“อย่าล้อเล่นน่ะ ผู้กำกับไม่น่าจะจ่ายค่าตัวคุณไหว” เฉียวอิ้งฉิงแซว
“ผมเป็นแค่ตัวประกอบเล็กๆ ออกไม่กี่ฉาก น่าจะจ่ายไหวอยู่ครับ”
ทุกคนตรงนั้นรู้ดีว่าเขาไม่ได้พูดเล่น แต่เป็นเหลียงจี้ที่กล้าถามขึ้นก่อน “คุณจ่านรับบทอะไรเหรอครับ?”
“เป็นองครักษ์ที่หมิงอ๋องให้คุ้มกันพระชายา ประมาณสุนัขรับใช้น่ะครับ”
กู้เซียงจำได้ว่าละครเรื่องนี้มีองครักษ์ซึ่งเป็นตัวร้ายอยู่คนหนึ่ง ตอนที่เพิ่งจะแต่งงานกับหมิงอ๋อง ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่แตกร้าว เฉินเมี่ยวเห็นว่าองครักษ์ของหมิงอ๋องมีวรยุทธ์เป็นเลิศ จึงอยากได้มาเป็นผู้คุ้มกัน นางตกรางวัลให้องครักษ์นายนี้จำนวนมากและเขาก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
ตอนที่จูชิงฮวนคิดจะสู้กลับ เขาปกป้องเฉินเมี่ยวเป็นอย่างดี รวมถึงแผนการพรากพรหมจรรย์ของจูชิงฮวนด้วย คนที่รับบทองครักษ์ในตอนนั้นคือเด็กหนุ่มหน้าตาดี ฝีมือการแสดงเป็นเลิศ ซึ่งกลายเป็นจ่านหยางในวันนี้ ที่น่าแปลกก็คือ เขายอมเล่นเป็นตัวละครที่ไร้คุณธรรมขนาดนี้ได้ยังไง?
ตัวแย่งซีนสินะ… คำนี้แล่นเข้าในหัวกู้เซียง
ที่ผ่านมา จ่านหยางไม่ยอมเป็นนักแสดงหลัก ไม่เล่นหนังรัก ไม่เล่นหนังพีเรียด แต่กลับรับบทนี้ เธอจำได้ว่าหลังจากหมิงอ๋องรู้ความจริงเกี่ยวกับวีรกรรมขององครักษ์ ก็สั่งเก็บทันที ทำให้เขามีจุดจบที่น่าอนาถมาก ตอนแรกกู้เซียงไม่คิดอะไร แต่พอรู้ว่านักแสดงสมทบคือจ่านหยาง ก็สะใจไม่น้อย
“คุณจ่านเป็นคนตลกเหมือนกันนะคะ” เจี่ยงลี่ลี่แซว
แม้จ่านหยางจะเป็นเพียงตัวประกอบ แต่เขาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมไปได้
จากตอนแรกที่ไม่อยากจะร่วมสนทนาด้วย เหลียงจี้กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไป สองมือถูกันไปมาโดยไม่รู้ตัว
ภาพตรงหน้าทำกู้เซียงยิ้มเยาะในใจ เหลียงจี้ชอบถูมือเวลารู้สึกหงุดหงิด เดิมเขามีอคติกับจ่านหยางอยู่แล้ว เพราะอีกฝ่ายทั้งหน้าตาดีและมีฝีมือด้านการแสดง ทั้งยังถูกกลบรัศมีอยู่หลายครั้งแล้วเขาจะยอมได้ยังไง
“จริงด้วยค่ะ” เฉียวอิ้งฉิงพูดเสริม “ว่าแต่… ทำไมถึงอยากรับบทนี้ล่ะคะ จะเล่นละครทั้งที ไม่น่าเป็นตัวประกอบเลย”
“เพราะผู้กำกับเวินน่ะครับ” ถางรุ่ยตอบแทน “เขาอยากให้เคลาส์มาเล่นละครเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ยอมให้บทดีๆ ขี้หวงจริงๆ”
สนทนากันไปได้สักพัก พิธีเปิดกล้องก็เริ่มขึ้น
ไม่เสียแรงที่เวินหลินยู่จัดงานเฉพาะส่วนที่จำเป็น กำหนดการจึงถูกตัดทอนลงมาก พอถึงช่วงที่เหล่านักแสดงต้องตัดริบบิ้นและจุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนก็เข้าประจำที่ตามความสำคัญของบทบาท
เฉียวอิ้งฉิงยืนข้างเหลียงจี้ เจี่ยงลี่ลี่ยืนข้างเว่ยคุน ส่วนกู้เซียงยืนข้างจ่านหยาง
เหวินจิ้งดีใจแทบบ้า รีบยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปจากด้านข้าง
ถางรุ่ยยังคงยิ้มแย้ม ทว่าแววตาที่มองยังกู้เซียงกลับทำเธอตะขิดตะขวงใจ
ทั้งสองไม่เคยเจอหรือทำความรู้จักกันมาก่อน ส่วนจ่านหยางที่ยืนข้างๆ ก็ไม่พูดอะไรเลย
ตอนเกิดเรื่องในห้องรับรองนักแสดง กู้เซียงไม่ได้สนใจจะมองเขาให้ถี่ถ้วน แต่เมื่อได้อยู่ในระยะประชิดก็พบว่าหล่อกว่าในทีวีเสียอีก
รูปร่างสมส่วน อกผายไหล่ผึ่ง ใบหน้าลูกครึ่ง ตาสองชั้น จมูกเป็นสัน ขนาดเธอสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แต่กลับได้แค่ไหล่ของจ่านหยางเท่านั้น บุคลิกโดยรวมอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ดวงตาเรียวยาวดำขลับ ซ่อนความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไว้ภายใต้ความสุกใส
แม้กู้เซียงจะเคยเจอดาราชายหน้าตาดีมากมายในวงการบันเทิง แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครทั้งหล่อและมีเสน่ห์ได้เท่าเขา
จ่านหยางรู้สึกได้ถึงการจับจ้อง จึงหันมองเธอแล้วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะทำนิ้วเป็นรูปกรรไกร ขยับดัง ฉับ—ฉับ
กู้เซียงกะพริบตาปริบๆ… ยังจำได้อีกเหรอเนี่ย?
การที่จ่านหยางไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ คงเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับดาราหน้าใหม่ แต่ในความคิดของเธอ เขาไม่น่าจะชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากกว่า
ขณะกำลังครุ่นคิด คนอื่นกลับมองว่าเธอตกหลุมรักจ่านหยางอยู่ กระทั่งถางรุ่ยหลุดหัวเราะออกมา ทุกคนในที่นั้นจึงจ้องเธอหนักกว่าเดิม กู้เซียงจึงรีบเบือนหน้าไปทางอื่น
หลังพิธีเปิดกล้องสิ้นสุดลง ทุกคนจะได้หยุดพักหนึ่งวันแล้วค่อยเริ่มถ่ายในวันถัดไป
ละครเรื่องนี้จะเป็นแบบถ่ายไปฉายไป นักแสดงจำต้องมีความรับผิดชอบที่สูงมาก
กู้เซียงรับตารางงานแล้วเตรียมตัวกลับพร้อมเหวินจิ้ง แต่เมื่อต้องเห็นเฉียวอิ้งฉิงกับเหลียงจี้แสร้งทำเป็นยืนห่างกัน สีหน้าท่าทางเหมือนเพื่อนร่วมงานทั่วไป เนื่องจากความรักของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผย เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียน
“คุณกู้” จู่ๆ เสียงเรียกของเวินหลินยู่ก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
กู้เซียงรีบหันไปทักทาย ซึ่งตรงนั้นมีจ่านหยางกับถางรุ่ยยืนอยู่ด้วย “ผู้กำกับเวิน”
เวินหลินยู่คือชายวัยกลางคนที่ท่าทางเป็นมิตร หากจะบอกว่าเถียนลี่คือผู้กำกับที่แสวงหาศิลปะแบบสุดโต่ง เวินหลินยู่ก็น่าจะเป็นผู้กำกับที่เน้นเรื่องผลงานและธุรกิจ ซึ่งคนประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับเส้นสายมาก ในเมื่อถางรุ่ยฝากฝังกู้เซียงมา เขาก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด
“พอดีเคลาส์มาร่วมแสดงด้วย ผมเลยสั่งปรับบทใหม่ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเล่นคู่กับคุณ ลองกลับไปศึกษาดูนะครับ วันมะรืนจะได้เริ่มถ่ายกัน” เขายื่นกระดาษปึกหนึ่งให้กู้เซียง
ที่อีกฝ่ายกำลังบอกก็คือ เขาปรับบทให้จ่านหยางโดยเฉพาะ ประโยคนี้ทำกู้เซียงเกร็งเล็กน้อย เพราะการต้องเล่นคู่กับซูเปอร์สตาร์ที่ใครๆ ก็หวงแหนนั้นไม่ง่ายเลย
เธอพยักหน้ารับคำ ขอบคุณเวินหลินยู่ กล่าวลาจ่านหยางกับถางรุ่ย แล้วชวนเหวินจิ้งกลับ
“เธอต้องหาโอกาสขอลายเซ็นจากเคลาส์ให้ได้นะ ฉันถ่ายรูปเขาไว้เยอะเลย คิดชื่ออัลบั้มแล้วด้วย” เหวินจิ้งตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่
กู้เซียงไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เอาแต่นั่งดูบทอย่างใจจดใจจ่อเพราะอยากรู้ว่าฉากไหนบ้างที่ถูกปรับเปลี่ยน
หลังเปิดดูไปได้ไม่กี่หน้า เธอก็แทบลมจับ
ไม่รู้ว่าเวินหลินยู่ใช้วิชามารอะไร นักเขียนถึงยอมเปลี่ยนบุคลิกของตัวละครง่ายๆ แบบนี้
นอกจากจะตัดฉากที่จ่านหยางปลุกปล้ำเฉียวอิ้งฉิงออกแล้ว นักเขียนยังเปลี่ยนนิสัยขององครักษ์หนุ่มซื่อๆ คนหนึ่งให้กลายเป็นคนนิสัยเย็นชาและหยิ่งทะนง ทำเอาบทของหมิงอ๋องด้อยไปถนัดตา
กู้เซียงยกมือกุมขมับ แม้แต่เธอก็ยังต้องเปลี่ยนบทเพื่อตัวประกอบคนนี้ ช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกิน!
ในที่สุดวันถ่ายทำก็มาถึง
นอกจากบทตัวประกอบในหนังเรื่องเหมยจวง กู้เซียงก็ไม่เคยเล่นละครมาก่อน แต่กลับได้รับบทนางรองในครั้งแรก ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้นักแสดงหลัก
แม้ในใจจะกังวล แต่เหวินจิ้งไม่แสดงออกและพยายามให้กำลังใจกู้เซียงตลอด เตือนบ้างเป็นครั้งคราว เพราะการที่เธอได้เล่นละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วน สร้างความไม่พอใจให้เหล่าดาราหน้าใหม่ที่เปิดตัวในช่วงเดียวกันอย่างมาก
เมื่อไปถึงกองถ่าย เธอก็รีบแต่งตัวและรอต่อคิวแต่งหน้า เพราะไม่มีช่างฝีมือดีรอแต่งให้เหมือนอย่างเฉียวอิ้งฉิงและเจี่ยงลี่ลี่
“คุณกู้ผิวดีจังเลยค่ะ ลงแป้งให้ยังนึกเสียดาย” ช่างแต่งหน้าสาวมือใหม่ชมกู้เซียงไม่ขาดปาก
ดาราทุกคนจำเป็นต้องผิวพรรณดีเวลาออกกล้อง การทารองพื้นเพื่อปรับสีผิวจึงสำคัญมาก แต่ผิวของกู้เซียงขาวเนียนเปล่งประกายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงอะไรเพื่อปกปิดเลย
เจี่ยงลี่ลี่หัวเราะ “ยังสาวยังสวยก็แบบนี้แหละ จะเหมือนฉันได้ยังไง ฮ่าๆๆ”
“จริงด้วย น่าอิจฉาจังเลย” เฉียวอิ้งฉิงฝืนยิ้ม
ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนตั้งมาตรฐานการแต่งกายของตัวละครไว้สูงมาก เสื้อผ้าและเครื่องประดับโบราณทุกชิ้นจะต้องหรูหราอลังการ เพื่อให้ใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์มากที่สุด การแต่งหน้าและทำผมก็สำคัญไม่แพ้กัน ทุกคนจึงใช้เวลากับตรงนี้นานพอสมควร
ช่วงแรกเฉียวอิ้งฉิงต้องแสดงเป็นหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ที่เตรียมตัวเข้าวัง การแต่งกายและแต่งหน้าจึงเรียบง่าย เมื่อเสร็จเร็วกว่าคนอื่น เธอจึงได้เข้าฉากเป็นคนแรก
ละครเรื่องนี้ถูกสมมติว่าอยู่ในสมัยของ ‘ราชวงศ์หมิง’ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับราชวงศ์เป่ยและซ่งของจีน
เปิดฉากแรกด้วยนกอินทรีที่กำลังบินลัดขอบฟ้ามายังตำหนักของฮ่องเต้ ไข่มุกสีชาดเปล่งประกาย กำแพงวังซ้อนกันเป็นชั้นๆ พฤกษานานาพันธุ์กำลังแตกหน่อออกใบอย่างช้าๆ
ภาพย้อนกลับไปในสมัยโบราณ คนในวังทั้งเก่าและใหม่จำต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันโหดร้าย
จูชิงฮวนหรือซิ่วหนู่ หญิงงามที่ถูกคัดเลือกยืนอยู่หน้าประตูวัง กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบด้วยความไร้เดียงสา
ฝีมือการแสดงของเฉียวอิ้งฉิงดีมากอยู่แล้ว ประกอบกับบุคลิกที่สง่างามและอ่อนโยน ทำให้เธอเหมาะกับบทจูชิงฮวนที่สุด
ครั้งแรกที่เข้าวัง เธอต้องแสร้งทำเป็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ
เฉียวอิ้งฉิงอายุยี่สิบกว่า ดูแลรูปลักษณ์เป็นอย่างดี ฝีมือการแสดงโดดเด่น ด้วยความที่มีนิสัยละเอียดอ่อน จึงนำเสนอรายละเอียดของตัวละครได้อย่างหมดจด
ผู้กำกับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แม้แต่เฉียวอิ้งฉิงก็คิดไม่ถึงว่างานจะราบรื่นขนาดนี้
“แสดงดีเกินไปแล้วนะ กะไม่ให้คนวงการละครได้เกิดเลยสิท่า” เจี่ยงลี่ลี่แซว
“เดี๋ยวพอถึงฉากของพี่ ฉันไม่ต้องเตรียมช่อดอกไม้มามอบให้เลยเหรอ?” เฉียวอิ้งฉิงหยอกกลับ