ตอนที่ 673 เป็นเด็กเป็นเล็กพูดมากไม่เบา / ตอนที่ 674 ตักตวงผลประโยชน์สักหน่อย
ตอนที่ 673 เป็นเด็กเป็นเล็กพูดมากไม่เบา
ซ่งซินหัวเผยรอยยิ้มเยาะหยัน
อยากรู้เกี่ยวกับซ่งอิง? หรือว่านางต้องอยากรู้อยากเห็นว่าซ่งอิงจะตายอย่างไรใช่หรือไม่
ส่วนที่ว่าซ่งอิงทำให้ตระกูลเซว์กั๋วกงจ้องเล่นงานตระกูลนางได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญสำหรับนางเลยสักนิด จากมุมมองนาง ในเมื่อปัจจุบันบิดาเกลียดชังซ่งอิง เช่นนั้นนับแต่นี้ไปซ่งอิงก็ไม่มีโอกาสอื่นในการกระทำเรื่องที่ส่งผลเสียต่อจวนโหวอีก เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วเหล่านั้นก็ยิ่งไม่มีความหมายอันใด
ถึงกระทั่ง…
นางรู้สึกว่าซ่งอิงโง่เขลามาก ตอนนั้นทุกข์ยากแสนเข็ญขนาดนั้นกว่าจะออกจากจวนโหวได้ ปัจจุบันหลังมาถึงเมืองยงแล้ว ไม่นึกว่าจะลืมความทุกข์ระทมในวันนั้นแล้วหันกลับไปต่อกรจวนโหวอีก!
ตอนนี้กลายเป็นว่านางได้สะใจชั่วขณะหนึ่ง แต่ชีวิตน้อยๆ นี้ก็จะจบสิ้นไปเช่นกัน
“เจ้าอยากทำอะไรก็เรื่องของเจ้า ไม่ต้องดึงข้าไปเกี่ยวด้วย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อไหว้บรรพบุรุษและผ่อนคลายจิตใจไปพร้อมกัน หากเจ้ากล้าทำเรื่องอันใดที่มากระทบถึงข้า หลังกลับไปข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่” ซ่งซินหัวสบถฮึ จากนั้นหันหลังขวับเดินเข้าห้องไป
ถ้อยคำนี้ออกจะตรงเกินไปหน่อย คนตระกูลซ่งที่มาส่งได้ยินเข้าต่างก็อดตกตะลึงไม่ได้
มองไปยังทิศทางซ่งถังหัง อย่างไรเสียซ่งถังหังก็ยังอายุน้อย ตอนนี้บนใบหน้าปรากฏร่องรอยความอับอาย สีหน้าแดงเล็กน้อย มองดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาไออย่างหนักขึ้นมาครู่หนึ่ง
“พี่สาวร่วมตระกูล พี่ห้าข้านิสัยเจ้าอารมณ์ไปหน่อย ขอท่านอย่าได้ถือสา” ซ่งถังหังฝืนยิ้มกล่าว
ซ่งอิงมองดูวิธีการที่สองพี่น้องต่อกรกันกลับรู้สึกว่าน่าขัน
พี่สาวและน้องชายผู้เป็นคนครอบครัวเดียวกันมีลักษณะท่าทีเช่นนี้ ถือเป็นอะไรที่พบเห็นได้น้อยครั้ง
“ไม่ถือสาอยู่แล้ว” ซ่งอิงเลิกคิ้วอย่างไร้เดียงสา “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับข้านี่”
ซ่งถังหังตกตะลึง จากนั้นกล่าว “พี่สาวร่วมตระกูล เรื่องที่ข้าเพิ่งพูดเมื่อครู่ว่า…อยากไปพักกับท่าน…”
“มีแต่เจ้าที่อยาก ข้ายังไม่ได้ตกลงนี่” ซ่งอิงมองเขาพลางยิ้มตาหยี “ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้สนิทสนมกัน อีกทั้งในบ้านข้ามีเด็กหลายคน ไม่มีเวลาว่างมาดูแลเจ้าผู้เป็นคนนอก หากเจ้าไม่พอใจห้องที่ท่านปู่ข้าจัดเตรียมให้ เช่นนั้นก็ออกไปหาที่พักเอง หมู่บ้านพื้นที่กว้างใหญ่ ผู้คุ้มกันตระกูลเจ้าก็กางกระโจมแล้ว คงเพียงพอให้เจ้าทำกิจกรรมกระมัง”
ซ่งอิงพูดจบก็มองซ่งเหล่าเกินแล้วกล่าว “ท่านคอยดูแลทางด้านนี้แล้วกันนะเจ้าคะ ข้ากลับบ้านก่อนละ”
“ได้ ตอนที่ไหว้บรรพบุรุษข้าจะให้พี่ชายเจ้าไปเรียกเจ้า” ซ่งเหล่าเกินพยักหน้า
ซ่งสวินมองซ่งอิงพริบตาหนึ่งและยิ้มเล็กน้อย
ซ่งถังหังมองไปตามสายตาของซ่งอิงจึงได้เห็นพี่ชายที่ซ่งเหล่าเกินกล่าวถึง ในใจเขาพลันเกิดความตกตะลึงและลนลานเล็กน้อยขึ้นชั่ววูบ
ฐานะพี่ชายนี้ ในความทรงจำของเขา พี่ชายคือความกดดันและอุปสรรค แต่คนตรงหน้าผู้นั้น มองซ่งอิงด้วยแววตาที่อบอุ่นอย่างยิ่ง และออกจะมีท่าทีที่พึ่งพาได้ไม่น้อย
เข้าใจแสร้งทำดีนี่
ซ่งอิงเดินไปอย่างห้าวหาญมาก ไม่ได้มองซ่งถังหังเลยสักนิด
“นี่คือพี่ชายร่วมวงศ์ตระกูลเดียวกันสินะขอรับ ข้าเห็นท่านดูเปี่ยมไปด้วยลักษณะอย่างผู้มากวิชาความรู้ มิใช่ว่าเป็นคนหนึ่งที่เล่าเรียนหนังสือด้วยกระมัง” ซ่งถังหังกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ครั้นซ่งอิงเดินจากไป ใบหน้าที่ดูจิตใจดีก็เลือนหายไปทันใด มีความเย็นชาและห่างเหินเข้ามาแทน “คุณชายสี่เข้าใจพูดจริงๆ”
เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดมากไม่เบาเสียแล้ว
“นี่คือหลานสวิน เป็นลำดับที่สองของบ้าน ปีที่แล้วสอบซิ่วฉายผ่าน ถือเป็นนายท่านซิ่วฉายคนแรกของหมู่บ้านเรา เสมือนเหวินฉวี่ซิงจุติลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ เก่งกาจอย่างยิ่งเชียวละ!” คนผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น
ซ่งสวินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างถ่อมตน “ทุกท่านกล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ”
“หลานสวินนิสัยดีที่สุด หากพวกเจ้ามีความต้องการอันใด แค่ไปหาเขาให้เขาช่วยเหลือก็พอ ในบ้านเราล้วนยังมีงานต้องทำกันอีก ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” เรื่องเกี่ยวกับซ่งสวิน ถือเป็นความปลื้มใจอย่างยิ่งสำหรับคนที่ร่วมสกุลเดียวกัน
วันนี้สองคนจากจวนโหวเดินทางมาไกลย่อมเหน็ดเหนื่อยแล้วเป็นแน่ แม้ว่าพวกเขาเป็นชาวชนบท แต่ก็รู้จักมารยาท ไม่อาจเพราะคนเขาฐานะสูงส่ง จึงไม่ยอมไปไหนเสียที และเอาแต่รบกวนการพักผ่อนของคนเขา
ดังนั้นหลังกล่าวลาแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง
ตอนที่ 674 ตักตวงผลประโยชน์สักหน่อย
ในบ้านเหลือเพียงคนในครอบครัวซ่งเหล่าเกิน
“ไปทำกับข้าวเถอะ มีแขกในบ้าน ทำอาหารที่หลากหลายหน่อย” ซ่งเหล่าเกินแม้ว่าไม่ค่อยชอบจวนโหว แต่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กๆ ก็ไม่ดีนัก
เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่พร้อมคนอื่นๆ รีบพยักหน้าตอบรับทันที
ชั่วขณะนั้นข้างกายซ่งถังหังจึงเหลือเพียงบรรดาหนุ่มใหญ่
การจากบ้านมาพบปะผู้คนในครานี้ แต่ละคนจะแยกย้ายไปพักผ่อนกันหมดเลยก็คงไม่ได้ จำเป็นต้องรวมตัวพูดคุยอะไรสักหน่อย โดยเฉพาะเขามาในนามจวนโหว ถึงอย่างไรก็ต้องถามไถ่ทางบ้านเกิดนี้หน่อยว่าปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
“ท่านอาทั้งสี่ท่านปกติแต่ละวันทำงานหนัก หรือทุกข์ยากลำบากหรือไม่ขอรับ หลายปีมานี้ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวในบ้านพอใช้ได้กระมัง” ซ่งถังหังเอ่ยอย่างนอบน้อมและดูอ่อนแอ
ทุกคนเห็นเขาในลักษณะเช่นนี้ กลับนึกถึงซ่งสวินในอดีตซึ่งก็เป็นเด็กขี้โรคคนหนึ่งเช่นกัน
เพียงแต่ซ่งสวินยืนหยัดหนักแน่นมาโดยตลอด แม้ว่าร่างกายไม่แข็งแรง อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พยายามแสดงออกอย่างแข็งแรง
ไม่เหมือนคุณชายสี่แห่งจวนโหวผู้นี้ พูดไม่กี่ประโยคก็ไอออกมา เหมือนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
“ดี ดีทั้งหมด หมู่บ้านเราสองปีมานี้ไม่รู้เช่นกันว่าไปเอาโชคดีมาจากไหน ปริมาณผลผลิตของข้าวและธัญพืชจึงเยอะกว่าเมื่อก่อนมากมาย ปีที่แล้วนายอำเภอรับรู้ว่าหมู่บ้านเราเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี จึงนำเจ้าหน้าที่ของที่ว่าการแวะเวียนมามองดูเป็นการพิเศษ แต่ก็ไม่เห็นจะมีอันใดพิเศษ กล่าวเพียงว่าครอบครัวชาวนาของหมู่บ้านเราล้วนดูแลข้าวและพืชผลต่างๆ ได้ดี นอกจากนี้ยังตกรางวัลให้อีกด้วย!” ซ่งอิ๋นซานกล่าวพลางหัวเราะร่า
ในบ้านไม่มีใครคุ้นเคยสถานการณ์ในที่นาไปกว่าเขาแล้ว
ซ่งถังหังพยักหน้า “ท่านพ่อข้าอยู่บ้านก็พูดถึงพวกท่านให้ฟังบ่อยครั้ง เขากล่าวว่าต้องขอบคุณที่มีพวกท่านคอยดูแลทางด้านบ้านเกิด พวกเราอยู่เมืองหลวงจึงวางใจได้เช่นนี้ จริงสิ มาเยือนครั้งนี้ ท่านพ่อข้าให้ข้าเอาสิ่งของติดมาด้วยเล็กน้อย ไว้เดี๋ยวจะให้คนเอามาส่งให้พวกท่าน แม้ว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีมูลค่าสูงอันใด แต่ก็เป็นของที่เป็นที่นิยมกันทางด้านเมืองหลวงนั่น ไม่อาจหาซื้อทางด้านนี้ได้”
ครั้นเอ่ยถ้อยคำนี้ พวกซ่งฝูซานพี่น้องสี่คนต่างสบมองกันปราดหนึ่ง
“ของที่ว่านี้ไม่ต้องหรอก พวกเราเองก็ไม่สะดวกรับสิ่งของของครอบครัวพวกเจ้าไว้เช่นกัน” ซ่งฝูซานกล่าว
“ในชนบทต้องเผชิญความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก พวกเราล้วนเป็นคนบรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลเดียวกัน ไม่มีอันใดที่รับเอาไว้มิได้ อีกทั้งข้าก็ต้องขอบคุณพวกท่านมากที่ดูแลพี่สาวคนโตข้า ครอบครัวพวกเราให้การขอบคุณก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเช่นกัน” ซ่งถังหังกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซ่งจินซานสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยในทันที
“ลูกสาวของข้า ข้าดูแลนางก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอันใดกับครอบครัวพวกเจ้า คุณชายสี่พูดจาระมัดระวังหน่อยจะดีกว่า เจ้าเรียกนางว่าพี่สาวร่วมตระกูล นางจึงโต้ตอบเจ้าได้ แต่หากเรียกพี่สาวคนโต เช่นนั้นคงมิได้ ครอบครัวเราไม่มีธรรมเนียมปฏิบัตินี้” ซ่งจินซานเอ่ยปากทันควัน
“ท่านอาจินซานของเจ้าอาจพูดจาตรงไปหน่อย แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในปูมประวัตินั่น เอ้อร์ยาเป็นเด็กของฝั่งพวกเรา ไม่มีความเกี่ยวของอันใดกับจวนโหวพวกเจ้า ต่อให้มีความเกี่ยวข้อง นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้วอย่าเอ่ยถึงเลยจะดีกว่า เจ้าว่าใช่หรือไม่” ซ่งฝูซานอย่างไรเสียก็เป็นพี่ชายคนโต ตอนนี้จึงจำต้องวางตัวมีเหตุมีผล
ซ่งถังหังนึกว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว
“ข้ารู้ขอรับ แม้ว่าพี่สาวคนโตข้าเป็นเด็กของครอบครัวพวกเรา แต่ความจริงพวกท่านเป็นผู้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ คนครอบครัวพวกเราต่างก็รู้สึกขอบคุณท่านอาและท่านปู่อย่างยิ่ง…”
“เพ้อเจ้อ! ข้าว่าเจ้าเด็กคนนี้ฟังภาษาคนไม่เข้าใจใช่หรือไม่” ซ่งหม่านซานขมวดคิ้วนิ่วหน้า “เป็นเด็กของครอบครัวพวกเจ้าได้อย่างไรอีก เอ้อร์ยาเป็นของครอบครัวพวกข้า! ตอนนั้นก็แค่ไปเป็นแขกพักอยู่บ้านพวกเจ้าระยะหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาขอบคุณพวกเราด้วยหรือ คนของจวนโหวพวกเจ้าสมองมีปัญหาใช่หรือไม่ ฟังภาษาคนไม่เข้าใจ ต้องได้ฟังข้าด่าก่อนใช่หรือไม่”
ซ่งหม่านซานไม่สบอารมณ์มาพักใหญ่แล้ว
เขาไม่เหมือนเหล่าพี่ชายที่ไร้เดียงสาเช่นนั้น ที่คิดไปว่าคนผู้นี้มาเพื่อไหว้บรรพบุรุษจริงๆ!
แม่เจ้าสิ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นพวกเจ้ามาไหว้บรรพบุรุษเลยนี่ พูดจริงๆ แล้วก็เป็นการมาสอดส่องซ่งอิงเสียมากกว่า!
ไม่แน่ว่าจะคิดเอาตัวซ่งอิงกลับไปอีกแล้วก็เป็นได้ อย่างไรเสียเด็กสาวผู้นั้นก็หน้าหายดีแล้ว มิหนำซ้ำยังหาเงินได้แล้ว ไม่แน่ว่าจวนโหวนั่นจะรู้สึกว่าใช้ประโยชน์จากเอ้อร์ยาได้อีก ดังนั้นจึงอยากตักตวงผลประโยชน์สักหน่อย!