“เธอจะทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์” เถียนลี่ย้ำในฐานะผู้กำกับ ยิ่งได้เห็นนักแสดงที่เข้าใจตัวละครโดยสมบูรณ์ เขาย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
เถียนลี่มีลางสังหรณ์ว่ากู้เซียงจะได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งตัวเธอและหนังจะพากันโด่งดังเป็นพลุแตก
“ยังไงฉันก็ไม่เห็นด้วย” สูเฟิงแย้ง “บุคลิกของเธอใสซื่อเกินไป ไม่เหมาะกับบทนางเอก”
“พูดบ้าอะไรเนี่ย!” เถียนลี่สบถ
“เถียนลี่!” สูเฟิงเรียกสติอีกฝ่าย
“ถ้าอยากได้ดาราดังๆ มาเล่น จะจัดทดสอบหน้ากล้องให้เสียเวลาไปทำไม?” เถียนลี่ไม่สนใจว่าสูเฟิงจะหน้าบึ้งแค่ไหน “ปลอมชะมัด!”
“มากเกินไปแล้วนะ!” สูเฟิงกำหมัดแน่น “ลืมแล้วเหรอว่าฉันเป็นผู้กำกับ!”
“ไม่ลืม!” เถียนลี่มองอีกฝ่ายด้วยแววตาโกรธเคือง “อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ แล้วนายจะเสียใจ!”
พูดจบเถียนลี่ก็หยิบประวัติของกู้เซียงแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งให้สูเฟิงนั่งทำตาเขียวอยู่ตามลำพัง
พอกลับถึงบ้าน กู้เซียงก็อุ่นนมแก้วหนึ่งและเดินไปต้มบะหมี่ แต่จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เซียงเซียง” เหวินจิ้งทำเสียงกระอักกระอ่วน
“มีอะไรเหรอ?”
“ผลทดสอบหน้ากล้องออกแล้ว”
“เร็วจัง” กู้เซียงถามต่อ “เป็นไงบ้าง?”
“พวกเขาได้นางเอกแล้ว ไม่ต้องเสียใจนะ ครั้งหน้าต้องได้บทที่ดีกว่านี้แน่นอน” เหวินจิ้งพูดปลอบ
กู้เซียงคลายมือที่ถือทัพพีจนมันหล่นลงพื้น “ใครได้บทนี้ไป?”
“ดาราหน้าใหม่ชื่อหวังตาน บุคลิกของหล่อนน่าจะเหมาะกับบทนี้กว่าใคร”
กู้เซียงหูอื้อเกินกว่าจะฟังประโยคที่เหลือของเหวินจิ้ง สมองย้อนนึกถึงความทรงจำที่ค่อนข้างเลือนราง
หวังตานคือคนที่แสดงเป็นฟางฟางในชาติที่แล้ว ฝีมือการแสดงของเธอธรรมดามาก หากผู้กำกับฉลาดพอจะไม่เลือกนักแสดงคนนี้ ที่น่าแปลกก็คือทุกคนดูจะพอใจกับการแสดงของตนแต่กลับไม่ถูกเลือก
ในใจของกู้เซียงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น บุคลิกนางเอก ความงาม และทักษะการแสดง เหล่านี้สามารถทำให้เธอผงาดในวงการบันเทิงได้ แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในอดีตได้ หรือชีวิตของเธอจะต้องดำเนินไปแบบนี้ ต่อให้เพียรพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้
คืนนั้น เถียนลี่ไปนั่งดื่มเหล้าที่ร้านปิ้งย่างริมถนน
เถ้าแก่นั่งหาวรอเตรียมจะปิดร้าน แต่ลูกค้าสองคนนี้ไม่กลับบ้านเสียที
“ดื่มมากไป ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” ผู้ช่วยของเถียนลี่เตือน
“เด็กใหม่คนนั้นฝีมือดีมาก แต่สูเฟิงก็ยังไม่เห็น ตาต่ำจริงๆ!”
แว่นของเถียนลี่หล่นหาย ตัวของเขามีแต่กลิ่นเหล้าจนผู้ช่วยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ช่างเถอะครับ รอจนถ่ายหนังเรื่องนี้เสร็จค่อยไปทำของเราเอง ผู้กำกับตาต่ำแบบนั้น อยู่ไปก็ไม่มีอนาคต”
“ใช่ อยู่ไปก็เสียเวลาเปล่า” เถียนลี่เห็นด้วย
นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งแล้ว แต่ลูกค้าวัยกลางคนที่กำลังเมามายน่าจะไม่กลับง่ายๆ เถ้าแก่จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา ทว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด กลับเดินไปถึงโต๊ะของพวกเขาก่อน “ผู้กำกับเถียนหรือเปล่าครับ ผมไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
ผู้ช่วยผู้กำกับหันมองตามเสียง แล้วก็มีอันอ้าปากค้าง “คุณถาง?”
ถางรุ่ยเลิกคิ้ว นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างด้วยท่าทางสนิทสนม
ที่จริงเขาตั้งใจจะมาซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แต่บังเอิญเห็นเถียนลี่ จึงเข้าไปทักทาย
“ทำไมผู้กำกับเถียนถึงเมาขนาดนี้ล่ะครับ?” ถางรุ่ยถามผู้ช่วย “อารมณ์ไม่ดีหรือว่าอกหัก?”
“ไม่มีอนาคต!” เถียนลี่ตะโกนออกมา
ถางรุ่ย “…..”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผู้ช่วยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเล่าความจริงทั้งหมด “ผู้กำกับเถียนเพิ่งทะเลาะกับผู้กำกับสูเรื่องดาราหน้าใหม่ คุยกันไม่ลงตัว ก็เลยออกมาดื่มระบายอารมณ์น่ะครับ”
ตั้งแต่เริ่มทำภาพยนตร์เรื่องนี้ สูเฟิงกับเถียนลี่ก็มักจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันตลอด
เถียนลี่คือผู้กำกับที่อยากจะรังสรรค์งานให้ออกมาดีที่สุด แต่สูเฟิงกลับเป็นผู้กำกับที่คิดถึงแต่ความคุ้มค่าทางธุรกิจ เมื่อฝักใฝ่กันคนละทางแต่กลับต้องมาร่วมงานกัน ย่อมมีจุดที่ไม่อาจยอมกันได้ แต่จะทะเลาะกันแค่เรื่องดาราหน้าใหม่ ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
ถางรุ่ยถอนหายใจเบาๆ “ผู้กำกับของคุณเป็นคนตรงเกินไป แค่ดาราหน้าใหม่ ไม่เห็นจะต้องผิดใจกันเลย ทะเลาะกับผู้กำกับสูยังไงก็ไม่ชนะอยู่ดี”
“ผู้กำกับเถียนแค่เสียดายเด็กใหม่คนนั้น” ผู้ช่วยตอบ “แต่กู้เซียงก็แสดงดีมากจริงๆ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเด็กใหม่ ผมยังคิดว่าเป็นดาราดังด้วยซ้ำ ผู้กำกับเถียนนิสัยยังไงคุณก็รู้ ผมเองยังนึกเสียดายเลย…”
“กู้เซียง?” ถางรุ่ยขัดจังหวะ “เด็กในสังกัดของหัวเซินใช่ไหม?”
ผู้ช่วยพยักหน้า “คุณถางรู้จักด้วยเหรอครับ?”
ถางรุ่ยหัวเราะในลำคอ “ผู้กำกับเถียนทะเลาะกับผู้กำกับสูด้วยเรื่องนี้เหรอครับ?”
“ใช่ครับ”
“แล้วใครได้รับเลือกครับ?”
“เด็กใหม่ที่ชื่อหวังตาน ได้ยินผู้กำกับสูบอกว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น”
ผู้ช่วยแอบสังเกตสีหน้าของถางรุ่ย ก่อนจะถามต่อ “คุณถางรู้จักกู้เซียงด้วยเหรอครับ?”
ปกติถางรุ่ยจะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย แต่หากกู้เซียงสนิทสนมกับเขาจริงๆ ก็มีโอกาสจะได้รับบทของฟางฟางมากขึ้นเช่นกัน
สูเฟิงคือผู้กำกับเก่าแก่คนหนึ่ง ส่วนถางรุ่ยก็เป็นโปรดิวเซอร์มือทอง หากต้องเจรจากันจริงๆ คงไม่มีใครยอมใคร แต่ที่ผู้ช่วยสงสัยก็คือ ทำไมดาราหน้าใหม่ถึงสนิทสนมกับถางรุ่ยได้ หรือพวกเขาจะเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน?
“คุณบอกว่าเด็กใหม่คนนั้นแสดงได้ดีมาก?” ถางรุ่ยถามต่อ
“ครับ ทีมงานทุกคนอินกับการแสดงของเธอจนพูดไม่ออก ทุกอย่างลงตัวแบบที่ไม่ต้องพยายามมาก”
“เธอไปแคสต์บทอะไรครับ?”
“บทของนางเอกตอนเป็นหญิงขายบริการครับ ตัวละครนี้มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง แต่กู้เซียงกลับเล่นได้สมจริงมาก”
“โอเค” ถางรุ่ยดีดนิ้วแล้วผุดลุกขึ้น “ขอบคุณที่บอกนะครับ ผมมีธุระต้องขอตัวก่อน”
ผู้ช่วยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจากไปดื้อๆ จึงลุกขึ้นเรียก “คุณถาง”
“ครับ” ถางรุ่ยหันกลับไปถาม
“เรื่องคุณกู้… คุณจะช่วยหาบทให้เธอหรือเปล่า?”
“ไม่ช่วยอยู่แล้ว” ถางรุ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
ในบ้านพักแสนหรูหราหลังหนึ่ง
หญิงสาวลืมตาตื่นแล้วสะกิดผู้ชายที่นอนข้างๆ ด้วยความรำคาญ “เหล่าเวิน รับโทรศัพท์เสียทีสิ!”
พอถูกปลุก เขาก็ค่อยๆ พลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียง “ใครกัน โทรมาดึกขนาดนี้!”
“เหล่าเวิน ผมถางรุ่ยนะ”
“คุณถาง? ดึกขนาดนี้มีธุระอะไรครับ?”
ปลายสายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนของคุณกำลังจะเปิดกล้องใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” เขาตอบด้วยความสุภาพ “คุณถางมีอะไรหรือเปล่า?”
“ช่วยดันคนคนหนึ่งให้ผมหน่อยได้ไหม?”
“อย่าล้อผมเล่นสิ” เวินหลินยู่กระตุกผ้าห่มออก “นักแสดงนำถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ให้เปลี่ยนง่ายๆ คงไม่ได้หรอกครับ”
“ไม่ฟังหน่อยเหรอว่าผมจะให้ใครเล่น”
“ใครก็ไม่…”
“จ่านหยาง” ถางรุ่ยพูดแทรก
ปลายสายเงียบไปพักใหญ่
“เหล่าเวิน ยังอยู่หรือเปล่า?”
เวินหลินยู่ผุดลุกนั่งบนเตียง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง มือกระชับชุดนอนให้เข้าที่แล้วเปิดไฟหัวเตียง
“ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม?”
“ผมเอาจ่านหยางมาเล่นให้ได้ แต่คุณต้องเพิ่มนักแสดงอีกคน”
“ใครเหรอครับ?” เวินหลินยู่ขมวดคิ้วสงสัย
“ดาราหน้าใหม่น่ะ เห็นว่าบทของพระชายายังไม่มีคนเล่น บอกเลยว่าคนนี้เหมาะกว่าคนที่คุณเล็งไว้อีก เห็นว่าสนิทเลยแนะนำให้นะเนี่ย”
“เด็กใหม่?” เวินหลินยู่ทำเสียงตกใจ “บทพระชายาไม่ง่ายนะครับ จะเล่นได้ต้องมีฝีมือระดับหนึ่งเพราะองค์ประกอบเยอะมาก ซับซ้อนขนาดนี้เด็กใหม่ไม่น่าจะไหว”
“แล้วคุณมีนักแสดงหรือยังล่ะ?”
“ยังไม่มีครับ”
“นั่นไง ผมอุตส่าห์ช่วยหานักแสดงให้ตั้งสองคน ปกติจ่านหยางไม่รับเล่นละครพีเรียดนะครับ คิดดูถ้ามีเขาคุณจะประหยัดค่าโฆษณาได้มากแค่ไหน เรื่องแค่นี้คงไม่ต้องสอนหรอกมั้ง”
เวินหลินยู่ลูบหัวไปมา “ให้จ่านหยางเล่นเป็นตัวไหนดีครับ?”
“คุณน่าจะรู้นิสัยของเขา บทยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ลองหาเอาเองแล้วกัน”
“ไม่ดีมั้งครับ!” เวินหลินยู่ร้องเสียงหลง “ไหนๆ จ่านหยางก็มาแล้ว ผมขอเพิ่มค่าตัวแล้วให้เขาเล่นเต็มที่เลยดีกว่า”
“แล้วแต่คุณเถอะ” ถางรุ่ยตอบ “แค่เพิ่มบทให้เขาได้เล่นกับพระชายาก็พอ”
เวินหลินยู่ถามด้วยน้ำเสียงงุนงง “เธอเป็นใครเหรอครับ ทำไมต้องดูแลดีขนาดนี้?”
ถางรุ่ยชอบคบกับคนในวงการ แต่ถึงจะเป็นเพลย์บอย เขาก็แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานได้
“คุณถางเจอรักแท้แล้วเหรอ?” เวินหลินยู่ถาม เพราะปกติถางรุ่ยจะไม่ใช้ชื่อเสียงในการขอบทให้ใคร
“เงียบไปเลย!” ถางรุ่ยทำเสียงดุ “รักแท้ของผมไม่วุ่นวายขนาดนี้หรอก คุณไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ อย่าลืมแจ้งบริษัทหัวเซินด้วยล่ะ พรุ่งนี้ผมจะส่งประวัติไปให้ เดือนหน้าถ่ายทำได้เลย ไม่ต้องทดสอบหน้ากล้องแล้ว”
หลังวางสาย ถางรุ่ยก็ส่งข้อความไปหาจ่านหยาง
“ช่วยเล่นบทตัวประกอบให้หน่อย ต้องมานะ มีเซอร์ไพรส์รออยู่!”
ละครเรื่องนี้มีเหลียงจี้และเฉียวอิ้งฉิงเป็นนักแสดงนำ
ชาติที่แล้ว หลังหย่ากับเหลียงจี้เธอก็เป็นโรคซึมเศร้า ต้องใช้ยานอนหลับตลอด พอได้กลับมาเกิดอีกครั้งก็ยังคงนอนไม่หลับเหมือนเดิม จึงต้องใส่ยานอนหลับในนมอุ่นๆ ทุกคืน
ถึงอย่างนั้นก็ยังฝันร้าย เห็นเหลียงจี้และเฉียวอิ้งฉิงมายืนตรงหน้า ไหนจะข่าวฉาวและภาพลับของเธอกับผู้กำกับที่ถูกเผยแพร่ ลายเซ็นของเหลียงจี้บนใบหย่า แหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้ายของเฉียวอิ้งฉิง ล้วนเป็นบ่วงขนาดใหญ่ที่รัดคอจนเธอหายใจไม่ออก