Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1916 สมบัติดึกดำบรรพ์ในหีบสำริด

ตอนที่ 1916 สมบัติดึกดำบรรพ์ในหีบสำริด

ตอนที่ 1916 สมบัติดึกดำบรรพ์ในหีบสำริด

บนยานขนส่งอวกาศ

หลินสวินล้าไปทั้งร่าง ล้วงเอาโอสถเทพกำหนึ่งออกมาเริ่มหลอมกิน

ในการเข่นฆ่าก่อนหน้านี้ เขาปลดปล่อยสุดกำลังถึงสังหารระดับกึ่งจักรพรรดิหกคนได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องเสียพลังงานมากถึงขีดสุดด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะการสำแดงอภินิหารหยุดเวลา แทบจะสูบพลังครึ่งหนึ่งของเขาไปในพริบตา!

แต่ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้อย่างลึกซึ้ง ว่าพลังต่อสู้ที่ตนมีในตอนนี้ไม่ต้องเกรงกลัวระดับกึ่งจักรพรรดิในโลกแล้ว

หลินสวินรู้ดีว่าที่ระดับกึ่งจักรพรรดิอยู่เหนือเหล่าอริยะได้ พลังที่ครอบครองย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน

ในหมู่กึ่งจักรพรรดิที่ตนพบเจอในตอนนี้ ยังไม่เคยมีพวกร้ายกาจอะไร แต่ที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ ในบรรดากึ่งจักรพรรดิจะต้องมีพวกร้ายกาจที่กร้าวแกร่งถึงขีดสุดอยู่แน่นอน

อย่างเช่นมกุฎกึ่งจักรพรรดิ!

‘ยามพลังปราณของข้าบรรลุระดับมกุฎราชันอริยะขั้นปลาย ครอบครองเขตแดนมรรคสมบูรณ์เต็มที่แล้ว บางทีต่อให้พานพบมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ก็น่าจะไม่ต้องหวาดหวั่นแล้วเช่นกัน…’

หลินสวินทำสมาธิไปพลางครุ่นคิดไปพลาง

เส้นทางมหามรรคอันตรายสุดหยั่ง โลกใหญ่หงเหมิงนี่เป็นถึงโลกใหญ่อันดับหนึ่งของทางเดินโบราณฟ้าดารา ย่อมต้องมีพวกโดดเด่นน่าทึ่งที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดเยอะมากอยู่แล้ว

เขาไม่ได้คิดว่าตนในระดับนี้จะสามารถไร้ศัตรูได้จริงๆ

พูดง่ายๆ คือ การฝึกปราณทั้งไม่อาจยกตนว่าอยู่สูงกว่า และไม่อาจกดตนว่าต้อยต่ำ ความมุ่งมั่นในสภาวะจิตนี้คือสิ่งสำคัญที่สุด

ครึ่งวันให้หลัง เมืองหลิงเฟิง

หลินสวินเข้าไปอย่างเงียบๆ กลางฝ่ามือเขากำป้ายหยกชิ้นหนึ่ง โปร่งแสงแวววาว พยับเมฆสีม่วงรายล้อม บนนั้นประทับคำว่า ‘เร้นหมอก’ เอาไว้สองคำ

ไม่นานนัก ด้วยการใช้ป้ายหยกนี้ทำให้หลินสวินเสาะหาทางเข้าตลาดมืดใต้ดินในเมืองหลิงเฟิงเจอ

นั่นเป็นร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่ง ทางเข้าอยู่ในห้องหลอมอาวุธห้องหนึ่ง

เมื่อเข้าไปในนั้นดุจดั่งเข้าสู่โลกอีกใบ ควันคละคลุ้ง ปราศจากความรุ่งเรืองจอแจของโลกภายนอก แต่ละคนล้วนเดินเหินรีบเร่ง

หลินสวินเห็นจนชินตานานแล้ว เมื่อผู้ดูแลเรือนเร้นหมอกคนหนึ่งเดินมา หลินสวินก็ยื่นป้ายหยกสีม่วงในมือออกไปตรงๆ

นี่คือสิ่งที่ชิงอิงมอบให้

ถึงตอนนี้ยามหลินสวินนึกถึงหญิงสาวลึกลับเรือนผมดำขลับดุจสีหมึก สวมชุดกระโปรงสีเขียวอรชร กางร่มสีเลือดคนนี้ ก็ยังคงรู้สึกตราตรึงอยู่ดังเดิม

 คุณชายเชิญทางนี้ 

เมื่อเห็นป้ายหยกสีม่วงชิ้นนี้ สีหน้าของผู้ดูแลคนนั้นพลันเปลี่ยนไป ฉายแววเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจากใจ

ภายในห้องโถงที่เตรียมไว้เพื่อแขกพิเศษโดยเฉพาะ หลินสวินบอกจุดประสงค์การมาของตน  ข้าอยากจะปล่อยสมบัติพวกนี้หน่อย 

กล่าวพลางเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง สมบัติกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับภูเขาลูกย่อมๆ แสงหลากสีไหลเวียน เรืองรองทั่วห้อง

สมบัติเหล่านี้เป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มายามสังหารศัตรู หลังจากหลินสวินออกจากแคว้นเขียว

สมบัติของกึ่งจักรพรรดิหกคนที่สังหารก่อนหน้านี้ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

แน่นอน สมบัติล้ำค่าบางส่วนที่มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณของเขาถูกเขาเก็บไว้แล้ว ของที่นำออกมาตอนนี้ล้วนเป็นพวกของที่เขาใช้ประโยชน์ไม่ได้

ผู้ที่รับผิดชอบประเมินทรัพย์เป็นอริยะสองคน ชายชราชุดขาวหนึ่งคน กับชายชุดเทาหนึ่งคน เมื่อเห็นภาพนี้ลมหายใจล้วนเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น ครู่ใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้

เพียงแต่ยามที่มองไปทางหลินสวิน สายตายิ่งเคารพนบนอบมากขึ้นเรื่อยๆ

แขกพิเศษผู้นี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน!

ต่อมาพวกเขาเริ่มยุ่งง่วน เวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ กว่าจะประเมินทรัพย์สมบัติทั้งหมดเสร็จสิ้น

สามสิบเอ็ดล้านผลึกมรรค!

นี่ก็คือมูลค่าของสมบัติเหล่านี้ หนำซ้ำเพราะหลินสวินพกป้ายหยกสีม่วงมาด้วย ราคาจึงต่างจากตลาดภายนอกเพียงแค่หนึ่งส่วน

 คุณชาย ตลาดมืดใต้ดินเมืองหลิงเฟิงคงจะรวบรวมผลึกมรรคมากขนาดนี้ในชั่วครู่ไม่ได้ ท่านให้เวลาพวกเราสักหน่อย รอรวบรวมผลึกมรรคแล้วค่อยทำการค้าขายครั้งนี้ดีหรือไม่ 

ชายชราชุดขาวกล่าวอย่างระมัดระวัง

 เวลาข้ากระชั้นชิด เกรงว่าคงรอไม่ไหว 

หลินสวินขมวดคิ้วกล่าว

เขาไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะเกิดความละโมบยักยอกสมบัติเหล่านี้ หนึ่งเพราะเขามีป้ายหยกสีม่วง สองก็เพราะรากฐานพลังแห่งตนของเขา จึงไม่ต้องเกรงกลัวเลยสักนิด

 นี่… 

อริยะสองคนนั่นปรึกษากันทันที

ครู่ใหญ่ชายชุดเทาพลันกล่าวว่า  คุณชาย เมื่อวานพวกเราได้รับสมบัติซึ่งมีที่มาลึกลับกองหนึ่ง หากท่านสนใจก็สามารถตีราคาเป็นผลึกมรรคขายให้ท่านได้ 

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง สนใจไม่มาก แต่ก็พอมองออกว่าการให้พวกเขาควักผลึกมรรคมากขนาดนั้นออกมาในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าบีบคั้นผู้อื่นเกินไปหน่อย

เขาขบคิดก่อนเอ่ยว่า  เอามาดูหน่อยก็แล้วกัน 

ดังนั้นชายชุดเทาจึงรีบออกไปทันที ไม่นานก็นำหีบสำริดขนาดใหญ่ใบหนึ่งย้อนกลับมา

หีบสำริดใบนั้นสูงถึงครึ่งตัวคน กว้างสองฉื่อ สนิมเขรอะเป็นด่างดวง เก่าเก็บคร่ำคร่า บนพื้นผิวปิดด้วยกระบวนผนึกลายอักขระสีดำเป็นชั้นๆ

หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออก นี่คือประทับผนึกชั้นแล้วชั้นเล่า ซ้ำยังเนิ่นนานหลายปีแล้ว

เมื่อวางหีบสำริดลง ชายชุดเทาคนนั้นล้วงกุญแจยันต์ดอกหนึ่งออกมาเสียบกลางผนึกอักขระหน้าหีบ

หลังจากเสียงเสียดสีกึกกัก หีบสำริดขนาดใหญ่ใบนี้ถูกเปิดออกช้าๆ

ภาพภายในหีบสะท้อนเข้าสู่สายตาหลินสวินทันที

ประทับสำริดขนาดเท่ากำปั้นชิ้นหนึ่ง ธงเล็กเหลืองอ่อนยาวครึ่งฉื่อผืนหนึ่ง ดินเหนียวเทาขุ่นเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง รวมถึงไม้วิญญาณที่เน่าเปื่อยรากหนึ่ง

สมบัติสี่ชิ้น แต่ละอย่างล้วนประกายแสงจืดจาง ไร้ซึ่งพลังวิเศษ วางกองกันอยู่ตรงนั้นก็เหมือนเศษทองแดงเหล็กแตกหักกองหนึ่ง

ทว่าเมื่อสัมผัสอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าสมบัติแต่ละชิ้นต่างแผ่กลิ่นอายแห่งกาลเวลาผันแปรที่ออกมา!

 คุณชาย สมบัติสี่ชิ้นนี้รวมถึงตัวหีบ ต่างเป็นของปล่อยขายของแขกคนหนึ่งเมื่อวานนี้ จากที่เขาว่ามา สมบัติเหล่านี้ตกทอดมาจากยุคดึกดำบรรพ์ แต่ละชิ้นล้วนมีอานุภาพประหนึ่งสะเทือนฟ้าดิน 

ชายชุดเทาเอ่ยปากเสียงเบา  จากการประเมินของพวกเรา พบจริงๆ ว่าสมบัติเหล่านี้น่าจะตกทอดมาจากสมัยดึกดำบรรพ์ แต่อานุภาพของมันจะสะเทือนฟ้าดินหรือไม่ก็พูดยากแล้ว… 

ชายชราชุดขาวกล่าวเสริม  สมบัติเหล่านี้ดูคล้ายไม่มีพลังวิเศษใด ราวกับเศษขยะกองหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของมันไม่ธรรมดาอย่างที่สุด 

เขาชี้ไปยังประทับสำริดที่ขนาดเท่ากำปั้น กล่าวว่า  ก็เหมือนสมบัติชิ้นนี้ ไร้ซึ่งระลอกคลื่นพลังและไม่มีพลังวิเศษใดๆ ถึงขั้นที่แม้แต่รอยสลักมรรคยังไม่มี แต่กลับมีน้ำหนักถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นจิน ใช้สมบัติอริยะกระแทกยังไม่สามารถทำมันเสียหายได้แม้แต่เสี้ยว 

 หรืออย่างธงเหลืองอ่อนครึ่งฉื่อผืนนี้ยิ่งอัศจรรย์เข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่หลอมด้านธงหรือผืนธง ล้วนเรียกได้ว่าไม่เคยได้ยิน เห็นก็ยังไม่เคยเห็น 

 พวกข้าเองก็เชิญนักประเมินทรัพย์บางส่วนที่มีประสบการณ์มาช้านาน แต่ล้วนไม่สามารถจำแนกแยกแยะได้ว่าสมบัติชิ้นนี้หลอมขึ้นมาจากวัสดุเทพระดับใดกันแน่ 

 และต่างจากประทับสำริดนั่น ธงเล็กเหลืองอ่อนผืนนี้เมื่อถือไว้ในมือจะเบาดุจขนนก แทบจะสัมผัสไม่ได้ถึงน้ำหนักของมัน ทว่าน้ำไฟกลับไม่อาจกล้ำกราย พวกข้าเคยใช้พลังระดับอริยะฉีกทึ้งเต็มแรงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรสมบัติชิ้นนี้ได้สักเสี้ยว 

 และไม้วิเศษที่เน่าเปื่อยชิ้นนั้น ที่มาก็สุดหยั่งเช่นกัน 

กล่าวถึงตรงนี้ทั้งคู่ต่างทอดสายตามองหลินสวิน เห็นหลินสวินสำรวจสมบัติเหล่านี้ด้วยความสนใจอยู่บ้าง ในใจต่างคึกคัก

น่าสนุก!

หลังสังเกตอย่างละเอียดครู่ใหญ่หลินสวินก็เอ่ยถาม  สมบัติเหล่านี้ผู้ใดนำมาขายหรือ 

 คนผู้นั้นเป็นชายยากจนคนหนึ่ง บอกว่าครอบครัวตกอับ อยู่ในสภาพข้นแค้น เพื่อจะให้ลูกของตนได้กราบอาจารย์เข้าสำนักฝึกปราณ จึงไม่อาจไม่ขายสมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษเหล่านี้ เพื่อแลกกับการได้รับผลึกมรรคที่เพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกปราณของลูกเขา 

ชายชุดเทากล่าว

 ที่น่าขันคือ เจ้าหมอนี่ถึงกับบอกว่าบรรพบุรุษของตนเคยเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนสมัยดึกดำบรรพ์ สมบัติเหล่านี้ก็นำออกมาจากแหล่งสถานคุนหลุนด้วย 

ชายชราชุดขาวขำพรืดและกล่าวว่า  ตอนนั้นพวกเราก็เชื่อครึ่งระแวงครึ่ง เชิญนักประเมินทรัพย์มากมายมาจำแนก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ต่อให้สมบัติเหล่านี้จะตกทอดมาจากแหล่งสถานคุนหลุน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสมบัติที่สะเทือนฟ้าดินอะไรเลย 

นัยน์ตาดำหลินสวินวาววับ ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน  กล่าวเช่นนี้ พวกเจ้าตั้งใจจะเอาสมบัติที่ไม่ถึงขั้นสะเทือนฟ้าดินพวกนี้มาขายให้ข้าหรือ 

อริยะสองคนอึ้งไป ร้อนรนขึ้นมาทันควัน

 คุณชาย ถึงจะไม่เรียกว่าสะเทือนฟ้าดิน แต่สมบัติเหล่านี้ดีร้ายก็มาจากยุคดึกดำบรรพ์ มูลค่าของมันยากจะประเมินค่าได้ 

 ใช่แล้ว เดิมพวกเราตั้งใจจะนำสมบัติเหล่านี้ไปให้คนใหญ่คนโตเรือนเร้นหมอกประเมินอีกครั้ง แต่ในเมื่อมาพบคุณชายแล้ว หากท่านสนใจ พวกเราก็ยินดีจะนำมาจำหน่ายให้แก่ท่าน 

กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะโก่งราคาสมบัติเหล่านี้เท่านั้น

แน่นอนว่าหลินสวินย่อมเข้าใจจุดนี้

เขาเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว  สมบัติเหล่านี้พวกเจ้าตีราคากี่ผลึกมรรค 

 เก้าล้านผลึกมรรค 

อริยะสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แจ้งจำนวนออกมาพร้อมกัน

 แพงเกินไป 

หลินสวินส่ายหน้า

อริยะทั้งสองกล่าวอธิบายเป็นพัลวัน

 คุณชาย ท่านเองก็เห็นแล้ว สมบัติเหล่านี้แม้จะดูไม่สะดุดตา แต่กลับมีที่มาที่ไปอย่างแน่นอน เผลอๆ ก็อาจจะทำให้ท่านได้ประโยชน์ ราคานี้ไม่แพงเลยจริงๆ 

 ใช่แล้ว บอกอย่างไม่ปิดบัง เมื่อวานพวกเราก็เสียไปมาก ไม่ง่ายเลยกว่าจะซื้อมาจากมือแขกคนนั้นได้ด้วยราคาแปดล้านหกแสนผลึกมรรค ขาดไปแม้แต่ผลึกมรรคเดียวอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตกลง 

ซื้อมาแปดล้านหกแสนผลึกมรรค ขายต่อให้หลินสวินเก้าล้านผลึกมรรค ในตลาดมืดใต้ดินนี่ก็ถือว่าเป็นราคาที่ยุติธรรมยิ่งอย่างหนึ่งแล้ว

หลินสวินเมื่อเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าตอบตกลง

อริยะทั้งสองถอนหายใจโล่งทันที ยิ้มกล่าวว่า  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถจ่ายค่าทรัพย์สินให้คุณชายได้แล้ว 

จากนั้นทั้งสองคนก็นำผลึกมรรคยี่สิบสองก้อนใส่ในถุงเก็บของ และมอบให้หลินสวินพร้อมกับหีบสำริดใหญ่ใบนั้น

หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่งเก็บของพวกนี้ไป ไม่ได้อืดอาดใดๆ ตัดสินใจจากไปทันที

ทว่าตอนที่เขาเพิ่งเดินออกจากห้องโถง ก็เห็นชายวัยกลางคนผอมแห้งคนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา

ยามเมื่อเห็นอริยะสองคนที่มองส่งหลินสวินจากไป ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ร้องเรียกทันที  ท่านทั้งสอง สมบัติบรรพบุรุษที่ข้าขายไปเมื่อวานพอจะไถ่คืนมาได้หรือไม่ 

หลินสวินชะงักเท้าทันที มองสำรวจคนผู้นี้ ก็เห็นเขาหนวดเครารุงรัง ใบหน้าซีดขาว สภาพข้นแค้นคล้ายไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก

ส่วนปราณของเขาก็ถือว่าเหยียบย่างระดับอริยะแล้ว แต่กลับเป็นได้เพียงอริยะเทียมคนหนึ่ง

 ขออภัย สมบัติขายออกไปแล้ว ไม่อาจไถ่คืนได้อีก 

ชายชราชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยขึ้นมา

 ข้ายินดีจ่ายราคาสูง ขอเพียงสามารถไถ่คืนได้ก็พอ! 

ชายวัยกลางคนผอมแห้งพูดอย่างร้อนรน

 น่าขัน เจ้าเห็นพวกเราเรือนเร้นหมอกเป็นอะไร เมื่อการค้าขายสำเร็จ สมบัติเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งของในครอบครองของเจ้าอีก ยิ่งกว่านั้นสมบัติเหล่านั้นพวกเราขายไปหมดแล้ว มีหรือจะให้เจ้าไถ่คืนได้อีก 

ชายชราชุดขาวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

หลินสวินเข้าใจทันที สมบัติในหีบสำริดใบนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ชายวัยกลางคนตรงหน้าผู้นี้ขายออกไป

 สหายทั้งสองช่วยหน่อยเป็นอย่างไร 

ทันใดนั้นเสียงเล็กแหลมสายหนึ่งก็ดังขึ้นมาไกลๆ พร้อมกับเงาร่างสูงเพรียวสวมหน้ากากสีเงินที่เดินเข้ามาทางนี้

……………………….

 

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท