คมมีดอาชาคือภาพยนตร์ที่เน้นนางเอกเป็นหลักเหมือนอย่างฉีโฮ่วจ้วน เพียงแต่บทละครซับซ้อนกว่า ผู้ชายในเรื่องก็ไม่ได้ทำเพื่อความรัก แค่ต้องการให้เห็นความกล้าหาญของสตรีเท่านั้น
เหลียงจี้แสดงเป็น ‘เผยซิ่ว’ คนที่ทำให้บทของนางเอกชัดเจนขึ้น เขาคือคนของพรรคปฏิวัติที่ร่วมมือกับเฉาหยุน สุดท้ายก็หลงรักในความกล้าหาญของเธอ โดยไม่รู้ว่าเซียงหงก็หลงรักเขาเช่นกัน
แม้เหลียงจี้จะเป็นแค่นักแสดงสมทบ แต่ก็มีบทร่วมกับกู้เซียงไม่น้อย
เขายังคงถูกเธอลดบทบาทเหมือนเคย แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการอยู่แล้ว เพราะตั้งใจจะเน้นบทบาทของผู้หญิงเป็นหลัก
พวกเขากำลังถ่ายทำฉากที่เซียงหงกับเผยซิ่วดื่มเหล้าด้วยกัน เธอหลงรักเขาโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีใจให้กับพี่สาว
เซียงหงสวมชุดกี่เพ้าสีแดงเข้ม ปักลายดอกไม้ แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์เหล้า ดวงตาหยาดเยิ้ม ยกสองมือขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มซื่อๆ
เธอคือนักร้องที่ดังที่สุดในโรงละคร เมื่อได้ลองเอียงคอมองใคร ก็มีอันต้องตกหลุมรักทุกราย
แม้เผยซิ่วจะมีคนในใจอยู่แล้ว แต่พอได้เจอกับความงามตรงหน้า ก็อดที่จะมองด้วยความหลงใหลไม่ได้
“คุณคงคิดว่าผู้หญิงเต้นกินรำกินไม่มีเกียรติ ฉันเองก็อยากแต่งงานกับคนดีๆ เหมือนกัน จะได้คอยดูแลปรนนิบัติเขา ต่อให้รักการร้องเพลงแค่ไหน ก็สามารถทิ้งทุกอย่างเพื่อความรักได้”
ขณะที่พูดประโยคนี้ แววตาของเซียงหงเปี่ยมไปด้วยแรงเสน่หา ท่าทางยั่วยวนหยอกเย้าตลอดเวลา แต่ทุกอย่างล้วนออกมาจากใจ
เผยซิ่วกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “คุณยอมทิ้งความฝันเพื่อผู้ชายคนหนึ่งเลยเหรอ?”
“คนที่เติบโตในโรงละครตั้งแต่เด็กจะไปมีความฝันอะไร ฉันแค่อยากแต่งงานกับคนดีๆ อยู่ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอไหม” เธอชายตามองเผยซิ่วราวกับไม่ตั้งใจ
ใบหน้าของเผยซิ่วแดงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางออดอ้อนเชื้อเชิญขนาดนี้ ใครจะทนไหว
“คัท!” ฉินฮ่าวตะโกน “ทำดีมากเหลียงจี้ พรุ่งนี้มาแต่เช้านะ วันนี้เลิกกองได้”
เวลาอยู่หน้ากล้อง เหลียงจี้มักแสดงสีหน้าเย็นชา ไม่เคยมองใครด้วยสายตาหลงใหล ฉากนี้จึงเหนือความคาดหมายของทุกคนมาก
พอกู้เซียงลุกขึ้นยืน เหลียงจี้ก็ได้สติ
เมื่อครู่เขาเผลอมองเธอด้วยความหลงใหล แถมยังรู้สึกคุ้นเคยกับบทของเซียงหงอีก พอคิดจะพูดบางอย่าง ก็มีอันต้องชะงักกับแววตารังเกียจของกู้เซียง
เขาเหมือนถูกแทงเข้ากลางอก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากสนทนาด้วยแม้เพียงประโยคเดียว
แม้จะรู้สึกเสียหน้า แต่เขาก็มีศักดิ์ศรี จึงไปดักรอกู้เซียงที่หน้าห้องแต่งตัว
“ช่วยหลีกทางหน่อยค่ะ”
“คุณเข้าใจอะไรผมผิดหรือเปล่า?”
กู้เซียงใช้ชีวิตร่วมกับเหลียงจี้มานานหลายปี นอกจากท่าทีอ่อนโยนที่ปฏิบัติต่อเฉียวอิ้งฉิงแล้ว ก็มักจะวางมาดขรึมกับคนในวงการเสมอ
การมายืนขวางเพื่อนร่วมงานที่ไม่สนิท เพื่อถามว่ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ หากเขาไม่ได้ฟั่นเฟือน ก็คงเป็นเธอที่บ้า
“คุณต้องการอะไรกันแน่?” เธอถาม
ท่าทางขอไปทีของกู้เซียงทำเหลียงจี้หงุดหงิด
ตอนถ่ายละครเรื่องฉีโฮ่วจ้วนด้วยกัน เขามักแอบมองเธอโดยไม่รู้ตัว แต่อีกฝ่ายกลับมีท่าทีเย็นชา ห่างเหิน ราวกับเขาเป็นแค่นักแสดงตัวประกอบ
ถึงจะไม่พอใจยังไง เหลียงจี้ก็ยังคงคิดวนเวียนไม่เลิกรา
หลังจากที่ข่าวฉาวของเฉียวอิ้งฉิงถูกเผยแพร่ เหลียงจี้ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่กับบ้าน นั่งดูข่าวของกู้เซียงด้วยความสนอกสนใจ
ตอนถูกเชิญให้มาเล่นเป็นนักแสดงร่วมในหนังที่เน้นนักแสดงหญิงเป็นหลัก เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่พอรู้ว่านางเอกคือกู้เซียง ก็เปลี่ยนใจทันที
แต่หลังจากได้ร่วมงานกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเหลียงจี้กับกู้เซียงก็ไม่ได้ดีขึ้น
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกประหลาดนี้มาจากไหน รู้แค่ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ปกติ
“ดูเหมือนคุณจะเกลียดผม เพราะอะไร?”
ประโยคนี้ของเหลียงจี้ค่อนข้างอ่อนโยน แต่กู้เซียงกลับรู้สึกเหมือนเห็นผี
“คุณเหลียงคะ” เธอตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณกับคุณเฉียวรวมหัวกันแกล้งฉัน ยังจะต้องให้ตอบอะไรอีก?”
ไม่รอให้เหลียงจี้ได้อธิบาย กู้เซียงก็สั่งสอนต่อ “เลิกได้เลิกนะคะ ลูกไม้เดิมๆ แบบว่าเจอกันครั้งแรกก็อคติใส่ คำว่าบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระน่ะรู้จักไหม?”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว” เขาสวนกลับทันควัน
ชาติที่แล้วเธอหลงรักเหลียงจี้หัวปักหัวปำ รู้สึกว่าเขาดีทุกอย่าง ปล่อยผ่านความเห็นแก่ตัว มองว่าการไร้หัวใจคือความเย็นชาในมาดเท่ ยอมใช้ทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่ารักคนผิด
การได้กลับชาติมาเกิด ทำให้กู้เซียงมองเหตุการณ์ในอดีตอย่างเข้าใจ เมื่อทุกอย่างกระจ่างก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เขลาเหลือเกิน
ตอนนั้นเธอยังเด็ก คนหรือหมาก็แยกไม่ออก
แต่ก่อนเคยยอมกินขี้ ตอนนี้เห็นขี้ก็เดินอ้อม แต่ขี้ก็ยังอุตส่าห์ชะโงกหน้ามาบอกว่าตัวเองหอม อยากให้ลองชิมอีกสักครั้ง แต่เธอไม่ใช่หมาตัวนั้นอีกแล้ว…
“ถ้าคุณเหงา ก็ไปหาคนที่อยากเป็นเพื่อนกับคุณเถอะค่ะ ฉันไม่สะดวก”
เธอเดินอ้อมเหลียงจี้แต่ถูกเขารั้งไหล่เอาไว้
“ผมแค่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ควรเป็นแบบนี้”
“แล้วควรจะเป็นแบบไหนเหรอ?”
จ่านหยางปรากฏตัวที่ด้านหลัง แล้วปัดมือของเหลียงจี้ที่อยู่บนไหล่กู้เซียงออก
“มาได้ยังไง?” กู้เซียงถาม
“ถางรุ่ยไล่ผมลงจากรถ เลยถือโอกาสมารับคุณซะเลย” จ่านหยางตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ถ้างั้นก็ขอบคุณนะคะ”
“กลับเลยไหม”
“อืม” กู้เซียงพยักหน้า
ทั้งสองโต้ตอบกัน แล้วจูงมือเดินออกไปโดยไม่หันมองเหลียงจี้
ทุกคนในกองถ่ายมองพวกเขาที่รักกันชื่นมื่นด้วยสายตาอิจฉา จนเหวินจิ้งต้องรีบแยกกลับอย่างรู้งาน
“ผมได้เป็นเมียหลวงแล้วสินะ?”
จ่านหยางขยิบตาให้กู้เซียง จากที่หล่ออยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนโยนเข้าไปอีก
กู้เซียงตีแขนอีกฝ่ายแก้เขิน “เพราะมีฉันแสดงด้วยต่างหากล่ะ”
จ่านหยางมองแขนแล้วทำตาออดอ้อนเหมือนสุนัขที่กำลังมองเจ้านาย
เธอหัวเราะแล้วแกล้งยกมือขึ้นกอดแขนอย่างสนิทสนม ในใจแอบหลั่งน้ำตา—เล่นเป็นคู่รักนี่ไม่ใช่ทางเลย ให้เป็นพี่เซียงยังจะง่ายกว่า!
จ่านหยางยกยิ้มมุมปาก “เมื่อกี๊ผมช่วยคุณไว้ อย่าลืมตอบแทนบุญคุณนะ”
“ตอบแทนยังไง?”
“ผมกับถางรุ่ยจะไปกินข้าวเย็นด้วย ขี้เกียจสั่งอาหารแล้ว”
จ่านหยางกับถางรุ่ยทำกับข้าวไม่เป็นและมักจะสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน เธอจึงเรียกพวกเขามากินข้าวเย็นด้วยบ่อยๆ อย่างน้อยก็มีคนชิมเมนูใหม่ให้
ทุกครั้งถางรุ่ยจะตื่นเต้นดีใจเหมือนค้นพบแผ่นดินใหม่ ราวกับที่ผ่านมาไม่เคยได้กินอาหารดีๆ ซึ่งการสนิทสนมกันด้วยวิธีนี้ ก็ทำให้กู้เซียงรู้สึกสบายใจอย่างมาก
ภาพที่คนทั้งสองเดินจากไปอย่างสนิทสนม ทำเหลียงจี้กำมือแน่นจนข้อนิ้วซีดเผือด
อารมณ์แบบนี้ไม่ปรากฏกับเขาเท่าไหร่ ในเมื่อไม่ชอบกู้เซียงก็ไม่จำเป็นต้องแสดงกิริยาเหล่านี้ออกมา
โทสะที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลไม่ได้มาจากการหึงหวง แต่เป็นการไม่ยอมแพ้มากกว่า คล้ายว่าทุกอย่างไม่ควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก
เธอไม่ควรได้ลอยหน้าลอยตาในวงการอย่างภาคภูมิใจ ควรเจียมเนื้อเจียมตัวแล้วดับแสงของตัวเองลงเสีย!
ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอในตอนนี้ไม่ควรเป็นจ่านหยาง แต่จะเป็นใครได้อีกล่ะ?
เหลียงจี้ครุ่นคิดอย่างหนัก สักพักจึงได้คำตอบ
วันถัดมา เหลียงจี้ขอลาป่วยกับผู้กำกับ
ฉินฮ่าวหงุดหงิดไม่น้อย เดิมคมมีดอาชาแทบไม่มีบทของนักแสดงชายอยู่แล้ว แต่กู้เซียงที่เป็นนางเอกซึ่งงานยุ่งมาก กลับต้องเปลี่ยนตารางการทำงานเพราะการลาของเหลียงจี้
พอไม่มีอีกฝ่าย กู้เซียงกลับแสดงได้ดีกว่าเดิม แต่ละฉากผ่านไปอย่างราบรื่น แม้แต่ฉินฮ่าวที่ชอบบ่นนั่นนี่ ก็ไม่บ่นแม้แต่คำเดียว
กู้เซียงเป็นคนรอบคอบและปรับตัวเก่ง พอรู้ปัญหาจากฉินฮ่าวก็จะระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก เวลาแสดงก็ไม่ทำแบบขอไปที แต่จะใส่ความคิดของตัวเองลงไปผสมผสานด้วย
สาวสวยอนาคตไกลแถมไม่ถือตัว ใครไม่รักก็แปลกแล้ว ขนาดผู้กำกับสุดโหดยังมีท่าทีอ่อนลง ทีมงานจึงยกให้กู้เซียงเป็นตัวโชคดีของพวกเขา
เหวินจิ้งเองก็เป็นที่รักเช่นกัน ไม่ว่าไปทางไหนจะมีคนคอยดูแลตลอด ต่างจากตอนที่อยู่กับหัวเซินมาก
วันนี้ฉินฮ่าวอนุญาตให้กู้เซียงกลับบ้านเร็ว เธอจึงถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉากคืนนี้ไม่ถ่ายแล้วเหรอคะ?”
“ได้ข่าวว่าวันนี้คุณมีคิวโปรโมทงาน ยังไงก็ถ่ายเสร็จเร็วอยู่แล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
คนทั้งกองถ่ายตกตะลึงไปตามๆ กัน ฉินฮ่าวกลายเป็นคนที่พูดจาน่าฟังตั้งแต่เมื่อไหร่
พออีกฝ่ายคล้อยหลังไป เหวินจิ้งก็เข้ามาดึงกู้เซียงออกไปคุย
“เคลวินโทรมา บอกว่ามีสัมภาษณ์โปรโมทหนังเรื่องน้องใหม่” เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย “ตั้งแต่ประกาศว่าคบกัน พวกเธอยังไม่เคยออกสื่อด้วยกันเลย เคลวินอยากให้เริ่มสร้างกระแสตั้งแต่ตอนนี้”
ตั้งแต่ประกาศว่าคบกัน จ่านหยางกับกู้เซียงไม่เคยพูดถึงความรักของตัวเองออกสื่อเลย หากยังปกปิด สื่ออาจเอาไปเขียนข่าวแบบมั่วๆ ได้ แค่ไม่อวดจนน่าหมั่นไส้เป็นพอ
กู้เซียงทบทวนครู่หนึ่งแล้วจึงถามกลับ “ต้องไปกี่โมง?”
“สองทุ่มคืนนี้ ไลฟ์สดในสตูดิโอผ่านเว็บไซต์เพลิค เคลวินจะมารับเราไปที่นั่น” เหวินจิ้งทำหน้ากังวล “เซียงเซียง เธอต้องแสดงความรักหน่อยนะ ตอนนี้กระแสคู่จิ้นจ่านหยางกำลังมาแรง ต่อให้ต้องเลิกกันก็รักษาภาพลักษณ์ไว้ก่อน แฟนคลับจะได้ไม่หาย”
“ได้อยู่แล้ว แค่เล่นเป็นคู่รักเอง” กู้เซียงยักไหล่