ตอนที่ 809 ราชันปีศาจของเด็กจูนิเบียว
ทั้งหมดเริ่มต้นใหม่ ไม่มีความทรงจำ ไม่มีความรู้สึกที่ผ่านมา แบบนี้ก็ไม่เท่ากับเป็นคนอื่นหรือ
พูดเสียน่าฟัง ทว่าชาติภพนี้ยังคว้าเอาไว้ให้ดีไม่ได้ แล้วชาติภพหน้าจะไขว่คว้าเอามาได้อย่างไร!
อีกทั้งต่อให้เสียชีวิต นั่นก็ต้องเพราะตัวนางอยากและยินดีไปตายจึงจะได้ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินอายุขัยของนาง!
“ช้าก่อน! ไม่สิ…ไฉนเจ้าจึงได้ยิน!” เซียนหลิงเฟิงตะลึงงัน ส่งเสียงตะโกนขึ้นมาทันใด
ในตอนนี้เอง ซ่งอิงลงมือโดยทันที ลำแสงสว่างไสวไหลเวียนในมือนาง จากนั้นคาถาลำแสงที่ราวกับผ้าแพรก็พุ่งไปห่อหุ้มร่างของเซียนทั้งสองเอาไว้ทันที ซ่งอิงพลันโล่งใจยามที่สัมผัสถูกเซียนทั้งสองตนนั้น
สัมผัสได้ก็ดีแล้ว สัมผัสได้ก็หมายความว่าพ่อหนุ่มสองตนนี้หนีไม่ได้แล้ว!
ซ่งอิงไม่ถนัดการสู้รบ อย่างไรเสียนางก็ไม่รู้ว่าเซียนสองตนนี้มีความสามารถอะไรบ้าง แทนที่จะรบราไปมากับอีกฝ่ายอย่างมึนๆ งงๆ ไม่สู้ลากเข้าไปในช่องว่างระหว่างมิติจะดีกว่า ทำให้พวกเขาอยู่ในถิ่นของนางตลอดกาล และคิดทบทวนความผิดให้ดีๆ
ทั้งสองตนยังไม่ทันตั้งสติขึ้นมาได้ก็ถูกลำแสงหนึ่งดึงเอาไว้ จากนั้นในวินาทีถัดมา ทั้งร่างก็ตกมาสู่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่คุ้ยเคยเอาเสียเลย
ในชั่วพริบตาเดียว ซ่งอิงก็ปรากฏตัวในช่องว่างระหว่างมิติด้วยเช่นกัน
นางตวัดมือวาดเป็นรูปทรงกรงคุมขังสีทอง แล้วนำทั้งสองเข้าไปกักขังไว้แน่นหนา
เมื่อทำทั้งหมดนี้เรียบร้อย ซ่งอิงก็คลี่ยิ้มมุมปาก “เทพเซียนหรือ”
“เจ้า เจ้าเป็นเทพด้านใด!” เซียนหลิงเฟิงกลัวจนเนื้อตัวสั่นระริก “เจ้ามิใช่คนหรือ! เป็นไปไม่ได้ โลกแห่งเทพมีกงล้อโชคชะตาของเจ้าอยู่!”
กงล้อโชคชะตา สิ่งนั้นมันคืออะไรหรือ ทำลายได้หรือไม่
ครั้นซ่งอิงเกิดความคิดนี้ กงล้อโชคชะตาดังกล่าวภายในวังลับสวรรค์ก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นไม่ทันไรก็หายลับไปอย่างไร้ร่องลอยอย่างรวดเร็วมาก เด็กน้อยที่ยุ่งตัวเป็นเกลียวเหล่านั้นไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำไป
ซ่งอิงควบคุมได้ทุกสิ่งอย่างในช่องว่างระหว่างมิติแห่งนี้
อีกทั้งเมื่อนางว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็จะบำเพ็ญเพียร ปัจจุบันแม้ว่าเคลื่อนภูเขาและพลิกสมุทรไม่ได้ แต่แค่ตวัดมือครั้งเดียวก็ทำให้เกิดทะเลสาบ และจิ้มเบาๆ ก็ทำให้เกิดช่องเขาได้
อยู่ที่นี่ นางก็เหมือนพระผู้เป็นเจ้าที่สร้างโลกได้ก็ไม่ปาน กระทำการได้ตามอำเภอใจอย่างสบายๆ นางมีความมั่นใจและความเชื่อมั่นมากพอว่าเซียนสองท่านนี้หนีรอดเงื้อมมือนางในตอนนี้ไม่พ้น
“หลิงเฟิง…เจ้าดูตรงนั้นสิ…” เซียนหยวนซานชี้นิ้วไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นหนาและพุ่มไม้แน่นทึบบริเวณไม่ไกล
“นั่น…นั่นคงมิใช่…” เซียนหลิงเฟิงกลืนน้ำลาย
ซ่งอิงหันมองไปยังต้นไม้ด้วยความสงสัยเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามภายใต้สีหน้าไร้พิษภัย “พี่ชายทั้งสองท่าน พวกท่านพูดอะไรกันหรือ”
“…” เซียนหลิงเฟิงเบิกตาโตทันที
“เมล็ดพันธุ์วัฏจักร…” เซียนหยวนซานมองซ่งอิงอย่างเหลือเชื่อ “สิ่งมหัศจรรย์ซึ่งคอยเคียงข้างปกป้องคุ้มครองราชันปีศาจ เปลี่ยนเป็นหญ้า เป็นต้นไม้ หรือสิ่งที่มีชีวิตอะไรก็ตาม มันล้วนเปลี่ยนได้ทั้งนั้น ตราบใดที่มันอยู่ในแหล่งซึ่งดูดรับพลังชีวิตได้ต่อเนื่อง วิญญาณปีศาจของราชันปีศาจก็จะไม่ดับสูญ”
“อะไรของเขา ราชันปีศาจ?” บ้าบอสิ้นดี นางหลงมาผิดที่แล้วจริงๆ หรือ!
“เจ้า…มิใช่ว่าเป็น…”
“ไม่ใช่!” ซ่งอิงส่ายหน้าทันที “จำผิดคนแล้ว!”
ครั้นได้ยินดังกล่าว นางก็อยากจะส่งเสียงอย่างเด็กจูนิเบียว[1]ทันที นั่นต้องไม่ใช่นางแน่นอน!
พวกเขาไม่เชื่อเช่นกันว่าตัวแปรที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือราชันปีศาจที่ร่างแหลกสลายไปแล้ว แต่ความเป็นจริงคือ ไฉนเมล็ดพันธุ์วัฏจักรนี้จึงปรากฎอยู่ที่นี่ได้
ซ่งอิงในตอนนี้กลัดกลุ้มใจจริงๆ นางอยากไปแช่ในทะเลสาบเพื่อสงบสติสมองน้อยๆ ของตนเองสักหน่อย
ทำไมถึงยากเย็นขนาดนี้นะ นางแค่อยากทำนา เลี้ยงปีศาจสักหน่อย ไม่ต้องมากมาย ก็แค่หนึ่งสวนว่านหลิงเป็นอันใช้ได้ เยอะเกินไปนางก็ดูแลไม่ไหวเหมือนกัน!
ถึงแม้ท้ายที่สุดไม่ได้กลายเป็นเซียน แต่ทั้งชีวิตก็ไม่เสียเปล่า
ทว่าคนผู้นี้บอกนางว่า นางคือตัวอะไรที่ว่านั่น
“เช่นนั้นข้า…คือปีศาจอันใดหรือ” นี่เป็นเรื่องที่ซ่งอิงประหลาดใจมากที่สุดมาโดยตลอด
เป็นเมล็ดพืช หรือเป็นกบ หรือเป็นวัวตัวหนึ่ง
หลิงเฟิงและหยวนซานงุนงงไปกับการเอ่ยถามของซ่งอิง “เจ้ายังไม่รู้ฐานะตัวตนของตนเองอีกหรือ”
ดูเหมือนพวกเขาพลาดไปแล้ว เมื่อครู่ไม่น่าบอกนางเลยว่าเป็นราชันปีศาจ ตอนนี้รู้แล้ว หากเกิดความคิดทำลายล้างทั่วหล้านี้ขึ้นมาจะทำอย่างไร!
เจ้าโง่เอ๊ย!
ตอนที่ 810 ถูกบังคับให้เข้าร่วมสงคราม
เซียนสองตนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง มองซ่งอิงอย่างประหม่า
ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาอยากลองขัดขืนให้หลุดไปจากกรงขังที่ซ่งอิงวร้างขึ้น เพียงแต่น่าเสียดายที่เซียนอย่างพวกเขาหลังจากตกมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ถูกคุมพลัง แม้แต่จะแสดงฝีมืออะไรออกมาก็ไม่ได้สักนิด!
ซ่งอิงเห็นดังนี้ก็ยิ่งวางใจ
บนโลกนี้มีเทพเซียน ตอนนี้เห็นทีว่าพวกเขาน่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับนาง ต่อให้มีวันใดวันหนึ่งที่เทพเซียนพวกนี้ถ่อมาปราบปรามนาง นางก็ไม่ถึงขั้นกับไม่มีทางหนีทีไล่
“พูดสิ ข้าคือปีศาจอะไร” ซ่งอิงเอ่ยถาม
เซียนทั้งสองท่านสะดุ้งโหยง ก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “เอ่อ…พวกเราไม่รู้เช่นกัน…จริงๆ แล้วที่เป็นราชันปีศาจก็มีหลายท่าน ซึ่งร่างเดิมก็มีหลากหลายชนิด…”
“หลอกข้าหรือ เจ้าถึงขั้นบอกว่าสิ่งนี้เรียกว่าเมล็ดพันธุ์วัฏจักร เช่นนั้นมิเท่ากับไม่ว่าราชันปีศาจอันใดก็มีทั้งนั้นหรือ” ซ่งอิงสบถฮึ
เซียนสองตนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นประเภทเจ้าเล่ห์เพทุบาย คิดว่าพูดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะหลอกนางได้
ปรากฎว่าเป็นไปอย่างที่คาดคิดไว้ เซียนสองตนนี้ได้ยินคำพูดดังกล่าวก็ตกอกตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด ติดที่ท่าทีของซ่งอิงแข็งกร้าวจริงจัง จึงทำได้เพียงกล่าวอีกครั้ง “สิบราชันปีศาจมีความสามารถแต่งต่างกัน เท่าที่ข้ารู้ เมล็ดพันธุ์วัฏจักรน่าจะเป็นของล้ำค่าของไท่ฉิน ของล้ำค่านี้เป็นสิ่งที่ปกป้องดวงวิญญาณปีศาจ ขยายเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่อง และดำรงอยู่ตลอดกาล…”
“ร่างเดิมของไท่ฉินคือวิญญาณสัตว์ปีก เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีขนนก เดิมทีคล้ายกับนกยวนยาง รูปร่างใหญ่ดุจหงส์ ว่ากันว่ายามที่อยู่ในร่างมนุษย์งดงามล้ำเลิศ อุปนิสัยก็นุ่มนวลอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด เปล่งแสงหลากสีสันไปทั่วทั้งตัว เหมือนเซียนมากกว่าปีศาจ นางมีทักษะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเป็นที่หนึ่ง อาวุธลับคือเข็มนับไม่ถ้วน ช่วยชีวิตผู้คนได้ แต่ก็ปลิดชีพคนได้เช่นกัน” หลิงเฟิงกล่าวทันที
ซ่งอิงฟังอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
นางเก่งกาจเพียงนี้เชียวหรือ!
ลำพังเรื่องความนุ่มนวลอ่อนโยนและความงามล้ำเลิศนี้ก็ทำให้นางดีใจอย่างยิ่งแล้ว!
“นี่ก็คือ…รูปลักษณ์เดิมของเจ้าหรือ ดูเหมือนจะต่างจากที่เล่าขานกันไม่น้อยเลย…” หยวนซานอดเอ่ยถามไม่ได้
เขาก็แค่เซียนตัวน้อยๆ ไท่ฉินนั้นคือปีศาจใหญ่ในโบราณกาล ในช่องว่างระหว่างมิติกั้นด้วยเวลานับหมื่นปี ไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ เคยเห็นเพียงที่บันทึกไว้ในพวกประวัติศาสตร์เซียน แต่คนตรงหน้าที่เห็นนี้ แม้ว่าหน้าตาก็ไม่เลว แต่ยังห่างจากคำว่างามล้ำเลิศที่สุดในปฐพีไปหน่อยหรือไม่
ซ่งอิงถลึงตาใส่เซียนตนนั้นปราดหนึ่ง
“อาจเพราะข้ายังไม่ได้บรรลุดี” ซ่งอิงสบถฮึ
“แต่นิสัย…ดูเหมือนก็ไม่เป็นอย่างที่ว่าเช่นกัน…” ได้ยินว่าไท่ฉินตนนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเป็นพิเศษ ขนาดว่าราวกับจะมีน้ำหยดออกมาได้ประเภทนั้น เป็นคนใสบริสุทธิ์แต่กลับโปรยเสน่ห์หลอกล่อบุรุษทั่วหล้าได้
“เจ้านี่พูดมากจริง” ซ่งอิงมองเซียนหนุ่มผู้นี้อย่างรำคาญ จากนั้นทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิเสียดื้อๆ “เช่นนั้นเจ้าบอกเล่ามาสิว่าโลกปีศาจที่ว่านี้เป็นลักษณะเช่นไร”
“โลกปีศาจ? ไม่มีแล้ว…” เซียนหลิงเฟิงมองนางปราดหนึ่งอย่างเห็นใจ
ซ่งอิงเบิกตาโตทันที “ไม่มีแล้ว ทำไมล่ะ”
“ในยุคโบราณกาล เทพและปีศาจร้ายทำสงครามใหญ่ จากนั้นโลกปีศาจในร่างคน…คั่นอยู่ระหว่างกลางจึงพานซวยไปด้วย” หลิงเฟิงกล่าวอีกครั้ง
“…” ซ่งอิงหัวเราะเจื่อน “เจ้าต้องกำลังล้อข้าเล่นแน่ โลกปีศาจยิ่งใหญ่ บทจะไม่มีก็ไม่มีแล้วหรือ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรเล่า”
“นี่เป็นความจริง ในประวัติศาสตร์เซียนกล่าวเอาไว้ว่า จักรพรรดิแห่งปีศาจร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังอ่อนแอพอดี จู่ๆ สองฝ่ายก็ทำสงครามใหญ่ ตัวนางเองก็ไม่อยู่ สิบราชันปีศาจที่อยู่ใต้อาณัติใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระโดยไม่สนใจผู้ใด ต่างฝ่ายต่างทำเรื่องของตนเอง ไม่ได้สนใจพวกเผ่าพันธุ์เดียวกัน โลกปีศาจน่ะ ดอกไม้ ใบหญ้า ต้นไม้ สัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำล้วนบรรลุได้ทั้งนั้น เป็นระบบที่ผสมปนเปกันมาก…”
“แต่สองเผ่าพันธุ์ที่ก่อสงครามกันอย่างยิ่งใหญ่เพียงนี้ ย่อมต้องดึงโลกปีศาจในร่างคนเข้าไปร่วมวงด้วยเป็นธรรมดา”
“สิบราชันปีศาจความเห็นต่างกัน บ้างก็คิดเข้าข้างเผ่าพันธุ์ปีศาจร้าย บ้างก็เข้าข้างเผ่าพันธุ์เทพ เป็นผลให้…พวกที่ไม่มีจุดยืนแน่ชัด ย่อมต้องมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีนักเป็นธรรมดา”
เซียนหลิงเฟินผู้นี้รู้ค่อนข้างมากทีเดียว ซ่งอิงได้ยินดังนั้นกลับรู้สึกแทงใจดำชอบกล
เป็นปีศาจ น่าเวทนาขนาดนี้เชียวหรือ!
ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ผู้ที่เก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ยังถึงขั้นตายเพราะถูกบังคับให้เข้าร่วมสงครามอีกด้วยหรือ!
“ดังนั้น ด้วยความเป็นผู้ที่ไม่มีจุดยืนชัดเจน พวกมันก็เลยถูกเทพและปีศาจร้ายร่วมกันกวาดล้างหรือ!” ซ่งอิงรู้สึกรับไม่ได้
—————————-
[1] จูนิเบียว (中二) เป็นคำศัพท์ที่ใช้กันทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เรียกวัยรุ่นที่มีภาวะหลงผิด ต้องการความโดดเด่น โดยเชื่อว่าตนเองมีความรู้ที่ซ่อนอยู่ หรือมีพลังลึกลับ