เจี่ยงลี่ลี่นึกเป็นห่วงกู้เซียง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายแสดงละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนได้ดีมาก แต่บทบาทของเฉินเมี่ยวค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเหมาะกับกู้เซียงที่ชอบแสดงอารมณ์หลากหลาย ต่างจากอาจวนที่หน้าตาธรรมดา อกแบน ร่างเล็ก ประวัติสะอาด ไม่เคยทำผิด ไม่มีครอบครัว ไม่มีพี่น้อง ไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อน และไม่เคยมีความรัก แม้แต่หมาสักตัวก็ไม่เคยเลี้ยง ในฮ่องกงจะมีหรือไม่มีคนอย่างเธอก็ไม่ส่งผลอะไร
เราอาจได้เจอกับผู้หญิงประเภทนี้นับไม่ถ้วน ธรรมดาจนไม่น่าจดจำ แต่ก็ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของใครหลายคน
ดารามักถูกจับตามองชีวิตส่วนตัว เคยชินกับการอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ ชอบเห็นตัวเองในมุมที่ดีที่สุดในกระจก ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่คนจับจ้อง แสดงละครแทบทุกเวลา หากต้องเล่นเป็นใครสักคนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย คงเป็นบทบาทที่ไม่ง่าย
อาจวนมีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง และสิ่งที่ศิลปินมีน้อยที่สุดก็คือความเป็นตัวเอง
ถางรุ่ยบอกจ่านหยางที่กำลังแต่งตัวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เอาจริงๆ นะ ฉันไม่ค่อยมั่นใจในตัวเธอเลย”
“เธอค่อนข้างมีประสบการณ์ ไม่ต้องกังวลหรอก” จ่านหยางมองกู้เซียงที่กำลังนั่งอ่านบทอยู่
ถางรุ่ยทำหน้างง “มีประสบการณ์ตรงไหน? เคยเป็นตัวประกอบที่ไม่มีบทพูดหนึ่งครั้ง กับเล่นเป็นตัวร้ายที่ออกแค่ไม่กี่ตอนอีกหนึ่งครั้งเนี่ยนะ”
“ไม่เกี่ยวกับจำนวนครั้งหรอก” จ่านหยางยักคิ้ว
หนังแนวปัจจุบันไม่จำเป็นต้องแต่งตัวมากมาย แค่ปรับบุคลิกให้เข้ากับบทบาท ทาปาก เติมแก้มเล็กน้อยก็พอแล้ว
วันนี้มีนักข่าวสายบันเทิงมาเยือนหลายคน แน่นอนว่าสามารถถ่ายรูปกลับไปฝากคนดูเพื่อสร้างกระแสได้บ้าง แต่ต้องเน้นที่คู่พระนางอย่างที่ตกลงกับกองถ่ายเอาไว้
ละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนทำให้ทั้งสองคนกลายเป็นคู่จิ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คนหนึ่งคือดาราหนุ่มรูปหล่อที่สาวๆ ใฝ่ฝัน อีกคนคือดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ ความบังเอิญที่ลงตัวนี้ทำผู้ชมปลาบปลื้มไปตามๆ กัน
แม้ฝีมือการแสดงในบทของเฉินเมี่ยวจะเป็นที่ประจักษ์ แต่ด้วยความที่ละครมาจากบทประพันธ์ ซึ่งได้รับความนิยมอยู่แล้ว จึงมีการตั้งคำถามว่ากู้เซียงจะรับมือกับบทของอาจวนในภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ ที่บุคลิกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงไหวหรือไม่
เช้าวันใหม่ อาจวนสวมชุดตำรวจที่ค่อนข้างหลวม บทบาทของผู้หญิงแสนธรรมดาทำให้กู้เซียงดูน่ารักไปอีกแบบ ยิ่งใบหน้าของเธอเนียนนุ่มเหมือนเด็กอยู่แล้ว ยามขมวดคิ้วก็ชวนให้นึกสงสาร แต่เมื่อแย้มยิ้ม ก็ทำให้โลกทั้งใบสดใส
ภาพที่ปรากฏในกล้องคืออาจวนที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เธอยังไม่ได้เริ่มแสดงอะไร แต่ความโดดเด่นในตัวก็เปล่งประกายออกมาเรียบร้อยแล้ว
“สมรรถภาพร่างกาย ทักษะการยิง พื้นฐานตำรวจ แล้วก็ภาษาอังกฤษไม่ผ่านทั้งหมด!” ผู้บังคับบัญชารายงานผลการทดสอบ “อย่าลืมขอบคุณตัวเองที่สอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ ทั้งที่ความสามารถไม่ถึงด้วยซ้ำ! หมายเลขของเธอคือ 1166 จากนี้จะต้องไปประจำการที่โรงพักบนเขาสือหยุน มีหน้าที่รับแจ้งความเรื่องของหาย”
อาจวนทั้งเสียใจและผิดหวัง แต่ไม่นานก็ยิ้มออก ราวกับต้นหญ้าน้อยๆ ที่กำลังเติบโตหลังถูกกระแสลมแรงโหมกระหน่ำ
เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็แค่ลม ไม่ใช่ลูกเห็บ…
ตัดภาพไปที่จุดรับแจ้งความของหาย อาจวนกำลังนั่งใจลอย เหม่อมองตำรวจรูปหล่อนายหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่าน
เจี่ยงลี่ลี่กับเฉิงหลินอดที่จะอมยิ้มกับฉากนี้ไม่ได้ บทของอาจวนทำเรื่องเปิ่นๆ ตลอดเวลา ซึ่งกลายมาเป็นจุดเด่นในที่สุด
กู้เซียงโด่งดังจากตัวละครที่แสนรันทด หากจะเดินออกจากกรอบเดิม คงต้องใช้ความสามารถไม่น้อย เนื่องจากละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนได้ฝากภาพจำของพระชายาเฉินผู้แสนอาภัพเอาไว้ แต่หญิงสาวที่กำลังทำการแสดงอยู่ ไม่เหลือร่องรอยของพระชายาเฉินเลย กลายเป็นอีกคนที่แตกต่างออกไป ทั้งเบิกบาน สนุกสนาน อารมณ์ดี เป็นซินเดอเรลล่าที่ทุกคนใฝ่ฝัน
นักแสดงที่สามารถทำให้คนดูหัวเราะได้ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ในมุมของนักแสดงมืออาชีพกลับให้ความหมายที่ต่างออกไป
การจะหลุดออกจากกรอบของบุคลิกเดิมได้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ดาราบางคนเผลอแสดงบทบาทของตัวละครเก่า ขณะกำลังแสดงบทบาทใหม่ที่ต่างไปจากเดิม
คงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเธอคือนักแสดงเก่ามากประสบการณ์ แต่เพราะเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ที่อายุเพียงยี่สิบต้นๆ จึงยากจะหาเหตุผลมาอธิบายสถานการณ์นี้นอกจากคำว่า ‘พรสวรรค์’
“เคลาส์” ถางรุ่ยสะกิด “ฉันขอคืนคำพูดเมื่อกี๊นะ เธอเป็นคนมีประสบการณ์จริงๆ”
ฉากแรกของภาพยนตร์ถือเป็นการประเดิม ซึ่งก็ผ่านไปอย่างราบรื่น มีเพียงสามเทคแรกที่ต้องถ่ายใหม่ เพราะนักแสดงและทีมงานยังไม่คุ้นกับบรรยากาศ
“ฉากต่อไปนายต้องแสดงกับกู้เซียง ลองต่อบทกันดูก่อน จะได้เข้าถึงอารมณ์ เพราะเรื่องนี้ต่างจากเรื่องที่แล้วมาก”
แม้คู่จิ้นแมวรัตติกาลจะได้รับความนิยม แต่ก็เป็นเรื่องที่คนดูคิดไปเอง เนื่องจากนักเขียนเพิ่มฉากหวานทางสายตาลงไป แต่ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่พวกเขาคือคู่รักกันจริงๆ
การเล่นเป็นคู่รักจะต้องเข้าถึงอารมณ์รักให้ได้ ขนาดแค่สนทนากันในเรื่องฉีโฮ่วจ้วน คนดูยังเกิดอารมณ์ร่วมและอินกับละครขนาดนั้น พอรู้ว่าทั้งคู่จะได้แสดงความหวานในฉากรักของหนังเรื่องน้องใหม่ ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก
กู้เซียงรู้สึกกดดันอย่างมาก ชาติที่แล้วเธอคือหญิงโง่ที่ถูกความรักทำให้หน้ามืดตามัว จึงสามารถเล่นบทของหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักได้ แต่ชาตินี้เธอคือหญิงกร้านโลกที่มองว่าผู้ชายเลวเหมือนกันหมด พอต้องแสดงเป็นหญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ จึงฝืนตัวเองไม่น้อย
เธอจะสามารถแสดงเป็นหญิงสาวที่ลุ่มหลงในความรักได้จริงๆ หรือ? เพราะในความเป็นจริง กู้เซียงคือแม่ที่เกือบจะคลอดลูกชาย ชีวิตแต่งงานพังทลาย สิ้นหวังจนคิดฆ่าตัวตาย
“ตื่นเต้นหรือเปล่า?” ถางรุ่ยถามจ่านหยาง “เล่นตามอินเนอร์ได้เต็มที่เลยนะ”
“อินเนอร์อะไร” จ่านหยางเลิกคิ้วถาม “แค่เธอคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว”
“เลิกอวยได้ยัง?” ถางรุ่ยเริ่มจะหมั่นไส้ “เอาจริงๆ คิดยังไงถึงรับเล่นเรื่องนี้?”
“ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น” จ่านหยางวางน้ำในมือ
“ฉันว่าเธอไม่ธรรมดา” ถางรุ่ยลูบปลายคางครุ่นคิด
“เห็นด้วย” จ่านหยางตอกย้ำความคิดของอีกฝ่าย
เฉิงหลินและเว่ยคุนใส่ชุดตำรวจเสร็จเรียบร้อย เช่นเดียวกับนักแสดงที่เล่นเป็นเพื่อนร่วมงานของอาจวนอย่าง เฉินเฟิง โจวซิน และป๋ายเหล่ย ที่แสดงหนังรักจนชำนาญ แต่เมื่อต้องร่วมงานกับจ่านหยาง ก็รู้สึกเกร็งไปตามๆ กัน
เหวินเส้าเหย่ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้ามาเฟียแทนผู้เป็นพ่อ ถูกตำรวจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมาย จึงให้อาจวนที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ แฝงตัวเข้าไปเป็นสายลับ ด้วยการสมัครเป็นพนักงานร้านกาแฟ จะได้เอาเครื่องดักฟังที่ซ่อนอยู่ในขวดซอสมะเขือเทศไปวางไว้บนโต๊ะของเหวินเส้าเหย่
เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนเข้าประจำที่ อาจวนในชุดพนักงานร้านกาแฟสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานด้วยท่าทางจริงจังแต่แฝงไปด้วยความซื่อบื้อ
“ตั้งใจหน่อย!” ตำรวจฟางพูดผ่านวิทยุสื่อสาร “เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว!”
ทันทีที่ได้ยิน อาจวนก็เดินถือขวดซอสมะเขือเทศไปที่โต๊ะราวกับวีรสตรี
ชายหนุ่มตรงหน้าสวมชุดหนังสีดำ แว่นตาแบบมาเฟีย วางมาดเท่คล้ายเพลย์บอย
อาจเพราะรีบเกินไป อาจวนชนเข้ากับหน้าอกของเหวินเส้าเหย่ ศีรษะของเธออยู่แค่ระดับอกของเขา จึงถูกอีกฝ่ายย่อตัวลงจ้องหน้า
“มากี่ท่านคะ?” เธอถามตะกุกตะกัก
“สองคน” เหวินเส้าเหย่ตอบในลำคอแล้วนั่งลงแบบเท่ๆ
กระทั่งแฟนเก่าของเหวินเส้าเหย่ที่เป็นสาวขี้วีนมาถึง เธอไม่พอใจที่ถูกบอกเลิกและพยายามง้อขอคืนดี พอเห็นว่าเขาไม่แยแส จึงคว้าขวดซอสมะเขือเทศมาปาใส่ อาจวนที่ซื่อบื้ออยู่แล้วรีบวิ่งเข้าไปแย่งขวดคืนจนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน
ตอนแรกถางรุ่ยแค่อยากซ้อมก่อนถ่ายจริง แต่ผลลัพธ์กลับดีเกินคาดแม้ไม่มีดนตรีประกอบ ขนาดผู้กำกับอย่างเขายังมีอารมณ์ร่วมขนาดนี้ ถ้าออกสู่สายตาสาธารณชนจะได้รับความนิยมขนาดไหน
ไม่ว่าจะเป็นฉากที่นักแสดงสมทบคู่หนึ่งหยอกล้อด้วยมุกตลก ฉากที่เว่ยคุนเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเป็นซื่อบื้อ หรือแม้แต่ฉากของแฟนเก่าขี้วีนอย่างเจี่ยงลี่ลี่
นักแสดงที่ดีจะทำให้ผู้ชมเข้าถึงอรรถรสของการแสดง จ่านหยางและกู้เซียงต่างก็เป็นมืออาชีพ บรรยากาศในฉากจึงกลมกลืนลงตัว โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาเริ่มโต้ตอบกัน เมื่อนักแสดงสมทบรู้สึกถึงการแสดงที่เข้าขา ทุกคนจึงเข้าถึงบทบาทได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน
เจี่ยงลี่ลี่เล่นเป็นแฟนเก่าที่เข้ามาโวยวายในร้าน เธอเล่นสุดฝีมือมากเพราะอินกับบทเป็นทุนเดิม ยิ่งได้เล่นกับจ่านหยางเป็นครั้งแรก ก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้นไปอีก
ขณะที่คู่กรณีกำลังทะเลาะกัน อาจวนก็พยายามแย่งขวดซอสมะเขือเทศกลับมาจนถูกแฟนสาวขี้วีนฟาดขวดซอสลงกลางหัว ก่อนจะถูกลูกน้องของเหวินเส้าเหย่ลากตัวออกจากร้านไป ทิ้งให้อาจวนกลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด
“ตายแล้ว ฉันเสียโฉมหรือเปล่า? เดี๋ยวได้ขึ้นคานกันพอดี!” อาจวนร้องโอดโอย
เหวินเส้าเหย่คุกเข่าลงดูแผล แล้วใช้หลังมือแตะหน้าผากของอีกฝ่ายเบาๆ “ยังไม่เสียโฉม ยังสวยอยู่”
ฟินมาก เจ๋งมาก…
กู้เซียงมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าในระยะใกล้ด้วยใจอ่อนระทวย
เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าจะสามารถเล่นเป็นหญิงสาวที่ลุ่มหลงในความรักได้หรือไม่ แค่มีคนหล่อขนาดนี้อยู่ตรงหน้า ก็แทบไม่ต้องแสดงอะไรอีก
กู้เซียงใจลอยจนจ่านหยางรู้สึกได้ จึงยักคิ้วให้แล้วยกยิ้มมุมปากแบบที่กล้องไม่เห็น