การปะทะกันของแฟนคลับฝ่ายมืด การวิพากษ์วิจารณ์ของคนทั่วไป รวมถึงกลุ่มคนที่เต้นตามกระแส ทำให้เกิดแฮชแท็กร้อนแรงแห่งปีที่ว่า #ไล่เสี่ยวเฉียวออกจากวงการบันเทิง
เรื่องนี้ไม่ต่างจากการสาดโคลนใส่หน้าดารารุ่นใหญ่ที่รักษาชื่อเสียงในวงการบันเทิงมานานหลายปีอย่างเฉียวอิ้งฉิง แถมยังทำให้เธอกับเหลียงจี้ถูกกลุ่มปาปารัสซี่ไล่ล่าอีก
กู้เซียงไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น เพราะต้องไปคัดตัวนักแสดงเรื่องฆ่าทั้งอาฆาต
เหวินจิ้งเห็นว่ากู้เซียงสามารถแสดงละครได้ดี จึงอยากให้รับงานละครเพิ่มเพื่อสะสมแฟนคลับ เนื่องจากละครใช้เวลาถ่ายทำสั้น แต่ได้รับความนิยมมากกว่างานภาพยนตร์
ตอนนี้ฝีมือการแสดงละครของกู้เซียงเป็นที่ยอมรับแล้ว เหลือแค่งานภาพยนตร์ที่ยังไม่เคยชิมลาง จึงไม่อาจคาดเดาฝีมือและเสียงตอบรับได้
ตั้งแต่ถ่ายทำเรื่องฉีโฮ่วจ้วนเสร็จ ก็มีละครน้ำดีหลายเรื่องติดต่อกู้เซียงมา อยากให้ไปเล่นเป็นนางเอก แต่เธอยืนยันหนักแน่นว่าจะเดินทางในสายภาพยนตร์
เหวินจิ้งจนปัญญา เพราะสถานการณ์ของกู้เซียงในตอนนี้ไม่ต่างจากตัวเองตอนที่เรียนจบ ที่ลังเลว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัวหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งดี สุดท้ายก็ต้องเรียนซ้ำชั้นมัธยมหกอีกปี
กู้เซียงไม่รู้ว่าผู้จัดการส่วนตัวของเธอกังวลมากแค่ไหน แต่เธอกำลังมีความสุขมาก
เรื่องฆ่าทั้งอาฆาตเป็นภาพยนตร์น้ำดี บทบาทท้าทาย ต่างจากเฉินเมี่ยวที่เธอเคยแสดงอย่างสิ้นเชิง หากสามารถเล่นบทนางเอกที่เป็นตัวร้ายได้ ก็นับว่ายกระดับความสามารถด้านการแสดงได้มาก
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กู้เซียงก็รีบเดินทางไปคัดตัวนักแสดง
คนที่มาแคสต์บทนางเอกมีไม่น้อย ส่วนใหญ่อายุสามสิบปีขึ้นไปและเข้าวงการด้วยฝีมือล้วนๆ
เนื่องจากนางเอกมีบุคลิกเย็นชา เป็นแม่ม่ายที่ปกปิดความเป็นฆาตกร นักแสดงที่มาคัดตัวจึงค่อนข้างมีอายุ เมื่อกู้เซียงที่ยังดูสาวปรากฏตัวขึ้น จึงเหมือนมาผิดกองถ่าย
เหวินจิ้งเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่กู้เซียงยังยืนยันที่จะไปลงชื่อตรงจุดลงทะเบียน
ขณะกำลังยืนรอ เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“กู้เซียง”
พอหันไปมอง เธอก็พบกับหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าปี ผิวคล้ำ หน้าคม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีน ท่าทางทะมัดทะแมง
‘เฉิงหลิน’ คือนางเอกเรื่องฆ่าทั้งอาฆาตในชาติที่แล้ว นักแสดงหญิงที่โดดเด่นในวงการภาพยนตร์มีไม่มาก และเธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น อาจไม่เหมือนนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่มีแฟนคลับคอยติดตาม แต่ก็ทำงานอย่างมืออาชีพ ฝีมือการแสดงโดดเด่น
สิ่งที่ทำให้เฉิงหลินเป็นกระแสคือรสนิยมทางเพศ ซึ่งทำให้การงานของเธอตกต่ำ เมื่อบริษัทไม่รู้ว่าจะจัดวางบุคลิกของเธอยังไง สุดท้ายเฉิงหลินก็ประกาศลาออกจากวงการแล้วหายเข้ากลีบเมฆ
กู้เซียงไม่อยากจะออกความคิดเห็นทั้งเรื่องรสนิยมทางเพศและฝีมือการแสดงของอีกฝ่าย เนื่องจากเฉิงหลินเป็นเพื่อนของเฉียวอิ้งฉิง
ชาติที่แล้ว พวกหล่อนอวดมิตรภาพที่ดีต่อกันผ่านทางเวยป๋ออยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเฉิงหลินประกาศลาออกจากวงการ เฉียวอิ้งฉิงก็รีบประกาศว่าเธอไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีรูปคู่ของเธอกับเฉิงหลินอีกเลย
ดูจากพฤติกรรมของเฉียวอิ้งฉิงแล้ว เธอไม่จำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะการที่เฉิงหลินงานหดก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเธอ
กว่าเฉิงหลินจะลาออกจากวงการก็อีกสิบปี ตอนนี้พวกเธอจึงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเฉียวอิ้งฉิง กู้เซียงจะไม่ข้องแวะด้วย
“เสี่ยวเฉียวบอกว่าเธอจะมาแคสต์งาน ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ” เฉิงหลินทำเสียงตื่นเต้น “ได้อ่านบทมาก่อนหรือเปล่า นี่ไม่ใช่หนังครอบครัวนะ แล้วนางเอกก็ไม่ใช่พวกสวยแต่รูปด้วย”
จะหาคนในวงการบันเทิงที่นิสัยตรงไปตรงมานั้นยากมาก ทั้งที่เคยเห็นฝีมือการแสดงของกู้เซียงแล้ว แต่เฉิงหลินก็ยังกล่าวหาว่าเธอสวยแต่รูปอีก
“ฉันแค่อยากลองน่ะค่ะ เห็นว่าบทน่าสนใจดี” เธอยิ้มตอบ
“คราวที่แล้วก็รับบทตัวร้ายไม่ใช่เหรอ คงจะชอบแนวนี้สิท่า?”
เฉิงหลินคงไม่รู้ว่ากำลังด่าเหมารวมตัวเองไปด้วย แต่กู้เซียงรู้กาลเทศะพอจึงไม่ตอบโต้
เหวินจิ้งที่เพิ่งเสร็จจากการลงทะเบียนเดาสถานการณ์ออก จึงเอ่ยแบบไม่เกรงใจว่า “เซียงเซียง ผู้ช่วยบอกว่าผู้กำกับดีใจมากที่เธอมา แถมยังบอกให้สู้ๆ ด้วยนะ” พูดจบก็ส่งบัตรคิวที่ออกเป็นพิเศษเพื่อเธอ
คำพูดที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห ทำเฉิงหลินสบถเบาๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องมาวุ่นวายกับเธอด้วย?” เหวินจิ้งถาม
“ฉันสวยไง ก็เลยอิจฉา” กู้เซียงตอบยียวน
“แหมๆๆ”
ไม่นานก็ถึงคิวของกู้เซียง ซึ่งเฉิงหลินก็นั่งอยู่ในห้องด้วย
เฉิงหลินสนิทกับผู้กำกับหลายคน เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ในวงการภาพยนตร์ กู้เซียงรู้ดีว่าถ้าวันนี้เธอไม่มา คนที่จะได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือเฉิงหลิน
อีกฝ่ายแคสต์งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังอยู่ก็เพราะอยากรอดูเรื่องขายหน้าของกู้เซียง จะได้เอาไปเล่าให้เฉียวอิ้งฉิงฟัง
เฉียวอิ้งฉิงบอกว่ากู้เซียงชอบทำอะไรลับหลัง เป็นดาราหน้าใหม่แต่ไม่เคารพรุ่นพี่ แถมยังแกล้งเธอบ่อยๆ เฉิงหลินเลยรู้สึกโกรธแทน
กู้เซียงเดินเข้ามาในห้อง โค้งคำนับผู้กำกับด้วยท่าทางอ่อนน้อม กระแสของเธอในช่วงนี้เป็นที่น่าประทับใจอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนก็ยิ่งสร้างความประทับใจขึ้นไปอีก
เธอหยิบยางมัดผมสีดำออกจากกระเป๋า รวบผมหางม้าขึ้นสูง ยกปกเสื้อกันลมสีดำที่ใส่ทับเสื้อยืดสีขาวขึ้นเพื่อให้ดูทะมัดทะแมง
กู้เซียงเข้าถึงบทบาทอย่างรวดเร็ว แม้แต่เฉิงหลินก็ไม่พบความตื่นเต้นในตัวเธอ สีหน้าและแววตาของผู้กำกับเซี่ยหัวเผลอตึงเครียดตามไปด้วย
เขาเคยเห็นการแสดงที่ทรงพลังของเธอในฉีโฮ่วจ้วนมาแล้ว แต่ภาพยนตร์ไม่ใช่ละคร หากไม่ใช่เพราะผู้กำกับเถียนแนะนำมา เขาคงไม่ให้โอกาสดาราหน้าใหม่ เพราะกู้เซียงมีบุคลิกอ่อนโยนซึ่งต่างจากนางเอกของเรื่องที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง
เห็นอีกฝ่ายพยายามจะแต่งตัวให้เข้ากับบทบาท เฉิงหลินก็แสยะยิ้ม
กู้เซียงเลือกแสดงฉากที่ฉางหยูถูกไอ้หนุ่มทำดีชวนให้กลับเข้าวงการนักฆ่าอีกครั้ง เธอก้มหน้าแล้วจินตนาการว่ามีลูกชายกับลูกสาวนอนอยู่ หลังยกผ้าห่มคลุมร่างให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน เธอก็เดินออกจากห้องนอนเพื่อไปหยิบปืนจากในลิ้นชักมานับลูกกระสุน
สีหน้าของเฉิงหลินยังคงเย้ยหยัน ทั้งที่จ้องกู้เซียงไม่วางตา
ฉางหยูเดินออกจากบ้านด้วยใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ใครจะรู้ว่าหนึ่งนาทีก่อนหน้า เธอยังเป็นคุณแม่ผู้งดงามและอ่อนโยนดั่งดอกไม้
บนถนนยามราตรี ฉางหยูหยุดฝีเท้าหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ขมวดคิ้วมองพฤติกรรมโผงผางของกลุ่มคนในร้าน ก่อนจะเดินเข้าด้านในแล้วหาที่นั่งหลบมุม
หลังสั่งเบียร์แก้วโตเสร็จ ชายที่กำลังมึนเมาก็เดินมายืนตรงหน้าเธอ พึมพำบางอย่าง ฉางหยูไม่ตอบโต้ คล้ายว่าคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้
“มันผ่านมานานมาก” เธอพูดกับตัวเอง “ฉันเปลี่ยนไปแล้ว”
ผู้หญิงตัวคนเดียวที่ไร้หัวใจบอกลาอดีตเพื่อความรัก แต่ความเป็นเธอ สิ่งที่อยู่ในสายเลือด วิถีชีวิตที่คุ้นเคยกลับยังคงอยู่
ฉางหยูยกเบียร์แก้วโตดื่มจนหมด ฉากนี้ในบทไม่ได้อธิบายท่าทางเอาไว้ ต้องอาศัยความสามารถของนักแสดงเอง
กู้เซียงเพียงคนเดียวแต่กลับแสดงทุกบทบาทของตัวละครในร้านเหล้าได้อย่างสมบูรณ์ จนเฉิงหลินเริ่มไม่มั่นใจ
ฉางหยูค่อยๆ วางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างเงียบๆ
นาทีแห่งการสังหารเริ่มต้นขึ้น เลือดแดงฉานอาบไปทั่วทั้งร้าน สังเวียนที่เธอรามือไปนานได้กลับมาแล้ว
ความเงียบสงัดปรากฏเนิ่นนาน กระทั่งกู้เซียงลุกขึ้นโค้งคำนับให้กับผู้กำกับ
“ฉันชื่อกู้เซียง ขอบคุณผู้กำกับและทีมงานมากค่ะ”
เซี่ยหัวนิ่งไปนาน ดวงตาฉายแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
ฉางหยูคือตัวละครที่มีความซับซ้อนและขัดแย้งในตัวเอง ทั้งอ่อนโยนและเย็นชา ไร้เดียงสาและโหดร้าย มีบุคลิกแฝงที่ก้าวร้าวรุนแรงกว่าคนปกติ แต่กู้เซียงก็สามารถถ่ายทอดได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
กู้เซียงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนเดินออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะปรายตามองเฉิงหลิน—ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียตำแหน่งนางเอก ก็คนมันเก่ง ช่วยไม่ได้จริงๆ!
ตั้งแต่ทำการแสดงจนถึงตอนที่ออกจากสตูดิโอ เฉิงหลินไม่พูดกับกู้เซียงอีกเลย
เธอเดาความคิดของอีกฝ่ายออก ถ้าวันนี้กู้เซียงแสดงได้แย่ เฉิงหลินคงรีบเข้ามาซ้ำเติม แต่พอเห็นว่าเธอทำได้ดี ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาแหย่
ต้องยอมรับว่าแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเฉิงหลินทำกู้เซียงไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่ ยังดีที่เซี่ยหัวแสดงความเป็นกันเองกับเธอมาก ซ้ำยังถามถึงตารางงานในอนาคตเพื่อให้แน่ใจว่าคิวจะไม่ชนกัน เพราะอีกไม่นานเขาก็จะเปิดกล้องแล้ว
การได้กลับมาเกิดอีกครั้ง ทำให้กู้เซียงอยากรักษาทุกช่วงเวลาเอาไว้ เช่นหนังเรื่องนี้ที่เธอตั้งใจอย่างมาก และหวังว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่นกัน
หลังละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนจบลง ชาวเน็ตก็เริ่มวิจารณ์นักแสดง จนได้ข้อสรุปว่ากู้เซียงคือดาราหน้าใหม่ที่โด่งดังที่สุดแห่งปี
ในที่สุดเธอก็ขยับจากนักแสดงธรรมดาๆ ไปเป็นดาราอันดับสอง เพียงแต่ยังขาดบทนักแสดงนำที่จะทำให้ได้ชื่อว่าเป็นนางเอก
เหวินจิ้งรู้สึกยินดีกับความมุ่งมั่นในเส้นทางใหม่ของกู้เซียง แม้จะเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ก็ทำใจยอมรับได้ ในเมื่ออีกฝ่ายมีพรสวรรค์ขนาดนี้ ต่อไปจะต้องได้รางวัลในสาขาภาพยนตร์อย่างแน่นอน
ระหว่างรอผลการคัดเลือก กู้เซียงยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ เธอคาดหวังกับหนังเรื่องนี้มาก เช่นเดียวกับหัวเซินที่มั่นใจว่าเธอจะกลายเป็นแม่เหล็กดูดเงินเข้าบริษัท จึงยืดหยุ่นให้เป็นพิเศษ กู้เซียงจึงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่