หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 35

ตอนที่ 35

ทักษะการแสดงคืออะไร? คือความสามารถในการทำให้คนดูชื่นชมและทำให้เพื่อนร่วมอาชีพไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ

 

การแสดงให้เข้าถึงใจคนดูมักขึ้นอยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สำคัญคือนักแสดงต้องมีอารมณ์ร่วม ต่อให้เป็นฉากรักเดิมๆ ที่ทำกันมานานหลายร้อยปีก็ตาม

 

ผู้ที่นั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์อย่างถางรุ่ยกุมหน้าอกด้วยความรู้สึกหลากหลาย

 

ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขาถูกฉากตรงหน้าทำให้เข้าถึงความรู้สึกของหญิงสาวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

การที่พระเอกโน้มตัวลงแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเจืออ่อนโยน เป็นภาพฝันที่งดงามจนไม่มีใครอยากตื่น

 

 

หลังถ่ายทำทุกฉากเสร็จ นักแสดงต่างขอบคุณกันและกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เหนื่อย แต่การทำงานในวันนี้ค่อนข้างสบายๆ ไม่ซีเรียส บวกกับคู่พระนางที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจนถางรุ่ยแทบน้ำตาไหล

 

เคมีที่เข้ากันระหว่างกู้เซียงกับจ่านหยางเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ความรู้สึกส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ถางรุ่ยเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคู่จิ้นแมวรัตติกาลถึงดังเป็นพลุแตก เพราะกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาทั้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก

 

ฝีมือการแสดงของจ่านหยางเป็นเลิศอยู่แล้ว ส่วนกู้เซียงที่เป็นดาราหน้าใหม่ก็เข้าขากับเขาได้ดีอย่างน่าประหลาด เป็นความลงตัวที่แม้แต่คนดูก็รู้สึกได้

 

เจี่ยงลี่ลี่กระซิบถามกู้เซียงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ทำไมไม่เป็นคู่จิ้นกันจริงๆ ไปเลยล่ะ?”

 

ถางรุ่ยถนัดดึงความสามารถของนักแสดงออกมา ยิ่งได้เห็นการแสดงที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ก็ยิ่งมั่นใจในทีมงานของตัวเองมากขึ้น

 

“เลิกกองแล้วไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” ถางรุ่ยเอ่ยปากชวนทีมงาน “ไหนๆ พรุ่งนี้ก็หยุดแล้ว ร้องคาราโอเกะต่อเลยดีกว่า”

 

ข้อเสนอนี้ได้รับการสนับสนุนจากทุกคน กู้เซียงไม่เคยเห็นกองถ่ายที่เป็นกันเองขนาดนี้ คล้ายว่าการถ่ายทำคืองานอดิเรกเท่านั้น ต่างจากชาติที่แล้วที่ต้องขลุกอยู่ในกองจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน

 

ถางรุ่ยคือผู้กำกับที่ดีคนหนึ่ง สำหรับเขา สภาพแวดล้อมในการทำงานและความสุขของนักแสดงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการทำอะไรด้วยความสุขผลลัพธ์มักออกมาดี เช่นนี้จึงได้รับสมญานามในวงการบันเทิงว่าโปรดิวเซอร์มือทอง

 

คนกลุ่มใหญ่มุ่งหน้าไปยังสถานบันเทิงที่ถางรุ่ยเป็นลูกค้าประจำ

 

ห้องรับรองของที่นี่ใหญ่มาก มีพื้นที่ให้กระโดดโลดเต้นได้เต็มที่ เฉิงหลินสนุกกับงานเลี้ยงมากกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้ ทั้งยึดไมค์และลากเฉินเฟิงออกมาร้องเพลงคู่ด้วยตลอด

 

เฉินเฟิงคือเด็กหนุ่มท่าทางเป็นกันเองและแอบมีใจให้เฉิงหลิน น่าเสียดายที่ดอกไม้พยายามโน้มกิ่งลงมาชวนแต่สายน้ำกลับเฉยชา เพราะอีกฝ่ายมีรสนิยมทางเพศที่ต่างออกไป

 

ป๋ายเหล่ยกับโจวซินกำลังเล่นไฮโลว์ เว่ยคุนกับถางรุ่ยกำลังคุยเรื่องอนาคตของวงการบันเทิง ส่วนเจี่ยงลี่ลี่ก็กำลังคุยกับผู้ช่วยเรื่องชุดที่จะใส่ออกรายการโทรทัศน์ครั้งต่อไป

 

กู้เซียงนั่งเงียบๆ อยู่คนเดียว ตอนยังสาวเธอชอบช่วงเวลาแบบนี้มาก แต่หลังจากแต่งงานกับเหลียงจี้ ก็ถูกพ่อแม่สามีคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด ก่อนจะกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว

 

ชีวิตที่ขาดสีสันไปนาน เมื่อได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เธอจึงรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น

 

พอเริ่มเบื่อกู้เซียงจึงหยิบเหล้าบนโต๊ะขึ้นดื่ม ดีที่ถางรุ่ยเป็นห่วงสุขภาพของนักแสดง จึงสั่งไวน์ที่มีแอลกอฮอล์น้อยมาให้ แต่เหล้ายังไงก็คือเหล้า หากดื่มมากไปก็มึนเมาได้เช่นกัน

 

เฉิงหลินกำลังร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เหลียงจี้เคยเล่นไว้นานแล้ว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในโรงเรียนที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ชวนให้หนุ่มสาววัยรุ่นเพ้อฝันไปตามๆ กัน

 

จากที่เมาอยู่แล้ว แต่พอได้เห็นวิดีโอ กู้เซียงก็ยิ่งจมดิ่ง กระทั่งใครบางคนดึงแก้วออกจากมือเธอ

 

“ทำไมดื่มเยอะจัง” จ่านหยางถาม

 

“ก็ฉันมีความสุข” กู้เซียงตอบ “ไม่ได้เหรอคะ?”

 

ไม่มีใครสามารถปลุกคนที่แกล้งหลับได้ และไม่มีใครพูดกับคนที่เมารู้เรื่อง

 

“ดีใจแล้วร้องไห้ทำไม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แววตาคมกริบ

 

กู้เซียงนิ่งไปเล็กน้อย พอยกมือขึ้นลูบใบหน้าก็พบกับรอยน้ำตาเปียกชื้น

 

จ่านหยางยัดกระดาษทิชชูใส่มือเธอแล้วหยิบขวดไวน์ตรงหน้าออก “ผู้หญิงดื่มเหล้าเยอะไม่ดีนะ รีบกลับบ้านเถอะ” พูดจบก็หันหลังเดินจากไป

 

เหวินจิ้งที่แอบดูอยู่นานรีบเข้ามาหากู้เซียง แสงไฟในห้องรับรองค่อนข้างสลัว ทำให้มองไม่เห็นรอยน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย

 

“คุยอะไรกันอยู่เหรอ หรือเขามาชื่นชมฝีมือการแสดงของเธอ?” เหวินจิ้งถามด้วยความตื่นเต้น

 

พวกสาวๆ มักจะโลกสวยแบบนี้ตลอด ทั้งที่จ่านหยางไม่ได้แสดงสีหน้าหรือแววตาชื่นชมเธอเลย

 

ที่หน้าห้องรับรอง จ่านหยางกำลังยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่ ก่อนที่ถางรุ่ยจะออกมาพูดบางอย่าง

 

“พ่อนายโทรหาฉัน”

 

“วุ่นวายจริงๆ เลย!”

 

ถางรุ่ยยืนพิงกำแพงแล้วจุดบุหรี่ให้ตัวเองเช่นกัน

 

“แน่ใจหรือยัง?”

 

“ก็ตามนั้นแหละ”

 

“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็จัดการปัญหาส่วนตัวไปเลยสิ”

 

“ยุ่งเรื่องของตัวเองไปเถอะ!” จ่านหยางปรายตามองอีกฝ่ายแล้วดับบุหรี่ในมือ

 

เห็นท่าทางของเพื่อนรัก ถางรุ่ยก็หัวเราะออกมาคนเดียว

 

ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ไม่เพียงดังก่อนออกฉาย แต่ดังตั้งแต่เริ่มถ่ายทำเลยทีเดียว

 

คู่พระนางที่ลงตัวกับโปรดิวเซอร์มือทองทำให้ภาพยนตร์มีระดับและน่าติดตามไปอีกขั้น แถมได้นักข่าวที่มาเยี่ยมกองถ่ายก่อนหน้านี้ช่วยประชาสัมพันธ์ ด้วยการปล่อยรูปให้แฟนคลับได้ชมคนละรูปสองรูป

 

ในบรรดาภาพเหล่านั้น มีภาพที่กู้เซียงสวมเครื่องแบบตำรวจกับแววตาไร้เดียงสา ท่าทางซื่อบื้อ ยกมือกุมศีรษะแล้วทำหน้าคล้ายกำลังบ่น ส่วนจ่านหยางก็อยู่ในเสื้อคลุมสีดำแบบเพลย์บอย กำลังก้มหน้าพูดบางอย่างกับเธอ ถึงภาพจะดูประหลาด แต่ก็ทำให้คนดูรู้สึกกระชุ่มกระชวยได้มาก

 

“แค่นี้ทีมคู่จิ้นอย่างฉันก็บรรลุแล้ว เขินตัวจะแตก!” ตู้หยู่นั่งทำตาลอย

 

ในเวยป๋อพูดถึงแต่การกลับมาพบกันของคู่จิ้นแมวรัตติกาล แค่รูปไม่กี่รูปแต่ถูกแชร์ออกไปเป็นแสนครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมง

 

“ทีมแมวรัตติกาลกอดกันไว้”

 

“ฉันดีใจจนน้ำตาจะไหล อยากนั่งรถไปกราบผู้กำกับถางเลย”

 

“ถึงคนที่พระเอกมองจะไม่ใช่ฉัน แต่ก็ฟินอยู่ดี”

 

“ขอร้อง… คบกันเถอะ”

 

เสี่ยวหมิ่นพับหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วหันไปพูดกับตู้หยู่ “ไม่รู้ว่าคาแรกเตอร์ของตัวละครจะเป็นยังไง แต่บทของกู้เซียงน่าเอ็นดูเชียว แทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย”

 

“คนเก่งก็แบบนี้แหละ” ตู้หยู่ยักไหล่ “พี่จ่านของฉันหล่อมากเลย เมื่อไหร่จะออกฉายเสียที อยากดูจะแย่แล้ว”

 

“หนังสือก็ต้องอ่าน เวยป๋อก็ต้องตาม เฮ้อ… ใครใช้ให้พวกเขาน่ารักขนาดนี้ล่ะ” เสี่ยวหมิ่นฟุบลงบนโต๊ะ

 

แม้จะเป็นแค่รูปถ่ายตอนเผลอ แต่การแต่งตัวและแววตาของกู้เซียงกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากบทของเฉินเมี่ยว

 

การมาเยี่ยมกองถ่ายของนักข่าวเป็นประโยชน์ต่อถางรุ่ยมาก พวกเขาชื่นชมความตั้งใจในการทำงาน ฝีมือการแสดง และเคมีที่ลงตัวระหว่างกู้เซียงกับจ่านหยาง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ต่างจากภาพยนตร์ที่เปิดกล้องไล่เลี่ยกันอย่างฆ่าทั้งอาฆาตที่ไม่ได้ดวงดีขนาดนั้น

 

เซี่ยหัวคือผู้กำกับที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของงาน ต่างจากเถียนลี่ที่ให้ความสำคัญกับศิลปะและความสวยงาม

 

ตอนแรกพวกเขาอยากได้กู้เซียงมาเป็นนางเอกเรื่องฆ่าทั้งอาฆาต แต่ด้วยเหตุขัดข้องหลายประการ จึงจับพลัดจับผลูมาเป็นเฉียวอิ้งฉิง ซึ่งไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรเพราะเธอมีชื่อเสียงอยู่แล้ว

 

แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่เซี่ยหัวคิด แค่เปิดกล้องเพียงไม่กี่วันก็เกิดปัญหามากมายแล้ว

 

เฉียวอิ้งฉิงไม่เคยแสดงภาพยนตร์ที่มีบทบู๊เยอะขนาดนี้ แถมเนื้อตัวยังต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ทำให้สภาพโดยรวมดูแย่เมื่อเทียบกับเฉิงหลินที่เล่นแต่หนังบู๊มาตลอด

 

ตำแหน่งในวงการของเฉียวอิ้งฉิงนับว่าสูงพอตัว มีช่องทางประชาสัมพันธ์เป็นของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะแกล้งกู้เซียง คงไม่มารับงานประเภทนี้

 

เมื่อเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงใช้นักแสดงแทนในทุกฉากอันตราย แต่ฆ่าทั้งอาฆาตไม่ใช่หนังรักหรือหนังตลก แต่เป็นหนังที่มีฉากบู๊ตั้งแต่ต้นจนจบ จะให้นักแสดงแทนเล่นทั้งหมดคงไม่ได้

 

ฉากบู๊คือจุดอ่อนของเฉียวอิ้งฉิง หลังถ่ายทำไปได้เล็กน้อยก็เกิดปัญหากับเธอ ทั้งท่าทางที่ไม่ปราดเปรียว สีหน้าที่ไม่ดุดัน และวิ่งช้าจนเกินไป ทำเอาเซี่ยหัวกุมขมับด้วยความเครียดบ่อยครั้ง

 

เฉียวอิ้งฉิงคนเดียวทำให้การถ่ายทำช้าลงไปมาก นานวันเข้าพระเอกที่เล่นคู่กับเธอก็เริ่มไม่พอใจ เพราะความผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อยมาก

 

การถูกดาราหน้าใหม่ไร้ชื่อแสดงสีหน้ารังเกียจ มีหรือที่เฉียวอิ้งฉิงจะยอม ที่ผ่านมาเธอเป็นเหมือนเดือนที่ถูกดาวรายล้อม เหตุนี้จึงมีอคติกับพระเอกของตนจนกองถ่ายร่อแร่เต็มที

 

ขณะที่ภาพเบื้องหลังของกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ออกสู่สายตาสาธารณชนด้วยบรรยากาศครึกครื้น โดยเฉพาะกู้เซียงที่ถูกชื่นชมเป็นวงกว้าง ทำเฉียวอิ้งฉิงหงุดหงิดจนไม่สามารถทำการแสดงได้

 

เฉียวอิ้งฉิงปาดเหงื่อด้วยความเครียดแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ขณะกำลังทำธุระส่วนตัวก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ด้านนอก

 

“กู้เซียงนี่มาแรงจริงๆ เพิ่งเริ่มถ่ายทำก็ดังขนาดนี้แล้ว ถ้าหนังเข้าโรงไม่ดังเป็นพลุแตกเลยเหรอ”

 

“ก็คนเขามีฝีมือ ไม่งั้นจะเป็นนางเอกได้ยังไง ตอนแรกเกือบได้เป็นนางเอกของเราแล้วด้วย”

 

เฉียวอิ้งฉิงชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูแล้วนิ่งฟังบทสนทนา

 

“จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นนางเอกคนนี้ ชื่อเสียงก็ดีแต่นิสัยแย่”

 

“อย่าว่าแต่นิสัยเลย ฝีมือก็แย่ ฮ่าๆๆ”

 

“ฉันไม่เคยเห็นดาราดังที่ไหนทำนักแสดงสมทบเหวอได้ขนาดนี้ ลึกๆ ผู้กำกับเซี่ยคงนึกเสียดายเหมือนกัน ถ้าเลือกกู้เซียงตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้”

 

กระทั่งภายในห้องน้ำเงียบสงบ เฉียวอิ้งฉิงจึงค่อยๆ เปิดประตูแล้วตรงไปที่อ่างล้างมือ ยืนมองเงาของตัวเองในกระจกด้วยแววตาเหม่อลอย

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท