ทั้งกองถ่ายกำลังจ้องพวกเขาแบบไม่วางตา ราวกับกลัวว่าเธอจะหัวใจวายหลังถูกจ่านหยางจูบ
ฉากนี้เหวินเส้าเหย่พาอาจวนมาพบพ่อกับแม่ในวันเกิด เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งคู่จึงจูบกันด้วยอารมณ์รัก
จ่านหยางในชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีตและพอดีตัว เผยให้เห็นสัดส่วนที่สง่าผ่าเผย ก้มมองกู้เซียงด้วยแววตาอ่อนโยน
“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ฉากจูบก็เหมือนฉากทั่วๆ ไป ถ้าไม่พร้อมจะพักก่อนก็ได้ หรืออยากเปลี่ยนฉากก็บอกได้เลย” เขาพูดกับเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณดูตื่นเต้นมาก พักดื่มน้ำก่อนดีไหม?”
กู้เซียงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หูคุณแดงน่ะ”
ด้วยความที่เป็นคนผิวขาว เวลาเขินหูของจ่านหยางจะแดงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณดูตื่นเต้นมาก พักดื่มน้ำก่อนดีไหมคะ?” กู้เซียงยิ้ม
ถางรุ่ยรู้จักกับจ่านหยางมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายพลาดไม่เป็นท่า
จ่านหยางเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ไม่มีเรื่องไหนบนโลกจะสามารถทำลายความหนักแน่นในใจของเขาได้ ดุจแม่ทัพที่ไร้ศัตรู ไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบสักครั้ง
กู้เซียงที่เป็นดาราหน้าใหม่ควรจะอายมากกว่า แต่กลับแสดงได้เป็นธรรมชาติ เข้าสู่บทบาทอย่างรวดเร็ว ไร้ข้อบกพร่องใดๆ
“เคลาส์ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไม จูบเสียทีสิ!”
“จัดการอารมณ์ตัวเองหน่อย อย่าเล่นแข็งขนาดนี้!”
“ให้ตายเถอะ ท่าอะไรของนายน่ะ?”
ตั้งแต่คำวิจารณ์ยันท่าทาง ทำให้เห็นว่าถางรุ่ยปวดหัวกับสถานการณ์ตรงหน้าเพียงใด
จ่านหยางยังคงตั้งใจทำงานและทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายทุกอย่าง แต่ไม่ว่าจะปรับยังไงก็ไม่เป็นผล เขายังคงทำพลาดซ้ำๆ ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย มีเพียงหูทั้งสองข้างที่แดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด
กู้เซียงไม่รู้ว่าจะปลอบจ่านหยางยังไง จึงได้แต่มองใบหน้าคมเข้ม คางสวยได้รูป และขนตายาวเรียงสวยที่เพิ่มความน่าหลงใหลของเขา
เธอชอบสังเกตท่าทางของเพื่อนนักแสดงเพื่อจะได้ปรับอารมณ์ให้เข้ากัน แต่ท่าทางคล้ายเด็กสาวใสซื่อเหนียมอายที่กำลังจะถูกขืนใจของจ่านหยาง ทำกู้เซียงถึงกับไปไม่เป็น
ถางรุ่ยตบกล้องอย่างหมดความอดทน “เคลาส์มาหาฉันหน่อย!”
กู้เซียงยักไหล่แล้วลุกขึ้นส่งน้ำให้จ่านหยาง “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก แค่ฉากจูบเอง”
พออีกฝ่ายเดินจากไป เจี่ยงลี่ลี่กับเหวินจิ้งก็วิ่งมาหาเธอแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ทำฉันตื่นเต้นเก้อเลย!” เหวินจิ้งตบหน้าอกตัวเอง
“นั่นน่ะสิ เกือบจูบกันแล้ว!” เจี่ยงลี่ลี่ตบหน้าอกตัวเองเช่นกัน
กลายเป็นเฉิงหลินที่เดินผ่านมาพอดี พูดเข้าหูที่สุด “ทำได้ดีนี่”
“ฉันไม่เคยเห็นจ่านหยางทำพลาดขนาดนี้มาก่อน หรือเขาจะชอบเธอจริงๆ!” เจี่ยงลี่ลี่วิเคราะห์
ในห้องรับรองนักแสดง ถางรุ่ยมองเพื่อนรักด้วยสีหน้าผิดหวัง
“นายทำฉันขายหน้ามากนะ จงใจแกล้งหรือเปล่า?”
“เปล่านะ” จ่านหยางดูดบุหรี่ในมือ
“ก็แค่จูบแรกเอง ทำไมต้องตื่นเต้นเหมือนได้นอนกับผู้หญิงคืนแรกด้วย? กู้เซียงเป็นแค่เด็กใหม่ ยังไม่ตื่นเต้นเท่านายเลย” พูดจบก็ดึงบุหรี่ออกจากมือของจ่านหยาง “เลิกสูบได้แล้ว เดี๋ยวต้องถ่ายฉากจูบต่ออีก!”
“เลื่อนไปก่อนเถอะ” จ่านหยางแย่งบุหรี่กลับมาคีบไว้ในปาก “ให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน”
ถางรุ่ยส่ายหน้า “แค่นี้ก็เป็นปมในใจแล้วเหรอ ครั้งแรกก็แบบนี้กันทุกคนแหละ”
“นายคิดว่าฉันหล่อไหม?”
ถางรุ่ย “หือ?”
“เอาเถอะๆ” จ่านหยางกดก้นบุหรี่ในมือทิ้งแล้วเดินจากไป
ถางรุ่ยเข้าใจที่อีกฝ่ายถาม เพราะกู้เซียงแสดงได้เป็นธรรมชาติมาก จนจ่านหยางสงสัยในรูปลักษณ์ของตัวเอง
คิดได้เช่นนี้ ถางรุ่ยก็วิ่งไปกอดคอเพื่อนรัก “หล่อ หล่อมาก หล่อลากดินไปเลย!”
ถึงอย่างนั้น ฉากจูบของจ่านหยางก็ถูกเลื่อนออกไปไว้ตอนท้ายสุด
ในที่สุดก็ถึงงานประกาศรางวัลศิลปินแห่งปี
เหวินจิ้งเรียกกู้เซียงแต่งตัวและท่องสุนทรพจน์ที่จะกล่าวในงานตั้งแต่เช้า
การที่ดาราหน้าใหม่ได้ขึ้นเวทีไปรับรางวัล แค่ไม่เข่าอ่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่เธอยังต้องกล่าวสุนทรพจน์ปากเปล่าอีก
กู้เซียงยังไม่ได้รางวัล แต่กลับต้องนั่งท่องสุนทรพจน์ตอนรับรางวัล ทั้งหมดคือความมั่นใจของเหวินจิ้งล้วนๆ
ก่อนหน้านี้ บริษัทมีแผนจะสนับสนุนกู้เซียงเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่ร่วมมือกับหลี่ซั่วเพื่อแบนเธอ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมชุดที่ส่งมาให้ใส่ถึงไม่เข้าท่า
เสื้อผ้าแบรนด์อันทรูซาราสีแดง เผยทรวดทรงองค์เอว ปล่อยชายเป็นริ้วระบายอย่างธรรมชาติ โดยรวมถือเป็นชุดราตรีที่สวยมาก แต่ไม่เหมาะกับดาราหน้าใหม่เพราะจงใจแย่งซีนจนเกินไป
ไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่ขายหน้า แบบนี้จะเหมาะสมกว่า ดาราหน้าใหม่ควรเลือกแต่งกายให้ดูเด็ก เพื่อแสดงถึงความสดใหม่ในวงการ ซึ่งโอกาสผิดพลาดก็จะน้อยตามไปด้วย
หากดีไซเนอร์จะบอกว่าเป็นชุดที่ช่วยให้ดูสง่า ก็ควรรอให้กู้เซียงอายุมากกว่านี้ก่อน เพราะดูยังไงก็ขัดกับบุคลิกของเธอ
นักข่าวในงานประกาศรางวัลสายตาเฉียบคมทุกคน ภาพของดาราสาวในชุดราตรีที่อวดโฉมกันไปมาจะถูกพาดหัวข่าวในวันถัดไป หากกู้เซียงยอมสวมชุดนี้ คงได้มีประเด็นให้เมาท์มอยว่าดาราหน้าใหม่ตั้งใจขโมยซีนด้วยการแต่งตัวเวอร์วังอลังการอย่างแน่นอน
เหวินจิ้งพยายามต่อรองกับบริษัท แต่ก็ไม่เป็นผล
“เอาเถอะ ชุดนี้ก็ชุดนี้” กู้เซียงปลอบเหวินจิ้งที่โกรธหน้าดำหน้าแดง
ไม่มีบริษัทต้นสังกัดที่ไหนคิดหาทางลดบทบาทศิลปินของตัวเอง แต่เพราะเธอไม่ได้สำคัญเท่ากับหลี่ซั่ว เช่นนี้คงถึงเวลาที่ต้องยกเลิกสัญญากับหัวเซินแล้ว
“บริษัทเคยบอกว่าชุดนี้ไม่ใช่สไตล์เธอ ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ แถมยังไม่บอกล่วงหน้าอีก!”
“หัวเซินเป็นบริษัทเล็กๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย” กู้เซียงตอบด้วยรอยยิ้ม
“แต่ไม่ใช่จะทำอะไรกับเราก็ได้ แบบนี้คงต้องเปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้าใหม่แล้ว” พูดจบเหวินจิ้งก็โทรหาบริษัทต้นสังกัด
ขณะกู้เซียงกำลังจะพูดบางอย่าง ปู๋หยู่ก็เดินมาแต่ไกล
แม้จะเซ็นสัญญาเป็นศิลปินช่วงเดียวกัน แต่ปู๋หยู่ยังคงเป็นแค่พรีเซนเตอร์โฆษณาเล็กๆ ต่างจากกู้เซียงที่โด่งดังจากบทพระชายาในละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนและบทนางเอกในภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ที่เล่นคู่กับจ่านหยาง ซูเปอร์สตาร์อันดับต้นๆ ของประเทศ จากเดิมที่สวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งมีออร่าเปล่งปลั่งแบบนางเอกเข้าไปอีก
“หยุดก่อน!” ปู๋หยู่ที่เหมือนจะเดินผ่านในตอนแรกหันมาเรียกกู้เซียง “คิดว่าวิเศษวิโสนักหรือไง ระวังให้ดีเถอะ จะตายไม่รู้ตัว!” พูดจบก็กระทืบเท้าเดินจากไป
“อีพวกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!” เหวินจิ้งตะโกนด่าไล่หลัง
กู้เซียงพอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ความริษยาเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ โดยเฉพาะคนที่มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกันแต่กลับมีจุดจบต่างกัน ปู๋หยู่คิดว่าตัวเองฉลาดและเพียบพร้อม จะให้ทำใจยอมรับคงเป็นไปได้ยาก
พอไปถึงห้องแต่งตัว เหวินจิ้งก็ถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวช่างแต่งหน้า
“ไม่ต้องหรอก” กู้เซียงตอบพลางหยิบชุดราตรีสีแดงออกจากกระเป๋า “ช่วยหาเข็มกับด้ายให้ที”
เหวินจิ้งหัวเราะ “ล้อเล่นหรือเปล่า คงไม่คิดจะเย็บชุดเองหรอกนะ?”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” กู้เซียงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
เหวินจิ้งคร้านจะโต้เถียง ไม่นานเธอก็หาเข็ม ด้าย และกรรไกรมาให้
แบรนด์อันทรูซาราผลิตเสื้อผ้าที่คล้ายคลึงกับชุดนี้ เพียงแต่เปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย ซึ่งส่งผลให้บุคลิกของผู้ใส่เปลี่ยนตามเช่นกัน
แฟชั่นจะหมุนเวียนกันไปมา ครบสิบปีก็กลับมานิยมแบบเดิม กู้เซียงเคยเดินพรมแดงมาแล้วหลายครั้ง เคยเห็นการแต่งกายของดาราหญิงที่หลากหลาย รู้ว่าควรแต่งตัวยังไงถึงจะเป็นที่จับตามอง หากเฉียวอิ้งฉิงต้องการใช้วิธีนี้เพื่อทำให้เธออับอาย ถือว่าตัดสินใจผิดพลาดมาก
เรื่องแต่งหน้ายิ่งไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนที่เคยอยู่ในวงการภาพยนตร์ เลือกช่างแต่งหน้าได้ไม่ยาก
ในเมื่ออยากจะอวดโฉมกันนัก ก็เอาให้สุดไปเลย!
ค่ำคืนของงานเลี้ยงประกาศรางวัล มีนักแสดงและศิลปินมาเข้าร่วมไม่น้อย
การมอบรางวัลให้กับศิลปินคือการการันตีตำแหน่งในวงการบันเทิง รวมถึงค่าตัวที่จะเพิ่มขึ้นด้วย งานนี้จึงสำคัญกับดาราหน้าใหม่อย่างมาก
เฉียวอิ้งฉิงสวมเดรสสีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีต รวบผมเป็นมวยหลวมๆ ปล่อยจอนลงข้างหูเพื่อให้ดูอ่อนโยน ที่ผ่านมาเธอชอบแต่งตัวเรียบหรู แต่วันนี้กลับจงใจปรับบุคลิกให้ดูอ่อนหวาน
ขณะที่กล้องจากสำนักข่าวต่างๆ เล็งมาที่เธอ จู่ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางตามผู้คนที่ส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
เฉียวอิ้งฉิงมองตามกล้องแล้วก็หน้าเจื่อนทันที
กู้เซียงสวมเดรสสีแดงที่ช่วยขับผิวขาวให้ผุดผ่อง เผยต้นขาเรียวสวยด้วยการแหวกชายกระโปรงให้สูงขึ้นไปอีก ผมดำขลับลอนใหญ่ปล่อยสยายเป็นเกลียวคลื่น แต่งหน้าบางๆ และทาปากสีแดงสดอย่างสาวมั่น
นอกเวลาทำงาน เธอมักปรากฏตัวด้วยชุดธรรมดา ยามให้สัมภาษณ์นักข่าวก็มีท่าทีอ่อนโยน ไม่ทำตัวเยอะจนน่าอึดอัด
การแต่งกายของกู้เซียงในวันนี้สั่นคลอนภาพลักษณ์เดิมของเธอมาก หากไม่สง่างามมากพอ คงไม่เหมาะที่จะสวมชุดนี้
เธอฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย กวาดตามองกล้องทุกตัวอย่างมั่นใจ ทุกอิริยาบถคล้ายดาราดังที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะยกมือ วางเท้า หรือจัดท่าถ่ายรูปล้วนเป็นมืออาชีพทั้งสิ้น
เมื่อขาวกับแดงมาเจอกัน เฉียวอิ้งฉิงก็ดูจืดไปถนัดตา
ชุดไม่เข้า บุคลิกไม่ได้ เด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ เหล่านี้ล้วนไม่เป็นปัญหา
เพราะคนสวยยังไงก็ได้ไปต่อ ส่วนคนขี้เหร่ก็รอต่อไปแล้วกัน!