ตอนที่ 649 ไม่ได้เด็ดขาด / ตอนที่ 650 คนเราก็มีอารมณ์และความเห็นใจกันทั้งนั้น
ตอนที่ 649 ไม่ได้เด็ดขาด
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ เป็นผลให้หม่าซื่อทำหน้าไม่ถูก
หม่าซื่ออยากต่อว่าก็ต่อว่าไม่ได้ เพราะเมื่อส่งเสียงดัง ทางด้านสามีนางและซ่งอิงจะได้ยิน ถึงตอนนั้นตาเฒ่าจะต้องไม่เข้าข้างนางเป็นแน่
หม่าซื่อกล้ำกลืนความโกรธเกรี้ยวนี้ลงไป ในใจค่อนข้างเดือดดาลไม่น้อย
เมื่อใดชีวิตประเภทนี้จะสิ้นสุดลงเสียที
ซ่งอิงทักษะการได้ยินยอดเยี่ยม อันที่จริงคำพูดที่ไม่ควรได้ยินล้วนได้ยินชัดเจน
แต่นางไม่ได้ตั้งใจจะแก้ไขอันใด
ทุกคนในตระกูลซ่งล้วนปฏิบัติต่อเจ้าของร่างไม่เลว มีก็แต่หญิงชราผู้นี้ปฏิบัติกับหลานสาวทั้งสามคนที่รวมเจ้าของร่างไปด้วยอย่างเห็นแล้วขัดตา ตอนที่เจ้าของร่างยังเด็ก หม่าซื่อพร่ำบ่นข้างหูนางไม่น้อยด้วยคำพูดทำนองว่า นางเป็นพวกดีแต่ล้างผลาญเงิน ขี้เกียจสันหลังยาว และเป็นตัวกาลกิณี
เจ้าของร่างจิตใจดีและรู้ความ ไม่เคยเอาคำพูดเหล่านี้เอ่ยสู่ภายนอก
แต่จิตใจในวัยเด็กก็ได้รับความเสียหายไปแล้ว จึงมีความรู้สึกหวาดเกรงหญิงชราอยู่บ้าง
หลังจากเปลี่ยนเป็นนาง หม่าซื่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ยังคงใช้สายตามาดร้ายมองนางบ่อยครั้ง นางเชื่อว่า หากผู้เฒ่าซ่งตายจากไป หญิงชราจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาทำให้นางอึดอัดใจ
“ท่านปู่เจ้าคะ ปีหน้าข้าอาจต้องจากบ้านไปไกลสักครั้ง” ซ่งอิงเอ่ยปากกะทันหัน
ครั้นเอ่ยถ้อยคำนี้ ผู้เฒ่าซ่งก็หน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร
“อยู่บ้านดีๆ ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” ผู้เฒ่าซ่งกล่าว
ในดวงตาหม่าซื่อกลับปรากฏประกายขึ้นชั่ววูบ
“ข้าคิดว่า หลังจากปีใหม่ผ่านไปสองสามเดือน เกรงว่าจะมีคนมาหาเรื่องข้า ข้าจะคอยอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เทียบกับการนั่งรอให้คนอื่นมาหาถึงที่ ไม่สู้เป็นฝ่ายไปหาเองที่เมืองหลวงเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ครั้นสิ้นเสียงของซ่งอิง ซ่งจินซานและหร่วนซื่อก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
“หมายความว่าอย่างไร เจ้าจะไปเมืองหลวงหรือ เจ้า…เจ้าไม่ต้องการแม่แล้วหรือ” หร่วนซื่อหยาดน้ำตาไหลรินในชั่วพริบตา
“มิใช่เจ้าค่ะ คุณชายที่มาก่อนหน้านี้ผู้นั้นเคยเจอข้าเมื่อครั้งอยู่เมืองหลวง มิหนำซ้ำข้ายังมีความไม่ลงรอยกับคนเหล่านั้นแล้วด้วย หลังจากกลับไปเกรงว่าจะเอาพวกเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้าไปพูดกับภายนอก และทางด้านนั้นจะต้องมาจัดการให้เรียบร้อยเป็นแน่ มิเช่นนั้นก็เท่ากับพวกเขาทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ในมือ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ส่วนที่ว่าจัดการให้เรียบร้อยหมายความว่าอย่างไร…
คนที่มีหัวคิดหน่อยล้วนฟังเข้าใจได้ทั้งนั้น
คนที่เดิมทีควรตายไปแล้วกลับมีชีวิตอยู่เสียนี่ เช่นนั้นทำได้เพียงให้นางตายใหม่อีกครั้งจึงจะได้เรื่อง
สีหน้าทุกคนจึงเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
“วางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้ามีคนฝีมือดีอยู่ข้างกายไม่น้อย ต้องไม่เกิดเรื่องอะไรแน่ แต่ข้ากลัวว่าแผนการแรกของพวกเขาไม่สำเร็จก็คงจะหาแผนการใหม่มาอีก ดังนั้นไม่สู้เป็นฝ่ายชิงลงมือก่อนบ้างจะดีกว่า ไปโผล่หน้าอยู่เมืองหลวงไวหน่อย พวกเขาก็จะได้ไม่นึกถึงพวกท่านขึ้นมาด้วย
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญสุดคือข้าอยากไปเปิดร้านค้าที่เมืองหลวง ถือเสียว่าเป็นการเตรียมการล่วงหน้า เมื่อถึงเดือนเจ็ดเดือนแปด พี่ชายข้าต้องสอบคัดเลือกขุนนาง หากสอบได้ ปีหน้าในช่วงเวลานี้ก็ต้องไปยังเมืองหลวงเช่นกัน หากข้าเตรียมร้านค้าเอาไว้ให้เรียบร้อย ถึงเวลาก็จะสะดวกสบายขึ้นหน่อยเจ้าค่ะ” ซ่งอิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อสิ้นเสียงพูดของซ่งอิง ผู้เฒ่าซ่งก็วางตะเกียบลงเสียงดัง ‘ปึง’
“หากพวกเขาอยากมา ก็ให้เขามา! คนทั้งครอบครัวเรากลัวพวกเขาเสียที่ไหน!” ผู้เฒ่าซ่งโกรธจัด
โดยสรุปแล้ว สาวน้อยจอมดื้อรั้นผู้นี้ก็เพราะกลัวว่าจะพานให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วย จึงเป็นฝ่ายเสนอตัวไปหาถึงที่!
เช่นนั้นไม่ได้!
เขาไม่เชื่อหรอกว่า จวนโหวทางด้านนั้นจะใจกล้าอาจหาญถึงขั้นข่มเหงรังแกเครือญาติ!
หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็พร้อมสละชีวิตผู้ชรานี้ไปฟ้องร้องพวกเขา!
ซ่งอิงคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าซ่งจะคัดค้านใหญ่โตเพียงนี้
นางคิดว่าผู้เฒ่าซ่งน่าจะไม่อยากให้นางทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วยสิ
“นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุด อีกทั้งไม่ต้องเป็นห่วงข้าเจ้าค่ะ ข้ามีความสามารถในการป้องกันตัวเอง” ซ่งอิงกล่าว
“เจ้าเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ตอนนี้คิดอะไรก็ทำได้หมด! แต่ต่อให้เจ้าคิดมากเพียงใด ด้วยมิตรภาพระหว่างข้ากับหัวหน้าหมู่บ้าน หากข้าไม่ตกลง เขาก็จะไม่ออกใบนำทางให้แก่เจ้าเช่นกัน เจ้าก็จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!” ผู้เฒ่าซ่งส่งเสียงสบถฮึ
“ต้องการไปก็ได้เช่นกัน แต่มีข้อแม้ว่าพี่ชายเจ้าต้องสอบผ่านจวี่เหรินแล้วจริงๆ ถึงตอนนั้นเขาขึ้นทะเบียนเป็นนายท่านจวี่เหรินอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่มีคนกล้าเล่นงานเขา และอย่างน้อยก็ข่มคนให้กลัวได้ แต่ตอนนี้ไปมิได้เด็ดขาด!” ผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 650 คนเราก็มีอารมณ์และความเห็นใจกันทั้งนั้น
แม้ว่าผู้เฒ่าซ่งไม่เคยเห็นโลกกว้างมากมายนัก แต่ก็รู้ว่าผู้ดำรงเกียรติศักดิ์จวี่เหรินของราชสำนักจะได้รับการปกป้องโดยทางการหลวง หากเกิดอะไรขึ้นกับจวี่เหริน ทางราชการจะต้องตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจังเป็นแน่ หากเป็นญาติพี่น้องของจวี่เหริน ชะตาชีวิตน้อยๆ ของสาวน้อยผู้นี้ก็จะไม่ถึงขั้นไร้ค่า
หากยินยอมตามคำพูดของซ่งอิง ปล่อยให้นางไปเมืองหลวง เช่นนี้แน่นอนว่าทั้งครอบครัวซ่งก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว
ไม่แน่ว่าส่งเด็กคนนี้ไป จวนโหวทางด้านนั้นอาจจะดูแลเอาใจใส่ซ่งสวินเล็กน้อยอีกด้วย แต่เขาผู้เป็นญาติผู้ใหญ่อาวุโส กลับเคยทิ้งเด็กคนนี้ไปสองครั้งแล้ว…
คนเราก็มีอารมณ์และความเห็นใจกันทั้งนั้น
เมื่อก่อนเขาผู้เป็นปู่คนนี้ก็ไม่ได้มีเวลาดูแลเอาใจใส่หลานสาวและหลานชายมากนัก ดังนั้นจะว่ามีความรักและห่วงใยล้นหลามก็คงเป็นไปไม่ได้ อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกสนิทคุ้นเคยกว่าคนนอกมากหน่อยเท่านั้นเอง
แต่ลองนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา และความดีที่เอ้อร์ยามีต่อตระกูลซ่งเหล่านี้ ซ่งเหล่าเกินรู้สึกว่าตนไม่อาจไม่ทำตัวให้สมกับหน้าที่ได้
เขาทำหน้าที่ญาติผู้อาวุโสได้ไม่ดีมากนัก แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกับเรื่องในอดีต ดูแลเรื่องในครอบครัวสารพัดอย่าง ที่ตระกูลซ่งมีเด็กๆ ที่ประสบความสำเร็จได้ นั่นก็เพราะพึ่งพาวาสนาของนางเช่นกัน
หากตัดพวกเรื่องไมตรีจิตความรักใคร่ห่วงใยเหล่านี้ออกไป พูดถึงเรื่องความเป็นลูกเป็นหลานเท่านั้น หากตอนนี้เขายังให้คนตระกูลซ่งทั้งผู้ใหญ่และเด็กรักตัวกลัวตายอยู่ให้ห่างจากนาง เช่นนั้นภายภาคหน้าเด็กๆ ในตระกูลก็จะเลียนแบบตาม ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน วันหลังมีความยากลำบากใด คนอื่นก็จะเอาแต่มองอยู่ห่างๆ นี่ออกจะใจไม้ไส้ระกำเกินไปแล้วน่ะสิ!
“ข้ารู้ เจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีเงินแล้ว ถึงตอนนั้นก็จ้างผู้คุ้มกันไว้มากหน่อย แต่จวนโหวทางด้านนั้นมีอำนาจ หากเจ้าเป็นราษฎรทั่วไป ความเป็นความตายล้วนอยู่ในกำมือตระกูลนั้น! เจ้าอายุยังน้อย หลายเรื่องราวล้วนไม่รู้ประสีประสา” ผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งอิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
หัวหน้าหมู่บ้านและผู้เฒ่าซ่งล้วนเป็นคนที่มีเหตุผลและสติปัญญาอย่างยิ่ง ต้องไม่ออกใบนำทางให้แน่
ไม่มีใบนำทางย่อมไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น อย่างไรเสียหลังจากไปถึงที่ใหม่สักแห่ง จะอย่างไรก็ต้องหาเช่าที่อยู่ ต่อให้ไม่เช่าที่อยู่ เช่นนั้นก็ต้องซื้อเรือน ไม่มีใบนำทางเป็นหลักฐานยืนยันก็แสดงว่าตัวตนของนางมีความน่าสงสัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือร้านค้าล้วนซื้อไม่ได้ทั้งนั้น และผู้ค้ามนุษย์เหล่านั้นก็ไม่กล้าทำกิจการกับนางเช่นกัน!
“ท่านปู่เจ้าคะ ท่านต้องคิดให้ดีๆ นะเจ้าคะ หากข้าอยู่ที่นี่ต่อไป ต้องทำให้พวกท่านเดือดร้อนไปด้วยแน่” ซ่งอิงขู่ “ท่านดูคนจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์เหล่านั้นสิเจ้าคะ ออกจากบ้านมาทีก็พาองครักษ์มาด้วยเป็นสิบๆ คน สังหารคนได้อย่างเลือดเย็น ต่อให้เป็นทางการขุนนางก็ยังไม่กล้ายุ่งด้วย พวกเขาหาใครสักคนมาเป็นแพะรับบาปแทนก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงตอนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ ในครอบครัว ท่านอย่าได้ตำหนิโทษข้าเชียวนะเจ้าคะ”
เมื่อซ่งอิงพูดถ้อยคำนี้จบ เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่และคนอื่นๆ ล้วนสีหน้าเปลี่ยนไป
“เจ้าขู่ข้าให้น้อยหน่อย ต่อให้พวกเขาบังอาจมากเพียงใด ก็ไม่กล้าเข่นฆ่าญาติในวงศ์ตระกูลได้หรอก หากถูกคนอื่นรู้เข้า คงต้องเสื่อมเสียเกียรติไปตลอดกาล!” ตอนนี้ผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ใช่คนแก่ที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรทั้งนั้นแล้ว
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในตัวอำเภอ มิใช่ว่ามีอาจารย์อยู่ด้วยคนหนึ่งหรอกหรือ ตอนที่เขาได้พูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนหนังสือก็พอได้รับรู้อะไรมาบ้าง
อย่าว่าแต่คนตระกูลใหญ่โตเลย ต่อให้เป็นครอบครัวเล็กๆ ทั่วไปก็ให้ความสำคัญกับวงศ์ตระกูลบรรพบุรุษอย่างยิ่ง ทางฝั่งเขานี้แม้ไม่ได้สนิทสนมกับจวนโหว แต่ในปูมประวัติก็มีชื่อของพวกเขาอยู่ด้วยเช่นกัน!
หากคำนวณขึ้นมาจริงๆ ระหว่างเขากับโหวเหยียคนปัจจุบันนี้ยังไม่พ้นจากห้าลำดับชั้นทางเครือญาติเลยด้วยซ้ำ!
เพียงแต่เพราะตอนที่ปรากฏผู้รับบรรดาศักดิ์ท่านโหวคนแรกขึ้นมา ผู้อาวุโสลำดับก่อนหน้าครอบครัวเขาไม่อยากเกาะบารมีไปด้วย จึงไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยว ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ยินยอมไปตั้งรกรากอยู่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นระยะเวลาเนิ่นนานเข้า ความสัมพันธ์นี้ก็ยิ่งเลือนรางไปเรื่อย
แต่หากคำนวณขึ้นมาจริง วงศ์ตระกูลเขานี้มีลำดับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจวนโหวมากกว่าหลายคนในวงศ์ตระกูลที่อยู่ทางด้านเมืองหลวงนั่นเสียด้วยซ้ำ
เขาเป็นถึงอาของท่านโหวคนปัจจุบัน!
คนรุ่นหลังเหล่านั้นเป็นพี่น้อง เป็นหลานในวงศ์ตระกูลบรรพบุรุษเดียวกันของเขา! หากคนในวงศ์ตระกูลมีความผิดก็แล้วไป หากไม่มีความผิดใดแล้วถูกเข่นฆ่า เช่นนั้นผู้กระทำความชั่วนี้จะไม่อาจชะล้างเรื่องที่ก่อไปได้ชั่วชีวิต!
ซ่งอิงเม้มปาก คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าซ่งจะรู้ค่อนข้างมากทีเดียว
“แต่ก่อนหน้านี้ท่านยังกังวลใจว่าข้าจะพานให้ทุกคนเดือดร้อนไปด้วย จากนั้นจึงให้พ่อแม่ข้าแยกครอบครัวออกไปอยู่เลยนี่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงวอนหาเรื่อง