หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 27

ตอนที่ 27

“พูดง่ายจังเลยนะ” เจี่ยงลี่ลี่เริ่มไม่สบอารมณ์ “มีดาราคนไหนบ้างที่ถ่ายฉากอันตรายแล้วไม่ใช้ตัวแสดงแทน? อากาศร้อนขนาดนี้ยังจะให้กลิ้งบนพื้นอีก เธออยากให้ผิวของเซียงเซียงโดนเผาและล้มกลิ้งจนตัวถลอกงั้นเหรอ?”

 

“ก็สแตนด์อินของเธอมาไม่ได้นี่!” เฉียวอิ้งฉิงเริ่มไม่สบอารมณ์เช่นกัน “วันนี้มีนักข่าวมาเยี่ยมกองถ่าย ถ้าเธอไม่ยอมแสดงจะถูกเอาไปเขียนข่าวในแง่ลบ คิดเอาเองก็แล้วกัน!”

 

แม้เฉียวอิ้งฉิงจะทำเหมือนหวังดี แต่คำพูดกลับเสียดสีอย่างเห็นได้ชัด อย่างว่าดาราหน้าเก่าที่จู่ๆ ก็ถูกดาราหน้าใหม่ไร้ชื่อแย่งซีน เป็นใครก็คงทนไม่ไหว

 

ที่เฉียวอิ้งฉิงพูดก็มีเหตุผล ตอนนี้กู้เซียงเป็นที่จับตามองอย่างมาก หากนักข่าวสายบันเทิงเอาเธอไปเขียนในแง่ลบ ทำนองว่าเป็นคนเรื่องมาก ไม่ยอมถ่ายทำทั้งที่เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ คงไม่ดีแน่นอน

 

“ฉากแบบนี้ค่อนข้างยากสำหรับเด็กใหม่” เจี่ยงลี่ลี่เป็นห่วง

 

ตอนเฉียวอิ้งฉิงเพิ่งเข้าวงการ ก็เคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เหมือนกับดาราหน้าใหม่อีกหลายๆ คน ที่ต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทว่าประสบการณ์จะหล่อหลอมให้ทุกคนคุ้นชินกับอาชีพนี้

 

เมื่อถึงคราวของกู้เซียง หากเธอแสดงท่าทีรังเกียจ ไม่ยอมลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้น จะกลายเป็นหินก้อนใหญ่ที่ขวางเส้นทางไปสู่ความยิ่งใหญ่ในวงการบันเทิง

 

นักข่าวหวังที่เฉียวอิ้งฉิงเชิญมา คุ้นเคยกับเธอมานานและถนัดเรื่องปั่นกระแสมาก แม้กู้เซียงจะยอมแสดง เขาก็สามารถเขียนในเชิงลบได้

 

“ไม่ต้องใช้สแตนด์อินก็ได้ค่ะ” กู้เซียงตอบอย่างมั่นใจ

 

เจี่ยงลี่ลี่กับเหวินจิ้งอึ้งไปตามๆ กัน

 

“เซียงเซียง อากาศร้อนขนาดนี้ เธอยังจะฝืน…”

 

ไม่รอให้เหวินจิ้งพูดจบ กู้เซียงก็รีบแทรก “ฉันเป็นนักแสดง ต้องมีความเป็นมืออาชีพ” จากนั้นก็หันไปทางเฉียวอิ้งฉิง “รบกวนพี่เฉียวไปบอกนักข่าวด้วยนะคะ ว่าช่วยให้เกียรติฉันตอนลงข่าวด้วย”

 

กู้เซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีแววหยอกล้อจนเฉียวอิ้งฉิงรู้สึกเหมือนถูกประชด

 

“ได้สิ” เธอยิ้มตอบ “ฉันขอไปบอกผู้กำกับเรื่องสแตนด์อินก่อนนะ”

 

พอหันหลัง รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวอิ้งฉิงก็เหือดหายทันที

 

ในเมื่อกู้เซียงไม่รู้รักตัวกลัวตาย เธอจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนศัตรูเสียเลย

 

เจี่ยงลี่ลี่รู้ถึงเจตนาของเฉียวอิ้งฉิง จึงมองกู้เซียงด้วยความเป็นห่วง “อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของตัวเองหรอก เป็นนักแสดงห้ามถือทิฐิ กลับคำตอนนี้ยังทันนะ”

 

เธอคิดว่าที่กู้เซียงรับปากเพราะถูกเฉียวอิ้งฉิงยั่วยุ

 

“ฉันไม่ได้ถือทิฐิ รู้ด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นนักแสดงก็แบบนี้ ต้องเล่นได้ทุกบท” กู้เซียงตอบด้วยแววตามุ่งมั่น “ขอบคุณพี่เจี่ยงมากๆ ฉันไปแต่งตัวก่อนนะคะ”

 

เหวินจิ้งรีบเดินตามไป พอลับสายตาคน กู้เซียงก็หันมาถามเธอว่า “มีเบอร์นักข่าวบ้างไหม”

 

“มี…” เหวินจิ้งหรี่ตามองอีกฝ่าย “นี่เธอกำลังคิดจะ…”

 

ไหนๆ ก็ต้องถ่ายฉากเสี่ยงอันตราย ก็เรียกนักข่าวมาสร้างกระแสเสียเลย ทุกคนจะได้รู้ว่าเธอเคารพในอาชีพแค่ไหน

 

เป็นครั้งแรกที่กู้เซียงจะถ่ายฉากแบบนี้ แต่กลับไม่รู้สึกอายที่จะถูกทำข่าวในสภาพย่ำแย่

 

“เชื่อฉันสิ” กู้เซียงจ้องตาเหวินจิ้ง “ขอสำนักข่าวใหญ่ๆ สักสองสามเจ้าก็พอ ไหนๆ ก็จะดังแล้ว เอาให้สุดไปเลย!”

 

ในเมื่อเฉียวอิ้งฉิงจงใจหาเรื่องเธอ ถึงขั้นเรียกนักข่าวมาทำลายชื่อเสียง ก็จะช่วยประโคมข่าวให้เอง

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เซียงต้องถ่ายฉากที่ต้องใช้ตัวแสดงแทน ตอนเล่นภาพยนตร์สยองขวัญ เธอถูกเครื่องดื่มหลากชนิดราดลงบนศีรษะ ถูกผลักให้ตกจากที่สูง หกล้มจนถลอกปอกเปิก ตกน้ำ กระโดดลงจากรถ ทั้งหมดล้วนเป็นฉากเสี่ยงอันตราย แล้วแค่นี้ทำไมจะแสดงไม่ได้

 

เมื่อกู้เซียงออกจากห้องแต่งตัว คนอื่นๆ ในกองถ่ายก็รออยู่แล้ว ที่หลายคนประหลาดใจก็คือวันนี้มีนักข่าวมาเยี่ยมถึงสามสำนัก ซึ่งสองในสามที่มาเป็นสำนักข่าวใหญ่

 

ทีมงานเริ่มวางตัวไม่ถูก แต่เวินหลินยู่กลับไม่นึกเอะใจ เพราะแต่ละวันจะมีนักข่าวจากสำนักต่างๆ มาเยี่ยมกองถ่ายและขอสัมภาษณ์เพื่อสร้างกระแสให้ละครอยู่แล้ว

 

เพียงแต่วันนี้ พวกเขาดูเหมือนตั้งใจมาทำข่าวของกู้เซียงเป็นพิเศษ เจี่ยงลี่ลี่กับเว่ยคุนรู้สึกเป็นกังวล ด้วยกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดที่อาจทำให้เธอเสียหาย

 

ถางรุ่ยยืนเอาน้ำแข็งลูบหน้าอยู่ข้างๆ จ่านหยาง

 

“วันนี้คู่จิ้นของนายไม่มีนักแสดงแทน อยากให้กำลังใจเธอหน่อยไหม?”

 

“ไม่ต้องหรอก” จ่านหยางเหลือบมองเฉียวอิ้งฉิง “เพราะมีคนกำลังจะซวย”

 

“หมายความว่ายังไง?” ถางรุ่ยไม่เข้าใจ

 

 

เฉียวอิ้งฉิงรู้สึกสะใจที่นักข่าวมาเยอะเกินคาด ถ้ากู้เซียงไม่ล้มคราวนี้ก็ให้มันรู้ไป

 

เธอดีใจที่กำลังจะได้แก้แค้น—แสดงดี มีพรสวรรค์ เข้าถึงจิตวิญญาณนักไม่ใช่เหรอ? ดูซิว่าจะหมดสภาพแค่ไหน!

 

เมื่อทุกคนเข้าประจำที่ เวินหลินยู่ก็สั่ง “แอคชั่น”

 

ในห้องขังที่มืดมิด เหม็นเน่า และอับชื้น เฉินเมี่ยวนั่งอยู่ตามลำพัง บนพื้นมีฟางและเศษหญ้าปูไว้หยาบๆ

 

ผมเผ้าของนางรุงรัง เสื้อผ้าสกปรก แม้ซอกเล็บก็ยังดำเขรอะ นั่งตัวงอคล้ายหญิงชราตลอดเวลา

 

เฉียวอิ้งฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางเหล่านี้ไม่ได้ถูกระบุไว้ในบท แต่กู้เซียงกลับแสดงได้ครบถ้วนและเป็นธรรมชาติ คล้ายว่าอัปลักษณ์อย่างนี้ตั้งแต่แรก

 

ไม่นานผู้คุมก็เดินเข้ามาด้านใน ยกถังน้ำขนาดใหญ่ทุ่มใส่ร่างของนาง

 

ทุกคนในกองสะท้านไปตามๆ กัน แม้จะเป็นเพียงอุปกรณ์การแสดง แต่การถูกวัตถุขนาดใหญ่กระแทกใส่ร่าง คงจะเจ็บอยู่เหมือนกัน

 

เฉินเมี่ยวอ้าปากหายใจ ปัดผมที่รุงรังบนหน้าผากออก แล้วถลึงตาใส่ผู้คุมด้วยความแค้น

 

ต่อให้ห้องจะมืดมิดและสกปรกเพียงใด ก็ไม่อาจบดบังความเปล่งประกายของนางได้ โดยเฉพาะนัยน์ตาที่คล้ายดวงดาวยามค่ำคืน

 

ถางรุ่ยเผลอกัดน้ำแข็งในปากดัง ‘กร๊อบ’ นักข่าวทั้งสามสำนักรีบจับภาพหญิงสกปรกในฉาก

 

เพชรแท้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ยังคงส่องประกาย เฉกเช่นเลือดแห่งศักดินา ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในกายแม้ต้องตกระกำลำบาก

 

“บังอาจ!” เฉินเมี่ยวตวาดกลับอย่างเกรี้ยวกราด

 

เฉียวอิ้งฉิงช่างบังอาจเหลือเกินที่ใช้วิธีนี้กับเธอ น่าขำสิ้นดี!

 

ชาติที่แล้ว กู้เซียงเคยเล่นเป็นศพไร้หัว เป็นเมียน้อยขี้โมโห เป็นคนแก่ คนใจดี คนชั่ว คนสวย คนอัปลักษณ์ เป็นมาแล้วทั้งหมด กะอีแค่เป็นนักโทษประหาร จะไปยากอะไร

 

 

“ยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพเฉินอยู่อีกรึ?” ผู้คุมเยาะเย้ย

 

“อย่าโทษกันเลย ข้ารับเงินมาก็ต้องทำตามหน้าที่ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าก่อกรรมกับคนอื่นไปทั่ว พอล้มก็ถูกเหยียบซ้ำแค่นั้นเอง” เขาโบกมือให้สัญญาณ

 

ชายร่างกำยำหลายคนเดินเข้ามาด้านใน หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงขั้นนี้แล้ว ก้มหน้าก้มตารับกรรมไปเสียเถอะ!”

 

สิ้นประโยคนี้ เฉินเมี่ยวก็ถูกจิกหัว สาดน้ำสกปรก และฟาดด้วยไม้กระบองจนน่วมไปทั้งตัว เป็นภาพที่น่าอเนจอนาถเหลือเกิน

 

ไม่รู้ว่ามีการนัดแนะหรือไม่ แต่นักแสดงกลุ่มนั้นก็มือหนักอยู่เหมือนกัน

 

อากาศที่ร้อนกว่าสามสิบองศา ทำให้การถูกซ้อมยากจะรับไหว เฉียวอิ้งฉิงจดจ่อที่จะได้เห็นกู้เซียงแสดงสีหน้าเจ็บปวด แค่เสี้ยววินาทีเธอก็พอใจแล้ว นักข่าวที่มาจะได้ปั่นกระแสจนอีกฝ่ายไม่มีวันผุดวันเกิด

 

เฉินเมี่ยวแสดงสีหน้าเจ็บปวด แต่ไม่ได้เป็นความเจ็บปวดทางกายจากการถูกรุมซ้อม ทว่าเจ็บใจที่ถูกดูหมิ่น ด้วยนางเป็นถึงคุณหนูตระกูลเฉิน บุตรสาวของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ที่กลายมาเป็นนักโทษประหาร

 

นางกัดฟันแน่น ยอมให้ผู้คุมทุบตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ท่ามกลางความเจ็บปวด ทุกคนในที่นั้นไม่อาจละสายตาไปจากเงาแค้นที่สะท้อนออกจากนัยน์ตาของเฉินเมี่ยวได้

 

นางโกรธที่สุดในชีวิต ไม่เคยถูกทรยศถึงเพียงนี้ ตั้งแต่เรื่องที่ถูกหมิงอ๋องผลักลงเหวลึก และการที่ตระกูลเฉินถูกสังหารทั้งหมด

 

แม้จะเอาแต่ใจ โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี แต่นางก็เป็นคุณหนูจากจวนแม่ทัพที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดี เลือดในกายคือหญิงสูงศักดิ์ เมื่อถูกผู้คุมฟาดแส้บนร่างซ้ำๆ ก็ไม่ต่างจากการฟาดศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของนาง

 

ไม่มีเสือตัวไหนที่ถูกนายพรานล่าแล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ แม้ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่ในใจก็ยังคงยึดมั่นในความยุติธรรม

 

เฉินเมี่ยวคือนางพญาเสือที่ถูกจับมัด นัยน์ตาเปล่งประกาย ไร้แววสิ้นหวังและศิโรราบ มีเพียงความโกรธและความอยากล้างแค้น หากมีโอกาสแก้แค้นจริงๆ นางคงทวงคืนเป็นร้อยเป็นพันเท่า

 

“คัท!” เวินหลินยู่ตะโกน

 

ฉากนี้ใช้เวลาถ่ายทำนานมาก แล้วก็จบลงด้วยความประทับใจ

 

“เธอไม่เหมือนดาราหน้าใหม่เลย” เว่ยคุนเอ่ยปากชม

 

เจี่ยงลี่ลี่พยักหน้าเห็นด้วย “เอาจริงๆ นะ เธอแสดงเก่งกว่าฉันอีก”

 

เดิมบทของตัวแสดงแทนจะไม่มีกล้องจับหลายมุมขนาดนี้ แค่แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เฉินเมี่ยวต้องได้รับและภาพความสะบักสะบอมเท่านั้น แต่กู้เซียงเปลี่ยนประเด็นสำคัญของฉากนี้ จากความสะบักสะบอมเป็นความน่าอนาถ ความน่าขันเปลี่ยนเป็นความน่าใจหาย

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถ่ายทอดบทของตัวแสดงแทน ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงเบื้องลึกของตัวละคร ซึ่งสะกดสายตาคนดูได้เป็นอย่างดี

 

นักข่าวหวังมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขารู้ดีว่าวันนี้มาทำอะไร ทว่ากู้เซียงแสดงได้ดีจนไม่สามารถหาจุดบกพร่องเพื่อเอาไปเขียนข่าวในแง่ลบได้ แถมยังมีนักข่าวอีกสองสำนักอยู่อีก การจะปั้นข่าวขึ้นเองคงเป็นไปได้ยาก

 

แต่หากจะไปสัมภาษณ์กู้เซียงแล้วเขียนคำพูดให้สวยหรูเหมือนอย่างอีกสองสำนัก เฉียวอิ้งฉิงได้ฉีกอกเขาแน่นอน เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ

 

เฉียวอิ้งฉิงหน้าดำคร่ำเครียดไม่ต่างจากก้นหม้อ แม้จะอยู่ในกองถ่ายก็ไม่อาจรักษาสีหน้าให้เป็นปกติได้ พอเห็นกู้เซียงเดินออกจากฉาก ก็ทำบึ้งตึงแล้วปึงปังไปห้องแต่งตัวโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท