่วนลึกของภูเขาจะไปจะมาก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ทว่าเด็กน้อยคนนี้…
อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ฮั่วหลินก็วิ่งฝุ่นตลบไปแล้ว
ราวกับว่าฮั่วหลินรู้จักเส้นทางอย่างไรอย่างนั้น วิ่งโค้งไปโค้งมา ไม่นานนักก็มาถึงป่าสนผืนหนึ่ง
ลูกตาคู่นั้นมองไปทั่วสารทิศ สุดท้ายปรากฎว่าเก็บเห็ดตีนใหญ่ขนาดโตๆ ที่อยู่ใต้ใบสนแห้งได้
“ดูเหมือนเจ้าคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้อย่างยิ่ง” ฮั่วหรงรู้สึกถึงความไม่ปกติขึ้นมาแล้วเช่นกัน
“ท่านแม่ข้าบอกไว้ว่าข้าเป็นลูกชายของพรานล่าสัตว์ ส่วนลึกๆ ในเขาก็คือบ้านข้า ท่านแม่ยังบอกอีกว่าตอนที่เก็บข้าได้ ข้าอยู่บริเวณเชิงเขาลูกนี้ ดังนั้นข้าต้องเป็นเด็กที่เซียนสวรรค์ส่งมาให้นางเป็นแน่!” ภูตโสมเงยดวงหน้าน้อยๆ ของเขา แล้วกล่าวอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมต่อไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าบอกว่าข้าเป็นบุตรเทพภูผากลับชาติมาเกิด จะต้องได้รับการปกปักษ์อันยิ่งใหญ่จากขุนเขาเป็นแน่! ท่านดูสิ ความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นว่าท่านแม่ข้าพูดถูก เมื่อใดก็ตามที่ข้ามากลางเขาแห่งนี้ ต้องการอะไรก็มีสิ่งนั้น!”
ท่านแม่เขายังบอกอีกว่า หากพ่อบุญธรรมผู้นี้ไม่เชื่อ ก็สบประมาทเขาอย่างรุนแรงเสียเลย
ฮั่วหรงไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเป็นทุนเดิม แต่ ณ ขณะนี้ เขาย้อนนึกถึงภาพฉากที่อารามเมื่อปีที่แล้วตอนนั้นกลางท้องนภามีสิ่งที่ดูค่อนข้างคล้ายวิญญาณผีล่องลอยไปมาจริงๆ เห็นได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เชื่อกลับไม่แน่เสมอไปว่านั่นคือเรื่องหลอกลวง
นัยน์ตาลุ่มลึกของฮั่วหรงฉายประกายครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็พยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าพูดได้มีเหตุผล ในเมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางเขาแห่งนี้เสมือนปลาได้น้ำ[3] ก็เห็นได้ว่าเจ้ามีวาสนากับขุนเขาลูกนี้จริง”
นอกจากนี้แล้ว เขายังจะพูดอย่างไรได้อีก
จะสงสัยว่าเด็กที่ตัวเล็กคนนี้มีการเตรียมคำพูดไว้ล่วงหน้า จงใจสร้างเรื่องเทพเซียนและภูตผี?
เป็นไปมิได้ ตรงนี้เป็นถึงส่วนลึกของภูเขา เดินๆ ไปก็หลงทางได้ง่ายๆ แม้กระทั่งขุดหลุมกับดักเอาไว้ล่วงหน้า ตอนที่มาเยือนในครั้งถัดไปก็อาจจะหาบริเวณหลุมกับดักไม่เจอแล้ว และใครกันจะจัดวางพวกเห็ดหลินจือ เห็ดตีนใหญ่อะไรพวกนี้เอาไว้อย่างแม่นยำเช่นนี้
หากกล่าวว่าเขามีพลังปีศาจ…
ฮั่วหรงยิ่งไม่เชื่อไปกันใหญ่ หากเป็นปีศาจ เกรงว่ามีแต่จะซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด เกรงกลัวว่าคนอื่นค้นพบเข้า จะเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
นอกจากนั้น ไม่ว่ามองอย่างไร นี่ก็เป็นเด็กน้อยที่น่ารักและบริสุทธิ์คนหนึ่ง
ภูตโสมคลี่ยิ้มกว้างแล้วหัวเราะแฮะๆ
เขายังเก่งกาจไม่เบา
กระทั่งท้องนภามืดมิด สองพ่อลูกจึงกลับไป นอกจากสมุนไพรหนึ่งตะกร้าไม้ไผ่ก็ล่าสัตว์ไม่ได้สักตัว
สีหน้าฮั่วหรงแข็งทื่อเล็กน้อย
ซ่งอิงคลี่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าว “เซียงกงไปช่วยบริการรับใช้เพื่อข้าเป็นการเฉพาะเลยใช่หรือไม่ ข้ามองดูอย่างละเอียด นอกจากสิ่งของที่ข้าต้องการ ก็…ไม่ได้อย่างอื่นกลับมาเลยแม้แต่ขนนก”
[1] อารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก (七情六欲) อารมณ์ทั้งเจ็ด ได้แก่ ดีใจ โกรธ เศร้า สุข ทุกข์ กลัว กังวล กิเลสทั้งหกได้แก่ กิเลสทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ฤทธิ์
[2] ทัศนคติสามด้าน (三观) ทัศนคติสามด้านได้แก่ การมองเห็น มุมมอง ทัศนคติ
[3] เสมือนปลาได้น้ำ (如鱼得水) เป็นสุภาษิตคำพังเพยจีน ที่หมายถึง การที่ได้อยู่อาศัยในสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมอันเหมาะสม หรือการที่บุคคลหนึ่งปรับตัวเข้าสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้ดี