“เสียงดังมาแต่ไกลเลยนะ คุยอะไรกันอยู่เหรอ?” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
กู้เซียงนิ่งเกร็ง มือที่วางอยู่บนชายเสื้อค่อยๆ กำแน่น ริมฝีปากเม้มสนิทเป็นเส้นตรง
หญิงคนที่ว่าอายุประมาณยี่สิบหกปี ผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนประบ่า สวมเสื้อไหมพรมเอวลอยสีครีมและกระโปรงพลิ้วยาวสีเขียวแกมน้ำเงิน ริมฝีปากแย้มยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสดใสเป็นประกายชวนหลงใหล คล้ายดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่แย้มบานรับแสงอาทิตย์ตรงกลางสระ
กู้เซียงเคยได้ยินเสียงเมื่อครู่จากในโทรศัพท์…
“คนที่ฉันรักมาตั้งแต่แรกก็คือเหลียงจี้ รักตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“เหลียงจี้ทำผิดต่อเธอก็จริง แต่ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ โตขนาดนี้แล้ว อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากอีกเลย”
“ทำไมถึงไม่ยอมเซ็นใบหย่า เหลียงจี้ไม่ได้รักเธอ เลิกทำลายอนาคตของเขาได้แล้ว!”
“ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า เธอต่างหากคือมือที่สาม อย่าให้ฉันต้องบีบอีกเลยนะ”
ตอนนั้น เฉียวอิ้งฉิงพยายามต่อรองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน อ่อนหวาน ปากก็บอกว่ากู้เซียงเป็นตัวขวางทางเจริญ แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นคนตามตื๊อเหลียงจี้ แถมยังทำให้เธอถูกหลอกแต่งงานด้วยอีก
ไม่แปลกที่โลกใบนี้จะมีพวกทำชั่วจนสาแก่ใจ แต่ก็ยังสามารถรักษาชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้ได้ ช่างหน้าด้านหน้าทนจริงๆ!
ต่อให้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เฉียวอิ้งฉิงก็ยังคงเป็นหญิงสาวแสนดีที่สง่างามและเพียบพร้อม ปรากฏตัวต่อหน้ากู้เซียงด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเหมือนเคย
ในเมื่อดอกบัวขาวดอกนี้ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่คิด เธอก็พร้อมที่จะกระชากหน้ากากออกแล้ว
ภาพลักษณ์ของเฉียวอิ้งฉิงดีงามมาก
ไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่ใคร ชอบดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง ผู้คนทั้งในและนอกวงการต่างก็ชื่นชมเธอ
ไม่มีคนปกติที่ไหนจะกล่าวหาว่าเมียหลวงเป็นมือที่สาม ยกเว้นเฉียวอิ้งฉิง
กู้เซียงเชื่อว่าอีกฝ่ายน่าจะเล่นภาพยนตร์แนวนี้จนเริ่มเพี้ยน การต้องเล่นเป็นหญิงสาวใสซื่อในตอนแรก แล้วพลิกไปเล่นร้ายในตอนหลัง ทำให้เฉียวอิ้งฉิงมีความสามารถในการตบตาผู้คนและได้ทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการเสมอ
“พวกดาราดังก็แบบนี้แหละ จะมาช้าแค่ไหนก็ได้ ไม่เหมือนตัวประกอบอย่างพวกเรา” เจี่ยงลี่ลี่ทำเสียงประชดประชัน
เฉียวอิ้งฉิงไม่ถือสาหาความและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงฉันจะดัง แต่ก็ไม่เท่าพี่เจี่ยงหรอกค่ะ” พูดจบก็เหลือบมองกู้เซียง “เธอคือ…”
เฉียวอิ้งฉิงรู้สึกสะดุดตาตั้งแต่ที่เข้ามาในห้อง ผู้หญิงมักจะมีสัญชาตญาณพิเศษ มองเห็นของสวยงามที่สุดเป็นอันดับแรกเสมอ
นักแสดงที่อยู่ในห้องล้วนรูปร่างหน้าตาดีและได้รับเชิญให้มาเล่นเรื่องนี้เหมือนกัน
ถึงเฉียวอิ้งฉิงกับเจี่ยงลี่ลี่จะโดดเด่นกว่า แต่บุคลิกที่สุขุมเรียบร้อย ผมดำขลับยาวสลวย ผิวขาวผุดผ่อง ดวงตากลมโต และแต่งหน้าบางเบา ก็ทำให้กู้เซียงโดดเด่นไม่แพ้กัน
เฉียวอิ้งฉิงไม่ได้สนใจความงามของเธอ แต่เป็นแววตาที่ซ่อนความรู้สึกหลากหลายจนกลายเป็นความลึกลับมากกว่า
ทั้งที่อากาศภายในห้องไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป แต่เฉียวอิ้งฉิงกลับเย็นวาบไปทั่วสันหลัง มีเหงื่อซึมเล็กน้อยบนหน้าผาก
“เธอชื่อกู้เซียง” เจี่ยงลี่ลี่แนะนำ “แสดงเป็นพระชายา สวยตะลึงเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉียวอิ้งฉิงฝืนยิ้มจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก ก็ยิ่งรู้สึกตงิดๆ ในใจ
“สวัสดีค่ะพี่เฉียว” กู้เซียงกล่าวทักทาย
เฉียวอิ้งฉิงพยักหน้ารับ
ปกติเธอจะวางท่าอ่อนโยนและใจดีใส่คนอื่น แต่กลับไม่มีกะจิตกะใจจะทักทายหรือให้เกียรติคนตรงหน้าด้วยซ้ำ
“จำได้ว่าบทนี้เป็นของนักแสดงอีกคน เธอรู้จักกับผู้กำกับเวินเหรอ? แล้วได้ทดสอบหน้ากล้องหรือยัง?” เฉียวอิ้งฉิงรัวคำถามใส่
“ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะ” กู้เซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็ตกใจเหมือนกันตอนถูกเชิญให้มาเล่นเรื่องนี้ เห็นว่าผู้กำกับเถียนเป็นคนแนะนำมา”
พอได้ยินคำตอบของกู้เซียงเหวินจิ้งก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะรู้ว่าเฉียวอิ้งฉิงมีเจตนาไม่สู้ดี
คิดจะกลั่นแกล้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยเหรอ? ร้ายจริงๆ!
เจี่ยงลี่ลี่รู้สึกถึงคมมีดที่แฝงอยู่ในคำพูดของเฉียวอิ้งฉิง จึงไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะหาเรื่องเด็กใหม่ให้ต้องอึดอัดใจไปทำไม
ครั้งนี้เฉียวอิ้งฉิงถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ต่างจากปกติที่เป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี ยิ่งได้รับคำตอบที่ไม่เข้าหู บวกกับใบหน้าไม่รู้สึกรู้สาของอีกฝ่ายก็ยิ่งอารมณ์เสียขึ้นไปอีก
เจี่ยงลี่ลี่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา สักพักทีมงานก็มาเรียกพวกเธอให้ไปรอหลังเวที
เวินหลินยู่ไม่ชอบความเอิกเกริก งานเปิดกล้องจึงเป็นไปอย่างเรียบง่าย แค่ให้นักแสดงหลักและทีมงานร่วมกันตัดริบบิ้น จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นอันเสร็จ
ที่กลางเวที กู้เซียง เจี่ยงลี่ลี่ และเฉียวอิ้งฉิง ถูกสื่อสำนักต่างๆ รุมถ่ายภาพอย่างกระตือรือร้น แต่จู่ๆ กล้องทุกตัวก็หันไปทางชายสวมชุดหนังสีน้ำตาล กางเกงสีดำกับรองเท้าหุ้มส้น
“เหลียงจี้…” กู้เซียงมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น
เขายกมือขึ้นบังแสงแฟลชด้วยท่าทีหงุดหงิด ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาเหมือนเคย
หญิงสาวทุกคนต่างมีความฝันว่าคนที่แอบปลื้มจะมาขอแต่งงาน แต่มักจะเดาออกแค่ตอนต้นเรื่อง ไม่อาจรับรู้จุดจบได้
กู้เซียงก็เช่นกัน สำหรับเธอแค่ได้พบกับเจ้าชายในความฝัน กลายเป็นภรรยาของเขาและครองรักกันอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว ส่วนความเจ็บปวดที่ต้องพบเจอในชีวิตการแต่งงาน เป็นเพียงบททดสอบเล็กๆ ที่จะมุ่งไปสู่ความสุขในบั้นปลาย จึงมีจิตจดจ่ออยู่กับความสุข มองข้ามเรื่องน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แต่หากคนที่เธอแต่งงานด้วยไม่ใช่เจ้าชาย เป็นพวกต่ำช้า หน้าไม่อาย หวังเพียงประโยชน์จากเธอล่ะ?
กู้เซียงแค้นเหลียงจี้มากกว่าเฉียวอิ้งฉิง เพราะอย่างน้อยก็ไม่เคยถูกหลอกให้ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอะไร เหลียงจี้เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่า “ผมรักภรรยาของผมมาก การได้พบเธอคือความโชคดีที่สุดแล้ว” แต่พอหย่ากันกลับพูดว่า “ผมไม่เคยรักเธอมาก่อน” ไม่น่าเชื่อว่าสองประโยคนี้จะออกจากปากของคนคนเดียวกัน
เหมือนกับตอนที่คุกเข่าขอเธอแต่งงานกลางรายการถ่ายทอดสด เขาก็ประกาศกับทุกคนว่า “ผมจะดูแลคุณไปชั่วชีวิต” แต่ตอนที่เธออยู่โรงพยาบาล กลับพูดผ่านโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ห้ามไปหาเรื่องอิ้งฉิงเด็ดขาด!”
อย่างตอนที่เธอตั้งครรภ์ ก็ประกาศกับสาธารณชนว่า “ผมอยากเห็นหน้าลูกใจจะขาด คุณคงเหนื่อยมากสินะ” แต่หลังจากแท้งลูกได้หนึ่งเดือน เขาก็ไปอยู่บ้านเฉียวอิ้งฉิงแล้วไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย
ยิ่งเหลียงจี้ปฏิบัติต่อเธอด้วยความเอาใจใส่มากเท่าไหร่ ยิ่งกลายเป็นความน่าสมเพชในตอนหลังมากเท่านั้น หลังจากที่แต่งงานกันเธอก็ออกจากวงการบันเทิง ในตอนนั้นเขาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเป็นสามีผู้อ่อนโยน เป็นผู้นำครอบครัว เป็นสามีแห่งชาติ จนได้รับคำชื่นชมและมีแฟนคลับเพิ่มเป็นเท่าตัว ต่างจากกู้เซียงที่มีแต่ข่าวเสียหาย ทั้งชอบโวยวาย ไม่ทำงานบ้าน ไม่ลงรอยกับพ่อแม่สามี และเอาแต่ใจจนเสียเรื่อง
ตลอดหลายปีที่อยู่ด้วยกัน แฟนคลับมองว่าเธอกับเหลียงจี้เป็นคู่ที่ไม่เหมาะสม การแต่งงานของพวกเขาเป็นเพียงการสร้างกระแส ยิ่งเหลียงจี้ชอบเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้เธอตลอดเวลา ยิ่งทำให้เธอดูอัปลักษณ์ในสายตาของทุกคน
เหลียงจี้เดินมาหยุดยืนตรงหน้าเฉียวอิ้งฉิงและส่งยิ้มให้ ก่อนจะเหลือบมองกู้เซียงแล้วนิ่งไป
หญิงสาวตรงหน้าบุคลิกโดดเด่น แจ้งเกิดในวงการบันเทิงได้ไม่ยาก ทว่าดวงตาดำขลับที่จ้องมองเขากลับไร้ความรู้สึก เยียบเย็นจนเขาสะท้านไปทั้งร่าง
เหลียงจี้ขมวดคิ้วมองกู้เซียงโดยไม่พูดอะไร เจี่ยงลี่ลี่กับเฉียวอิ้งฉิงก็รู้สึกถึงความผิดปกตินั้นเช่นกัน
“ขอโทษด้วย ผมมาช้าไปหน่อย” ถางรุ่ยวิ่งนำจ่านหยางเข้ามา “เดินเร็วๆ สิเคลาส์!”
จ่านหยางค่อยๆ เดินเข้างาน เขาสวมเสื้อไหมพรมสีเทา กางเกงลำลองสีครีม ใส่หมวกแก๊ปที่ถูกกดลงปิดบังใบหน้า หลังถอดแว่นตาดำออก ใบหน้าหล่อเหลาก็ถูกเผยให้เห็นอย่างชัดเจน
“สวัสดีครับคุณกู้” ถางรุ่ยทักทายกู้เซียงอย่างเป็นกันเอง
รอยยิ้มของเฉียวอิ้งฉิงชะงักค้าง ก่อนจะถามขึ้นว่า “พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ?”
ถางรุ่ยหัวเราะแล้วหันมองกู้เซียง
“ผู้กำกับเถียนเป็นคนแนะนำครับ บอกว่าเจอนักแสดงใหม่ฝีมือดี แล้วผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง”
แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักถางรุ่ย เพียงแต่ชาติที่แล้วกู้เซียงไม่เคยได้ร่วมงานกับเขา ชาตินี้ก็เพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก แต่เขากลับทักทายเธออย่างเป็นกันเอง
“นายมาเยี่ยมผู้กำกับเวินเหรอ?” เจี่ยงลี่ลี่ทักจ่านหยางที่ยืนอยู่หลังถางรุ่ย
บรรดานักแสดงที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครสนิทสนมกับพวกเขา แต่เวินหลินยู่กับถางรุ่ยรู้จักกันมาก่อน ในเมื่อเป็นละครที่ผู้กำกับเวินตั้งใจสร้าง ก็ไม่แปลกที่เพื่อนอย่างถางรุ่ยจะมาร่วมงานวันเปิดกล้อง
“ผมก็เล่นเรื่องนี้เหมือนกันครับ” จ่านหยางหัวเราะ
ชาติที่แล้วจ่านหยางไม่ได้ร่วมเล่นด้วย เพราะละครเรื่องนี้ใช้นักแสดงหญิงเป็นหลัก นอกจากหมิงอ๋องกับฮ่องเต้แล้ว บทของผู้ชายคนอื่นๆ ในเรื่องแทบจะไม่สำคัญเลย
หรือเขาจะแสดงเป็นแม่ทัพเจิ้นหยวน? กู้เซียงคิดในใจ