ทั้งสองบทบาทมีความซับซ้อนและท้าทาย นักแสดงหญิงที่มีฝีมือในวงการก็อายุมากกันหมดแล้ว แต่เฉาหยุนกับเซียงหงอายุแค่สิบแปดปี หากจะให้นักแสดงอายุสามสิบกว่ามาเล่น ถึงจะสมบทบาทก็คงขัดตาคนดูไม่น้อย
‘ฉินฮ่าว’ ผู้กำกับของเรื่องตั้งคุณสมบัติของผู้ที่จะเล่นเป็นนางเอกไว้สูงมาก โดยเฉพาะความสวย ที่ต้องสวยมากเท่านั้น
คำว่าสวยมากนิยามได้ค่อนข้างยาก เคยมีดาราดังๆ ในวงการไปลองแคสต์งานแล้ว แต่ก็ไม่ผ่านสักคน
เวลาด่าฉินฮ่าวไม่เคยเกรงใจใคร กล้าพูดแม้กระทั่งประโยคที่ว่า “คุณแสดงเป็นนักร้องนะ ไม่ใช่โสเภณี แล้วนี่ก็ไม่ใช่หนังตลาดด้วย!”
บทภาพยนตร์ดี ผู้กำกับมีชื่อเสียง หลายคนจึงอยากร่วมงานด้วย หากแต่ ‘บทนรก’ ที่ถูกตั้งฉายาให้ยังไม่เจอคนที่เก่งหรือสวยพอ การถ่ายทำจึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
“คุณจะไปแคสต์บทนางเอกเหรอ?” ถางรุ่ยถาม
กู้เซียงพยักหน้าตอบ
เจี่ยงลี่ลี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างยกนิ้วโป้งให้ “เธอนี่เจ๋งสุดๆ ไปเลย!”
กู้เซียงสนใจบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ทั้งยังเคยศึกษาและวิเคราะห์ตัวละครเฉาหยุนกับเซียงหงอย่างละเอียด น่าเสียดายที่ตอนนั้นเธอแต่งงานแล้ว เลยไม่มีโอกาสได้ไปคัดตัวนักแสดง
“คมมีดอาชาเลื่อนการถ่ายทำมาสองปีแล้ว ถ้าแคสต์ไม่ผ่านอาจตกเป็นขี้ปากได้ นักข่าวจะเขียนในทำนองที่ว่าคุณไม่มีความสามารถมากพอ” ถางรุ่ยออกความเห็น “แต่ถ้าคุณพร้อม ผมก็ไม่ขัด”
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าฝีมือการแสดงหรอกค่ะ”
สิ่งนี้จะการันตีคุณค่าในตัวเธอ แม้จะไม่ผ่านการคัดเลือก ก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกฉินฮ่าวไล่ตะเพิดออกมา
“ผมนับถือใจคุณมากนะ” ถางรุ่ยยกมือขึ้นชูสองนิ้ว “สู้ๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ทำให้พวกเขาเห็นฤทธิ์เดชของดาราหน้าใหม่ไปเลย!” เจี่ยงลี่ลี่พูดเสริม
กู้หนานกับจ่านหยางเดินออกจากห้องพอดี ในมือของกู้หนานถือหนังสือเล่มหนาออกมาหลายเล่ม
“ถืออะไรมา?” กู้เซียงถามน้องชายเพราะเห็นเขาหอบหนังสือเล่มหนาออกมาด้วย
“หนังสือพวกนี้ฉันหาอ่านมานานแล้ว แต่ในประเทศไม่มี โชคดีที่พี่เขยหาได้ แถมมีลายเซ็นนักเขียนด้วยนะ โคตรเท่เลย!” กู้หนานไม่เหลือความเย่อหยิ่งที่เคยแสดงก่อนหน้านี้ “พี่ไม่รู้หรอกว่าพี่เขยมีหนังสือหายากเยอะแค่ไหน!” เขาทำเสียงตื่นเต้น
เขาทั้งเรียกเธอว่าพี่ เรียกจ่านหยางว่าพี่เขย ดูจะไร้ตรรกะและขัดกับนิสัยเกินไปหน่อยแล้ว
“ถูกซื้อตัวไปซะแล้ว” เจี่ยงลี่ลี่แซว
กู้หนานหันมองจ่านหยาง ทำหน้าอ้อนวอน “ว่างๆ ผมแวะมาอีกได้ไหม?”
“ได้สิ” จ่านหยางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
กู้เซียง “…..”
ในเมื่อเจอคนรู้จักก็ต้องผูกสัมพันธ์ไว้ก่อน กู้เซียงที่พักอยู่ห้องหนึ่งหนึ่งศูนย์หนึ่งจึงทำกับข้าวแล้วชวนจ่านหยางกับถางรุ่ยมากินด้วย
หลายวันต่อมา จ่านหยางกับถางรุ่ยออกไปทำธุระข้างนอก กู้เซียงจึงนั่งซ้อมบทเพียงลำพัง
ตอนที่เธอโทรหาผู้ช่วยของฉินฮ่าว บอกว่าต้องการไปคัดตัวนักแสดง ฝ่ายนั้นตกใจมาก เพราะหนังเรื่องนี้ไม่มีใครมาแคสต์นานแล้ว
ดาราหน้าใหม่หลายคนอยากได้บทนี้ น่าเสียดายที่มีคุณสมบัติไม่มากพอ ส่วนดาราที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ไม่อยากจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยงหากแคสต์ไม่ผ่าน
การมาของกู้เซียงทำทุกคนในกองถ่ายเรื่องคมมีดอาชาประหลาดใจ เธอคือดาราหน้าใหม่ที่กำลังถูกจับตามอง แต่กลับไม่มีบริษัทต้นสังกัดคอยดูแล
เธอพาตัวเองมาถึงจุดนี้ด้วยฝีมือล้วนๆ เรียกว่าใช้ดวงนำทางอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ช่วยส่งบทให้เหวินจิ้งเพื่อที่เธอจะได้ทำความคุ้นเคยก่อน เมื่อได้ลองอ่านบทอีกครั้ง กู้เซียงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาถึงสองภพก็เข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิม
ครึ่งเดือนผ่านไป ถึงเวลาที่เธอต้องไปคัดตัวนักแสดงแล้ว
หลังยกเลิกสัญญากับหัวเซิน ทั้งสองก็มุ่งมั่นที่จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“เวลามีใครพูดถึงเธอ เขาจะเรียกว่าผู้หญิงของจ่านหยาง ต้องมีสักวันที่เรียกจ่านหยางว่าผู้ชายของเธอบ้าง สู้ๆ นะ!” เหวินจิ้งให้กำลังใจกู้เซียง
กู้เซียงกลอกตามองบน—ใช่เวลาพูดเรื่องนี้ไหมเนี่ย!
พอไปถึงสถานที่คัดตัว เหวินจิ้งก็ทำหน้าสงสัย “ไม่มีใครอยู่เลย แปลกชะมัด”
จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า มันคือสถานที่คัดตัวนักแสดงที่เงียบเหงาที่สุดตั้งแต่กู้เซียงเคยเห็นมา นอกจากทีมงานเพียงไม่กี่คน ก็มีแค่เธอกับเหวินจิ้งเท่านั้น
“คุณกู้ เชิญเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่ะ” ทีมงานเดินมาแจ้ง
“ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหรอคะ?” เหวินจิ้งถาม
ส่วนใหญ่การคัดตัวนักแสดงจะทำอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายเสียเวลา แต่วันนี้มีกู้เซียงเพียงคนเดียว จึงไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก
“ไปรอข้างนอกก่อน” เธอบอกเหวินจิ้ง
ฉินฮ่าวคือผู้กำกับที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ ใส่ใจทุกรายละเอียดการถ่ายทำ มีตรรกะที่สมเหตุสมผล และเป็นตำนานของภาพยนตร์แนวคลาสสิก
ช่างแต่งหน้าของกู้เซียงคือเด็กสาวท่าทางซื่อๆ คนหนึ่ง
“คุณกู้ใช่ไหมคะ? ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีก ฉันชอบที่คุณแสดงมากเลย ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ?”
พอได้ลายเซ็น เธอก็ชวนกู้เซียงคุยอย่างสนิทสนม
“ผู้กำกับฉินอารมณ์ร้อนมาก ทุกคนที่มาแคสต์งานถูกไล่กลับไปหมด ยิ่งคุณเป็นดาราหน้าใหม่ ก็ยิ่งต้องอดทนมากกว่าคนอื่น”
“ขอบคุณที่เตือนค่ะ” กู้เซียงยิ้มตอบ
“แต่งหน้าแบบไหนก่อนดีคะ?” ช่างแต่งหน้าสาวถาม “เฉาหยุนจะเป็นแนวห้าวๆ ส่วนเซียงหงจะเป็นแนวอ่อนโยน คุณสวยขนาดนี้ ลองแต่งเป็นเซียงหงก่อนดีไหมคะ?”
“แต่งเป็นเฉาหยุนก่อนดีกว่าค่ะ”
“แต่ฉันว่าเล่นบทที่ง่ายกว่าก่อน…”
“แต่งเป็นเฉาหยุนก่อนค่ะ” กู้เซียงยังคงยืนยันคำเดิม
ช่างแต่งหน้าสาวเลิกเซ้าซี้แล้วแต่งหน้าให้ด้วยความตั้งใจ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็ปัดมือตัวเองเบาๆ “เสร็จแล้วค่ะ”
กู้เซียงมองเงาของตัวเองในกระจกอย่างละเอียด เด็กสาวคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา สามารถแปลงโฉมคนที่หน้าตาอ่อนโยนให้กลายเป็นสาวมั่นได้ในพริบตา
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ช่างแต่งหน้าสาวแก้มแดงด้วยความเขิน
ในห้องคัดตัวนักแสดง คนจำนวนหนึ่งนั่งล้อมกันเป็นวงกลม เว้นพื้นที่กว้างตรงกลางเอาไว้
ผู้กำกับฉินนั่งอยู่หน้าสุด โดยมีเหล่าเซียวซึ่งเป็นคนเขียนบทนั่งประกบข้าง
“กู้เซียงของคุณไหวแน่นะ?” เหล่าเซียวถาม
“ผู้กำกับเถียนกับผู้กำกับถางเป็นคนแนะนำเธอมา คงไม่แย่มากนักหรอก”
“ก็ไม่แน่นะ!” ผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเจืออคติ “พวกคุณเคยเห็นเด็กใหม่ดังเร็วขนาดนี้บ้างไหม? เพิ่งเข้าวงการได้ไม่นานก็มีเรื่องชู้สาวแล้ว ต่อไปจะตั้งใจทำงานเหรอ?”
“ก็ถ้าเฉินซีเก่งกว่า ทำไมถึงไม่ได้รางวัลดาราหน้าใหม่ดีเด่นล่ะ?” เหล่าเซียวอดไม่ได้ที่จะตอกกลับ “ลูกสาวไม่ดังเท่าชาวบ้านเขา ก็อย่าตีโพยตีพายไปเลย!”
“นาย…”
เฉินเจียหลิงกำลังจะอ้าปากเถียง ทว่ากู้เซียงเดินเข้ามาพอดี
เธอสวมชุดสูทสีเทาอมฟ้าทับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่กระดุมเป็นไข่มุก พันผ้าพันคอสีดำ ผมสั้นทุยอย่างสตรีที่ห้าวหาญแต่ยังมีความอ่อนโยนอยู่ แววตาราวกับสัตว์ป่าดุร้ายวัยแรกรุ่นที่สะอาด บริสุทธิ์ และน่าเอ็นดู
กู้เซียงยกยิ้มมุมปาก เชิดคางขึ้นเล็กน้อย เธอคือสตรีในช่วงปฏิวัติที่สวมเสื้อผ้าอย่างบุรุษ ไม่มีท่าทีอ้อนแอ้นอรชร มีเพียงความห้าวหาญที่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างลงตัว
เฉินเจียหลิงที่เพิ่งจะดูแคลนกู้เซียงนิ่งอึ้งด้วยความตื่นตะลึง ทั้งห้องจมดิ่งอยู่กับความงามตรงหน้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
กู้เซียงจับจ้องพื้นที่วงกลมที่ถูกเว้นไว้กลางห้องด้วยแววตามุ่งมั่น
การคัดตัวนักแสดงที่มีคนดูมากขนาดนี้นับว่าแปลกแล้ว แต่การเว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นวงกลมหมายความว่ายังไง?
หาเรื่องกันเก่งจริงๆ!
“กู้เซียง”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ทางขวาพลิกดูประวัติของเธอ “คุณเลือกแคสต์บทของเฉาหยุนก่อน ซึ่งเป็นฉากระหว่างเฉาหยุนกับพรรคปฏิวัติ เชิญแสดงได้เลยครับ”
กู้เซียงเดินไปหยุดยืนในวงกลมกลางห้อง บรรยากาศคล้ายอยู่ท่ามกลางลัทธิบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าฉินฮ่าวให้ความสำคัญกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก ถึงขนาดเรียกคนมาช่วยตัดสินเต็มห้อง
“ช่วยไปต่อบทกับเธอหน่อย” ฉินฮ่าวโบกมือเรียกใครคนหนึ่งที่ด้านหลัง
‘มั่วเฟิง’ คือนักแสดงรุ่นเก่าที่ได้รับความเคารพจากคนในวงการ เขาพิถีพิถันกับการแสดงมาก จึงไม่ค่อยรับงานตามกระแส
เขาให้ความเคารพฉินฮ่าวมาก แต่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับกู้เซียงเท่าไหร่
หลังมองเธอหัวจรดเท้า ก็หันไปพยักหน้าให้ฉินฮ่าวแล้วเริ่มการแสดงแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว
“เลี้ยงเป็ดปักกิ่ง” มั่วเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เฉาหยุนก็ถอดหมวกแล้วโยนทิ้งไว้ข้างๆ “ให้สับเป็ดเป็นสามจานหรือเสิร์ฟทั้งตัว?” เธอเอียงคอถาม
มั่วเฟิงยืดตัวตรง สีหน้าจริงจังขึ้นหลายส่วน “ยุ่งยากขนาดนั้นก็กินทั้งตัวเถอะ”
เฉาหยุนเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย ใบหน้าฉายแววยินดี “ใช่หนิงเป๋ยไห่หรือเปล่า?”
“เฉาเส้าเหย่ใช่ไหม?” มั่วเฟิงถามกลับ
“ใช่แล้ว”
“หัวหน้าซ่งอยู่ข้างหลัง” มั่วเฟิงเอียงตัวเล็กน้อย
เฉาหยุนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หัวหน้าซ่ง ดวงตาเป็นประกายจนผู้ที่พบเห็นอดเอ็นดูไม่ได้ คล้ายว่าเธอคือคุณชายน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกภายนอก เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติ
กู้เซียงประสานมือคารวะมั่วเฟิง ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคำนับฉินฮ่าว
ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ ไร้คำพูดใดๆ รวมถึงเฉินเจียหลิงด้วย