ตอนที่ 659 พี่สาวคนนั้น / ตอนที่ 660 จุดจบ
ตอนที่ 659 พี่สาวคนนั้น
ในใจลึกๆ ของเหยียนผิงโหวไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือซ่งอิง
“อาจมีคนวางแผนเล่นงานกัน นางมีความสามารถสักเพียงใดเจ้าไม่รู้หรือ หากหลอกล่อเซว์เอ้อร์ให้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับครอบครัวเราได้จริง ตอนนั้นก็คงไม่ถึงขั้น…ข้าคิดว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่” เหยียนผิงโหวขมวดคิ้วแน่น “เพียงแต่ว่า การจะเปิดโปงฐานะตัวตนก็เป็นความยุ่งยากหนึ่ง ถึงตอนนั้นแพร่งพรายออกไป ทั้งตระกูลเราก็จะถูกผู้คนติฉินนิทนาเอาได้ ไว้เดี๋ยว…ให้คนไปทางด้านนั้นแล้วทำให้นางป่วยตายเสีย”
“จะกระโตกกระตากมิได้เชียวเจ้าค่ะ ท่านอย่าลืมไปว่า…ตอนนั้น ท่านกล่าวว่าฮ่องเต้เห็นใจในความไม่มีราคีของนางแล้วยังต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาอ๋อง…หากมิใช่ตอนนั้นท่านบอกกับฮ่องเต้ว่านางวาสนาไม่ดี เช่นนั้นตอนนี้…” หลานซื่อสีหน้าเปลี่ยนไป
ถ้อยคำนี้ช่วยย้ำเตือนเหยียนผิงโหวขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเขาก็เคร่งขรึมขึ้นอีกเล็กน้อย
เกือบลืมไปแล้วเชียว!
ตอนนั้นจริงอยู่ที่ฮ่องเต้มีประสงค์แต่งตั้ง เพียงแต่ตอนนั้นอ๋องอู่เฉินมาเข้าเฝ้าแล้วได้ยินเข้าพอดี ฮ๋องเต้จึงถือโอกาสเอ่ยถามเสียเลย เขาจึงกล่าวว่า คนก็ตายไปแล้ว ไยต้องลำบากด้วย อีกทั้งกล่าวว่าหากวันนี้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นางเพียงเพราะความภักดี หลังจากนี้ตระกูลใดยังไม่ทันแต่งงาน ทว่าว่าที่สามีตายจากไปเสียก่อน เช่นนั้นฝ่ายหญิงก็คงไม่กล้าหาสามีที่ดีอีกแล้ว
ฮ่องเต้รู้สึกว่ามีเหตุผล อย่างไรเสียคำพูดของเขาก็คือประกาศิต แค่พูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าปวงประชาทั่วทั้งหล้าก็จะทำตาม
หากสรรเสริญซ่งอิงก็กลัวว่าในอนาคตมีประชาชนที่ไม่ค่อยรู้ประสีประสา อาศัยประเด็นนี้มาร้องขอให้สตรีในตระกูลอยู่เป็นหม้ายหลังจากสามี หรือคู่หมั้นเสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนเขาก็ไหลไปตามคำพูดของอ๋องอู่เฉิน จึงกล่าวว่าซ่งอิงวาสนาน้อย คงรับไม่ไหว ฮ่องเต้จึงได้ไม่เอ่ยถึงอีก
เหยียนผิงโหวใส่ใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง เดิมทีเตรียมส่งใครก็ได้ไป แต่ตอนนี้…
เขาจึงเลือกคนสนิทจำนวนหนึ่งที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่ละตระกูลมีเรื่องราวอันใดเดิมทีก็ไม่อาจเป็นความลับได้ จู่ๆ จะส่งคนออกไปขบวนหนึ่งก็จะเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คน ดังนั้นจำเป็นต้องหยิบยกนามของบรรพชนมากล่าวอ้าง แต่เรื่องเกี่ยวกับบรรพชนเช่นนี้ไม่อาจให้คนอื่นทำแทนได้ จำเป็นต้องมีทายาทสักคนตามไปด้วยจึงจะถูก
บุตรชายคนโตได้รับบาดเจ็บ บุตรที่เกิดจากอนุภรรยาไม่มีสิทธิ์ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้บุตรชายคนเล็กไป
เพียงแต่บุตรชายคนเล็กอายุยังน้อย
ตอนนี้ก็เพิ่งสิบสามปีเท่านั้น มิหนำซ้ำร่างกายไม่แข็งแรง ไม่รู้เช่นกันว่าจะทนกับการเดินทางระยะไกลไหวหรือไม่
“ได้ยินว่าเมืองยงทางด้านนั้นฮวงจุ้ยดี เช่นนั้นก็ให้หังเอ๋อร์ไปเถอะเจ้าค่ะ เดินทางไปช้าๆ หน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใหญ่โตเจ้าค่ะ” หลานซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าว
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากให้บุตรจากอนุภรรยาเป็นผู้ออกหน้าได้
นางมีบุตรชายไม่กี่คน จึงไร้ทางเลือกจริงๆ
“น้องสี่ต้องไปไหนหรือเจ้าคะ” ครั้นสิ้นเสียงพูดของหลานซื่อ สาวน้อยคนหนึ่งก็เดินบุ่มบ่ามเข้ามา
แม่นางผู้นี้รูปลักษณ์งดงาม ดูร่าเริงและมีไหวพริบ “ท่านแม่ เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านกล่าวว่าต้องการให้น้องสี่ไปสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดี เป็นที่ไหนหรือเจ้าคะ” ซ่งซินหัวเอ่ยปากถาม
หลานซื่อถลึงตามองบุตรสาวแวบหนึ่ง “ให้น้องสี่เจ้าไปสักการะบรรพบุรุษ”
“เช่นนั้นข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!” ซ่งซินหัวกล่าวทันที
“เจ้าเป็นสตรี จะเที่ยวถ่อไปทั่วได้อย่างไร อยู่บ้านนี่ละ ห้ามไปไหนทั้งนั้น!” เหยียนผิงโหวเดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่ จึงเอ่ยห้ามทันที
ซ่งซินหัวแววตาเฉยเมย
กระทั่งบิดานางเดินออกไป ซ่งซินหัวจึงได้กล่าวขึ้นพร้อมตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ท่านดูท่านพ่อสิเจ้าคะ ลำเอียงเกินไปหน่อยแล้ว มีสิทธิ์อะไรให้น้องสี่ไป แต่กลับไม่ให้ข้าออกไปบ้าง!”
“ซินเอ๋อร์ อย่างอแงไม่เข้าท่า ท่านพ่อเจ้าอารมณ์ไม่ดี อีกทั้งให้น้องชายเจ้าไปจัดการธุระ ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น” หลานซื่อกล่าวอย่างกังวลใจ
สามีนางจะไม่ลำเอียงได้อย่างไรเล่า
ผู้หญิงตั้งมากมายขนาดนี้ ลูกสิบกว่าคน หากซินเอ๋อร์ไม่ใช่บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาหลวงก็คงไม่รู้ว่าจะถูกลืมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
อย่าว่าแต่ซินเอ๋อร์เลย ก็แม้แต่หังเอ๋อร์ยังไม่ทำให้เขาเห็นความสำคัญได้มาแต่ไหนแต่ไร
ที่เขาเห็นความสำคัญก็มีแค่บุตรชายคนโตผู้เดียว…
โชคดีที่บุตรชายคนโตผู้นี้เป็นนางให้กำเนิด มิเช่นนั้น…
“ไปเมืองยง…มิใช่ว่าไปรับตัวพี่สาวคนนั้นที่รับเอามาครั้งก่อนนั่นหรอกกระมังเจ้าคะ” ซ่งซินหัวกล่าวหยั่งเชิง
นางกังวลใจเล็กน้อย ท่ามกลางบุตรสาวของบิดานาง เดิมทีนางจัดอยู่ในลำดับที่สี่ ต่อมาภายหลังกลายเป็นคุณหนูห้า
บุตรสาวคนโตคือซ่งอิง บุตรสาวคนรองซ่งฮวน ซึ่งเดิมทีเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา แต่อย่างไรเสียก็จดชื่อภายใต้นามมารดานาง ดังนั้นตั้งแต่เล็กจึงดำเนินชีวิตอย่างสุขสบาย ก่อนหน้าซ่งอิงกลับมา นางเคยคิดว่าซ่งฮวนก็คือพี่สาวแท้ๆ ร่วมมารดาเดียวกันกับนาง!
ตอนที่ 660 จุดจบ
ซ่งซินหัวจำซ่งอิงได้
ขณะนี้ครั้นนางเอ่ยปาก หลานซื่อจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไป “เจ้าได้ยินใครพูดจาเหลวไหลมา พี่สาวคนโตเจ้าตายไปตั้งนานแล้ว ทางด้านเมืองยงนั่นมีพี่สาวเจ้าเสียที่ไหนเล่า”
“ท่านแม่ ท่านยังปิดบังข้าอีกหรือ ตอนแรกนางก็ยังไม่ได้ตายเสียหน่อย เห็นๆ อยู่ว่ากรีดหน้าเสียโฉมแล้วจึงได้ส่งออกไป ข้ารู้มาโดยตลอดนะเจ้าคะ” ซ่งซินหัวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ไม่เพียงแค่รู้ ตอนแรกนางยังมองเห็นจากการแอบอยู่ข้างๆ อีกด้วย
โลหิตเต็มพื้น บิดานางเป็นคนลงมือสับนิ้วเท้าด้วยตัวเอง
หลานซื่อพลันตระหนกตกใจ
“ซินเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้ารู้อะไรมาบ้างล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น พี่สาวคนโตเจ้าตายไปนานแล้ว ทางด้านเมืองยงนั่น…อย่างมากสุดก็แค่พี่สาวที่มีบรรพบุรุษเดียวกัน เป็นญาติห่างแสนห่าง! เจ้าไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอก ตอนนี้เจ้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว อยู่บ้านเรียนรู้สิ่งต่างๆ ให้มากเข้าไว้ ภายภาคหน้าจะได้หาคนจากตระกูลดีๆ ได้” หลานซื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งซินหัวนิ่งเงียบไปทันที แต่บนใบหน้าที่ก้มอยู่กลับมีความเย็นชาเล็กน้อย
มารดานางพูดสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเพราะหวังใช้ประโยชน์จากนางได้ก็เท่านั้นเอง
มิหนำซ้ำพี่สาวคนโตยังเป็นบุตรสาวคนแรกของท่านแม่ แต่ท่านแม่กลับทิ้งแล้วเลี้ยงดูบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยามาตบตาคนอื่น
ในปีนั้น ยามที่พี่สาวคนโตถูกส่งมาทางด้านนี้ นางอายุยังน้อย เพิ่งสิบเอ็ดปี แต่นางได้ยินซ่งฮวนรวมไปถึงพี่สาวอีกสองคนที่เกิดจากอนุภรรยาหัวเราะเยาะซ่งอิงไม่น้อย ตอนนั้นนางไม่ค่อยเข้าใจ ถึงขั้นแอบโมโหเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เพราะตอนนั้นที่นางรู้ก็คือ บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาหลวงอย่างแท้จริงมีเพียงนางและพี่สาวคนโตสองคนเท่านั้น ซ่งฮวนก็ดี พี่สาวสองคนที่เกิดจากอนุภรรยานั้นก็ช่าง มีสิทธิ์อะไรหัวเราะเยาะซ่งอิง
นางจึงถามไถ่มารดาเป็นการเฉพาะอีกด้วย
ตอนนั้นมารดากล่าวว่า นั่นก็แค่ตัวซวยที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง ไม่ต้องไปสนใจ
มารดาให้กำเนิดออกมาเองแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าจะกล่าวว่าเป็นตัวซวย
ตอนนั้นนางไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแค่รู้สึกว่ามารดาเกลียดชังซ่งอิง ท่านพ่อก็ไม่ชอบเช่นกัน พี่ชายและพี่สาวแต่ละคนล้วนพูดจาและปฏิบัติต่อซ่งอิงอย่างไม่ไว้หน้า ดูเหมือนนางเป็นสิ่งที่สกปรกที่สุดในใต้หล้า ดังนั้นนางจึงทำตามๆ พวกเขาไป พูดจาไม่น่าฟังไปหลายประโยค
แต่วันนั้นที่ซ่งอิงจากไป นางตกใจกลัวจริงๆ
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า ซ่งอิงที่เป็นถึงบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาโดยชอบธรรมของจวนโหว ยังจะถูกบีบบังคับให้ตาย มิหนำซ้ำยังต้องคุกเข่าอ้อนวอนและถึงขั้นทำร้ายใบหน้าให้เสียโฉมเพื่อปกป้องตัวเอง
ตอนนั้น นางหนาวเย็นไปทั้งตัว ล้มป่วยเป็นเวลาสามเดือนเต็ม
ตอนนั้นมารดามักมาเยี่ยมนางบ่อยครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับพร่ำพูดหลายครั้งว่าซ่งอิงเป็นตัวกาลิกณีพานทำให้นางดวงตก…
“ท่านแม่ ข้าอายุสิบห้าแล้วนะเจ้าคะ ยังไม่เคยพบเห็นโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร ให้ข้าไปดูด้วยสักหน่อยมิได้หรือเจ้าคะ อีกทั้งน้องชายร่างกายไม่แข็งแรง หากข้าตามไปด้วยก็จะได้ดูแลเขาอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ซ่งซินหัวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
นางเพียงแค่อยากไปดูเท่านั้นว่าตอนนี้ซ่งอิงเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่ใช่เห็นใจ แต่เป็น…การย้ำเตือนตัวเองว่าจะตกอยู่ในจุดจบเช่นพี่สาวคนโตไม่ได้
หลานซื่อลังเลชั่วครู่
“ท่านแม่เจ้าคะ น้องชายไม่เคยห่างบ้านไปไกล คนเขาก็ค่อนข้างไร้เดียงสา หากมองเห็น…พี่สาวร่วมบรรพบุรุษเดียวกัน อาจใจอ่อนก็เป็นได้นะเจ้าคะ” ซ่งซินหัวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ก็ได้ ข้าจะพูดกับท่านพ่อเจ้าดูว่าเจ้าก็จะตามไปด้วย ทว่าเพียงแค่ไปสักการะบรรพบุรุษเท่านั้น เรื่องอื่นห้ามข้องเกี่ยว คนสนิทเหล่านั้นที่ท่านพ่อเจ้าส่งไปยังมีเรื่องอื่นต้องทำด้วย พวกเขาจะทำอันใดเจ้าก็ไม่ต้องสนใจมากมาย เข้าใจหรือไม่” หลานซื่อกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ครั้นเอ่ยถอยคำนี้ออกมา ซ่งซินหัวก็เข้าใจได้ทันที ไปสักการะบรรพบุรุษก็แค่ฉากบังหน้า
แต่นอกจากสักการะบรรพบุรุษ ทางด้านเมืองยงนั่นยังมีอะไรที่ควรค่าให้ใส่ใจอีกหรือ
หรือว่า…เกี่ยวข้องกับซ่งอิง
นางประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าถามมากนัก เลือกกลับไปเก็บสัมภาระรอออกเดินทาง
ครั้นนางออกเดินทางจากเมืองหลวงไปพร้อมซ่งถังหังจึงค่อยโล่งใจ สัมผัสได้ถึงโลกภายนอกที่เงียบสงบอย่างยิ่งจากใจจริง บรรยากาศโดยรอบล้วนแตกต่างไป
“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือกับท่าน” หลังเดินทางไปได้ครึ่งเดือน ซ่งถังหังจึงได้ขึ้นมาบนรถม้าของซ่งซินหัวอย่างระแวดระวัง
ซ่งซินหัวปรายตาขึ้นมอง “หากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับพี่สาวคนโต ข้าไม่ขอตอบตกลง”